ซุนนะฮฺในวันอีด ตามหลักฐานจากอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คือ
ซุนนะฮฺในวันอีด ท่านนบีทำอะไรบ้างในวันอีด?
วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม มีสองวันคือ อีดี้ลฟิฏรฺและอีดิ้ลอัฎฮา ดังมีหะดีษบันทึกโดยอิมามอันนะซาอียฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อพยพจากมักกะฮฺไปมะดีนะฮฺ และได้พบว่าชาวมะดีนะฮฺฉลองอีด 2 วัน ซึ่งเป็นวันฉลองของชาวอาหรับโบราณ
ท่านนบี (ซ.ล.) จึงได้ตั้งกฎระเบียบสำหรับเรื่องการฉลองของมุสลิม โดยท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
قال أنس -رضي الله عنه-: قدم النبي صلى الله عليه وسلم المدينة، ولهم يومان يلعبون فيهما، فقال: (قد أبدلكم الله بهما خيرًا منهما: يوم الفطر، ويوم الأضحى . النسائي
ความหมาย "อัลลอฮฺทรงเปลี่ยนสองวันนี้(ที่พวกท่านกำลังฉลองอยู่ตามประเพณีอาหรับโบราณ) ด้วยสองวันอันประเสริฐยิ่งกว่า คือ วันอีดิ้ลฟิฏรฺ และวันอีดิ้ลอัฎฮา"
อุละมาอฺได้ตีความสำนวนหะดีษที่ว่า "อัลลอฮฺได้เปลี่ยนให้แก่พวกเจ้า" แสดงว่าการเปลี่ยนสองวันนี้เป็นการกำหนดของอัลลอฮฺ ที่ต้องเคารพและให้เกียรติ เพราะฉะนั้นถ้ามุสลิมให้ความสำคัญหรือเชื่อว่าวันอื่นๆมีความประเสริฐกว่าสองวันนี้ ก็เสมือนว่าได้ปฏิเสธการกำหนดของอัลลอฮฺ ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะมุสลิมสมัยนี้ได้รวมเอาเรื่องที่เป็นประเพณีปฏิบัติหรือค่านิยมของสังคมเข้ามามีความสำคัญในชีวิต เราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับหลักการอิสลาม
คำว่า "อีด" ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฉลองเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น หากแต่เป็นพิธีกรรมทางศาสนา เมื่อมาพิจารณาในหลักการอิสลามก็พบว่าจริง เพราะในวันอีดก็จะต้องมีการละหมาดอีด ซึ่งมีความสำคัญมาก แม้แต่คนที่ตลอดปีไม่ละหมาด อย่างน้อยก็ต้องมาละหมาดวันอีดทั้งสอง
เมื่อพิจารณาในศาสนาอื่น เช่น วันคริสต์มาสของศาสนาคริสต์ก็มีข้อเกี่ยวพันกับศาสนาของเขา, วันสำคัญของศาสนาอื่นก็ไม่นำศาสนาอิสลามไปปะปนกับเขา เราก็ต้องตระหนักว่าวันสำคัญในความเชื่อของมุสลิมนั้นเป็นเรื่องของศาสนา และมีสองประการสำคัญที่เราต้องตระหนักและเคร่งครัดในการปฏิบัติ คือ
- ประการแรก ไม่อนุญาตให้เฉลิมฉลองในวันฉลองของศาสนาอื่นที่มิใช่อิสลาม อันเป็นมติเอกฉันท์ของอุละมาอฺทั้งหลาย ซึ่งขั้นต่ำที่สุดของหุกุ่มแห่งการฉลองวันสำคัญของศาสนาอื่นก็คือหะรอม ถือเป็นกะบีเราะฮฺ(บาปใหญ่) อุละมาอฺบางท่านมีทัศนะว่าอาจเป็นการปฏิเสธ(กุฟรฺ)ด้วย เช่น งานฉลองบางงานมีการสวดหรือทำพิธีทางศาสนาอื่น เราก็ไปร่วมอยู่ด้วย ทั้งๆที่อัลกุรอานบอกว่าไม่ให้อยู่ร่วมในสถานที่ๆมีการปฏิเสธหลักการของอัลลอฮฺ แม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมเช่นเดียวกับเขา แต่เราไปร่วมก็แสดงว่าให้ความสำคัญ
