อิสลาม ระเบียบโลกเก่า vs ระเบียบโลกใหม่


4,081 ผู้ชม


อิสลาม ระเบียบโลกเก่า vs ระเบียบโลกใหม่

ถึงแม้จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจะประกอบไปด้วยดาวน้อยใหญ่นับแสนล้านดวง แต่สังคมของหมู่ดาวในจักรวาลก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อย ไม่สับสนอลหม่านเหมือนสังคมมนุษย์ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะดาวแต่ละดวงปฏิบัติตามกฎระเบียบที่พระผู้ทรงสร้างมันได้กำหนดไว้โดยไม่มีการฝ่าฝืน ความสงบที่เกิดขึ้นจากการยอมจำนนหรือยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบของพระผู้ทรงสร้างนั้นคือสิ่งที่ศัพท์ทางวิชาการในภาษาอาหรับเรียกว่า ?อิสลาม? และสิ่งใดที่ยอมจำนนต่อกฎระเบียบของพระผู้ทรงสร้าง สิ่งนั้นก็ถูกเรียกว่า?มุสลิม?

ดังนั้น อิสลามจึงถือว่าดาวนับแสนล้านดวงในจักรวาลเป็น ?มุสลิม? กันหมดแล้วร่างกายของมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยอวัยวะจำนวนมากมายหลายร้อยชิ้นก็ถูกสร้างขึ้นมาและได้ถูกกำหนดกฎระเบียบไว้ให้ทำงานเพื่อความเป็นปกติสุขของมนุษย์ ตราบใดที่อวัยวะแต่ละชิ้นในร่างกายของมนุษย์ยังคงปฏิบัติตามกฎระเบียบที่พระผู้ทรงสร้างมันได้กำหนดไว้ ตราบนั้น มนุษย์ก็ยังคงดำรงชีวิตอย่างปกติสุข ความปกติสุขที่เกิดขึ้นจากการที่อวัยวะในร่างกายยอมจำนนต่อกฎระเบียบของพระผู้ทรงสร้างมันโดยไม่ฝ่าฝืนนั้น ศัพท์ทางวิชาการในภาษาอาหรับเรียกว่า ?อิสลาม? และสิ่งใดก็ตามที่ยอมจำนนต่อกฎระเบียบของพระผู้สร้าง สิ่งนั้นก็เรียกว่า ?มุสลิม?

ดังนั้น โดยทางกายภาพ คนและสัตว์จึงเป็นมุสลิมตามความหมายดังกล่าวข้างต้นเมื่อจักรวาลและร่างกายหรือแม้กระทั่งมดปลวกยังมีกฎระเบียบในการดำรงชีวิต มีหรือที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์จะไม่ประทานกฎระเบียบในการดำรงชีวิตให้ แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่พิเศษที่สุดในจักรวาลเพราะมนุษย์ได้รับของขวัญชิ้นเลิศที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่ได้รับ นั่นคือ สติปัญญาและเสรีภาพในการเลือกปฏิบัติ ดังนั้น มนุษย์จึงมีเสรีภาพในการใช้สติปัญญาเลือกว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่พระผู้ทรงสร้างกำหนดมา ถ้าใครเชื่อในพระผู้ทรงสร้างและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของพระองค์ บุคคลผู้นั้นก็เป็น ?มุสลิม? ด้วยความสมัครใจหลังจากที่ร่างกายของบุคคลนั้นเป็นมุสลิมไปก่อนแล้ว การเป็นมุสลิมโดยแท้จริงจึงเริ่มต้นด้วยการเชื่อและเชื่อฟังกฎระเบียบของพระเจ้า

อิสลาม : ระเบียบโลกกฎระเบียบสำหรับการดำเนินชีวิตทางสังคมของมนุษย์มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานรองรับและสอดประสานกับกฎทางชีวภาพในร่างกายของมนุษย์และกฎทางกายภาพรอบตัวเขาอย่างแยกกันไม่ขาด นั่นหมายความว่าการละเมิดกฎศีลธรรมจะส่งผลเสียต่อกฎทางชีววิทยาและกฎทางกายภาพซึ่งจะสะท้อนกลับมาสู่มนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะกล่าวไปแล้ว กฎระเบียบสำหรับการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษย์ซึ่งมีที่มาจากคำสอนของศาสนานี้อาจเรียกว่าเป็น?ระเบียบโลก?ก็ได้ มันเป็นระเบียบทางสังคมที่พระผู้ทรงสร้างได้ประทานแก่มนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โดยให้นบีหรือที่มนุษย์มักจะเรียกกันว่า ?ศาสดา? เป็นผู้นำมาและมนุษย์เรียกมันว่า ?ศาสนา? คำสอนของศาสนาที่พระเจ้าประทานมาจึงเป็นธรรมชาติ และการฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาก็คือการฝืนธรรมชาติดังนั้น คำสอนที่ศาสดาทั้งหลายนำมาจึงมีหลายอย่างที่คล้ายๆกัน เช่น ทุกศาสนาถือว่าการเสพสิ่งมึนเมา การผิดประเวณี การลักขโมย เป็นความชั่ว และถือว่าการช่วยเหลือเกื้อกูล การให้อภัย เป็นคุณธรรมความดี เป็นต้น แม้แต่ความเชื่อในเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ภพหน้า นรกและสวรรค์ก็มีอยู่ในคำสอนของทุกศาสดา แต่หลังจากที่ศาสดาจากโลกนี้ไป มนุษย์ก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากนักเรียนจอมดื้อเมื่อไม่มีครูถือไม้เรียวอยู่หน้าชั้น การฝ่าฝืนกฎระเบียบจึงเกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมบางชนชาติที่ดื้อรั้นฝ่าฝืนจึงต้องถูกลงโทษอย่างแสนสาหัสด้วยภัยพิบัติต่างๆเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง และนั่นคือเหตุว่าทำไมพระผู้เป็นเจ้าได้คัดเลือกนบีหรือศาสดาขึ้นมาจากมนุษย์ทุกหมู่เหล่าเพื่ออบรมสั่งสอนมนุษย์ให้กลับมาอยู่ในระเบียบที่พระองค์ประทานมา

ดังนั้น การมีนบีหรือมีศาสดาจึงถือเป็นความเมตตาอย่างสูงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ระเบียบโลกดังกล่าวมาข้างต้นได้ถูกประทานผ่านบรรดานบีผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านไม่ว่าจะเป็นอิบรอฮีม(อับราฮัม) มูซา(โมเสส) ดาวูด(ดาวิด) สุลัยมาน(โซโลมอน) อีซา(เยซัสไครส์ต) และมาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัดผู้สามารถสร้างรัฐอิสลามโดยมีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญของรัฐได้เป็นผลสำเร็จครั้งแรกที่นครมะดีนะฮฺเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่าคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าได้ถูกนำมาใช้เป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคมมุสลิมและท่านนบีมุฮัมมัดได้กลายเป็นประมุขคนแรกของโลกที่ได้ใช้กฎหมายอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน การล่มสลายของระเบียบโลกเก่าหลังจากสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ประชาคมโลกมุสลิมที่ประกอบไปด้วยคนต่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และสีผิวตั้งแต่ตะวันตกสุดของอาฟริกาไปจนถึงเมืองจีนก็ได้อยู่ภายใต้ระเบียบโลกของพระเจ้าที่นบีมุฮัมมัดนำมา

จนกระทั่งมาถึงสมัยของอาณาจักรออตโตมานเติร์ก การปกครองแบบคิลาฟะฮฺ(ตัวแทนของพระเจ้าที่ใช้กฎหมายของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน)ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่อิสตันบูลก็ถูกทำลายลงอันเนื่องมาจากความเสื่อมเสียของผู้ปกครองที่ทุจริตภายในและเงื่อนไขของสถานการณ์สงครามภายนอก แผ่นดินของอาณาจักรอิสลามอันกว้างใหญ่ไพศาลต้องถูกมหาอำนาจชาติตะวันตกแบ่งแยกออกเป็นประเทศต่างๆหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมาโดยอาศัยเขตแดนทางภูมิศาสตร์ เชื้อชาติ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานในการแบ่งแยก ไม่เพียงเท่านั้น มหาอำนาจชาติตะวันตกยังได้ดำเนินนโยบายแบ่งแยกและปกครองด้วยการนำเอาผลผลิตความคิดใหม่ๆจากสมองของมนุษย์ เช่น ลัทธิชาตินิยม สังคมนิยม ทุนนิยม วัตถุนิยม เสรีนิยม การปลดแอกสตรี และอื่นๆ เข้ามาใส่ในความคิดและชีวิตทางสังคมของมุสลิมด้วยเนื่องจากลัทธิเหล่านี้มีความขัดแย้งในตัวของมันเองและขัดแย้งกับธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ทั้งในด้านความคิด จิตใจและสังคม ประเทศมุสลิมที่ใช้ลัทธิเหล่านี้จึงเกิดความขัดแย้งกันและลงเอยกันด้วยการทำสงครามกันเองก็มี ประเทศที่มิใช่มุสลิมและถูกชาตินักล่าอาณานิคมยึดครองก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างจากประเทศมุสลิมหลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียต ประชาคมโลกมองเห็นว่านี่คือชัยชนะของลัทธิทุนนิยม แม้แต่จีนซึ่งยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนนโยบายผ่อนปรนให้แก่ลัทธิทุนนิยม

ชาวโลกจึงคิดว่าลัทธิทุนนิยมเป็นเพียงลัทธิเดียวในโลกที่จะสร้างความกินดีอยู่ดีและความสงบสุขให้แก่โลกได้หลังจากที่ประเทศต่างๆต้องทำสงครามร้อนและเย็นเข่นฆ่าชีวิตกันไปนับหลายร้อยล้านคน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวโลกก็พบว่าลัทธิทุนนิยมคือมหันตภัยร้ายที่สร้างความทุกข์ยากแสนเข็ญให้แก่ชาวโลก การฟื้นฟูอิสลามความเสียหายจากลัทธิทุนนิยม สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นในประเทศมุสลิมไม่ว่าจะในด้านความคิดความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจได้ทำให้นักวิชาการศาสนาทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่เริ่มมองว่าเป็นความหายนะต่อชีวิตของมุสลิมโดยเฉพาะทางด้านจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ ดังนั้น นักวิชาการเหล่านี้จึงได้เริ่มรณรงค์ทางความคิดให้มุสลิมหันกลับมาศึกษาอิสลามและตีความคำสอนทางศาสนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยโดยไม่เสียหลักการดั้งเดิม นักวิชาการเหล่านี้เห็นว่าการนำอิสลามกลับมาเป็นระเบียบทางสังคมใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้นคือหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยชาติมุสลิมให้หลุดพ้นจากแอกอาณานิคมของตะวันตกได้ในทุกด้าน ด้วยเหตุนี้ ขบวนการฟื้นฟูอิสลามในประเทศมุสลิมต่างๆจึงเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ขบวนการอิควาน อัลมุสลิมูน(ภารดรมุสลิม)ในอียิปต์ ขบวนการมะฮ์ดีในซูดาน ขบวนการซานุสซีในลิเบีย เป็นต้น

ขบวนการเหล่านี้มีเป้าประสงค์ชัดเจนเหมือนกันหมด นั่นคือการทำลายอำนาจของชาติตะวันตกที่ยึดครองประเทศของตนและนำเอาอิสลามกลับมาใช้เป็นระเบียบทางสังคมอกีครั้งหนึ่ง ขบวนการเหล่านี้ต้องต่อสู้กับรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของชาติมหาอำนาจอย่างทรหด บางขบวนการถูกทำลายไปอย่างสิ้นซากในขณะที่บางขบวนการยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่แข็งแรงพอที่จะออกมารณรงค์ได้อย่างเปิดเผย ตะวันขึ้นที่อิหร่านชัยชนะในการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านของอิมามโคมัยนีที่สามารถโค่นอำนาจของกษัตริชาห์พันธมิตรที่สนิทแนบแน่นของสหรัฐและชาติตะวันตกได้ทำให้กระแสการฟื้นฟูอิสลามในชุมชนและประเทศมุสลิมเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งซึ่งหมายความว่าอิสลามยังคงมีชีวิตอยู่ ถึงแม้โลกมุสลิมซุนนีส่วนใหญ่จะมองการปฏิวัติในอิหร่านว่าเป็นการปฏิวัติของมุสลิมชีอ๊ะฮฺ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎระเบียบและวัฒนธรรมความเชื่อของอิสลามสามารถนำมาใช้ในโลกสมัยใหม่ได้จริงชัยชนะของขบวนการอิสลามในอิหร่านได้ปลุกความสำนึกในการกลับไปสู่อิสลามขึ้นในหมู่หนุ่มสาวมุสลิมรุ่นใหม่ทั่วโลก เด็กสาววัยรุ่นและนักเรียนนักศึกษาหญิงมุสลิมในประเทศต่างๆหันมาแต่งกายตามแบบอิสลามด้วยความภาคภูมิใจทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อน

ส่วนเด็กหนุ่มวัยรุ่นก็หันมาศึกษาอิสลามมากขึ้น ชุมชนและประเทศมุสลิมบางประเทศ เช่น อียิปต์ มาเลเซีย เริ่มนำเอาระบบธนาคารและประกันภัยอิสลามที่ปราศจากดอกเบี้ยมาใช้ หรือแม้กระทั่งการรณรงค์ให้ประเทศมุสลิมหันมาใช้สกุลเงินอิสลามเป็นมาตรฐานในการติดต่อซื้อขายแทนการใช้เงินดอลล่าร์ของสหรัฐ บางประเทศอย่างเช่น ไนจีเรีย ต้องการนำเอากฎหมายลงโทษของอิสลามมาใช้ เป็นต้นกระแสการการหันกลับไปสู่อิสลามเหล่านี้ได้ถูกชาติตะวันตกและชาติขี้ข้าตะวันตกมองด้วยความขัดหูขัดตาและมีอคติอยู่ตลอดเวลา เช่น ในประเทศต้นแบบเสรีประชาธิปไตยอย่างฝรั่งเศสถึงกับห้ามนักศึกษาหญิงแต่งกายแบบอิสลามเข้าในมหาวิทยาลัย เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับไปสู่ระเบียบโลกเก่าซึ่งเริ่มเป็นการขัดขวางความพยายามของชาติมหาอำนาจสหรัฐที่ต้องการจะสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ขัดต่อคำสอนของศาสนาและกดขี่ขึ้นบนโลก

สถานการณ์ดังกล่าวนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่เรียกว่า ?การปะทะกันของอารยธรรม? และสถานการณ์ดังกล่าวนี้จะนำไปสู่สงครามใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา: oknation.net

อัพเดทล่าสุด