- ประการที่สอง มุสลิมจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เกียรติและให้ความสำคัญกับวันอีดที่อัลลอฮฺได้บัญญัติไว้ ในซูเราะฮฺอัลฮัจญฺ อายะฮฺที่ 32 อัลลอฮฺตรัสว่า
ذَلِكَ وَمَن يُعَظِّمْ شَعَائِرَ اللَّهِ فَإِنَّهَا مِن تَقْوَى الْقُلُوبِ
ความหมาย "เช่นนั้นแหละ ใครที่ให้เกียรติ(ให้ความยิ่งใหญ่ความสำคัญ)บทบัญญัติของอัลลอฮฺ(การฉลองอีด ทำกุรบาน ประกอบพิธีฮัจญฺ)นั้น นั่นแสดงถึงความยำเกรงที่อยู่ในหัวใจของเขา"
ในเมื่อวันอีด เป็นพิธีกรรมทางศาสนาก็ต้องมีสิ่งที่ต้องกระทำในวันนั้น เช่นเดียว กับวันศุกร์ที่มีข้อควรปฏิบัติเป็นพิเศษตามซุนนะฮฺของท่านนบี คือ อ่านซูเราะฮฺอัสสะญะดะในละหมาดซุบฮฺ, อ่านซูเราะฮฺกะหฟฺ, อาบน้ำซุนนะฮฺ, ให้มีคุฏบะฮฺ, ให้พบปะพี่น้อง, ให้ขยันขอดุอาอฺโดยเฉพาะในเวลาดุอาอฺมุสตะญาบ ซึ่งเราต้องศึกษาซุนนะฮฺของท่านนบี (ซ.ล.) ในวันนั้นเพื่อที่จะปฏิบัติได้ถูกต้อง
ซุนนะฮฺในวันอีด ตามหลักฐานจากอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม คือ
1. ให้แต่งกายอย่างสวยงาม ใช้เสื้อผ้าที่พิเศษ ท่านนบี (ซ.ล.) จะมีชุดพิเศษสำหรับวันศุกร์และสำหรับต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมท่าน ในบันทึกของท่านอิมามบุคอรียฺ ท่านอุมัร อิบนุลค็อฏฏ๊อบ ได้เห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งขายในตลาดก็ได้แนะนำท่านนบี (ซ.ล.) ว่า
โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ซื้อตัวนี้สิครับ ท่านจะได้สวมเสื้อสวยๆในวันอีดและเมื่อมีแขกมาเยี่ยมท่าน -- จากหะดีษบทนี้แสดงว่าเป็นที่รู้กันในบรรดามุสลิมีนสมัยนั้นว่า ให้เตรียมชุดที่สวยงามไว้สำหรับวันอีด และท่านนบี (ซ.ล.) ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
- อิมามมาลิกบอกว่าฉันได้ยินว่าบรรดาผู้รู้จะแต่งตัวดีและใส่น้ำหอมในวันอีด
- ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร (เศาะฮาบะฮฺ) เมื่อถึงวันอีดจะเลือกเสื้อผ้าที่สวยที่สุดมาสวม
- ถ้าไม่มีเสื้อผ้าใหม่ๆ ก็ให้เลือกเสื้อผ้าที่ซักรีดอย่างดี เพื่อแสดงให้เห็นว่าการที่เราแต่งตัวดีกว่าวันอื่นเพราะเราให้ความสำคัญกับวันนี้
2. อาบน้ำซุนนะฮฺ ในวันอีดไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี (ซ.ล.) ว่าได้กระทำ (ที่มีหลักฐานคือท่านนบีจะอาบน้ำซุนนะฮฺวันศุกร์) แต่มีหลักฐานจากการปฏิบัติของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ เช่น ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร และเป็นที่รู้กันของเศาะฮาบะฮฺส่วนมาก
3. ห้ามถือศีลอดในวันอีด ถ้าถือศีลอดในวันนี้ถือว่าโมฆะและเป็นการทำสิ่งที่ชั่วร้าย มีหะดีษบันทึกโดยอิมามบุคอรียฺ ท่านนบี (ซ.ล.) กล่าวว่า
«لا صوم في يومين: الفطر والأضحى » .
ความหมาย "ไม่มีการถือศีลอดในสองวัน : คืออีดุ้ลฟิฏรฺและอีดุ้ลอัฎฮา"
อิมามอันนะซาอียฺ กล่าวว่าอุละมาอฺมีมติเอกฉันท์ว่าการถือศีลอดในวันอีดนั้นห้ามโดยเด็ดขาด
4. การรับประทานอาหารก่อนละหมาดอีด - สำหรับอีดุ้ลฟิฏร ให้รีบทานอาหารก่อนไปละหมาด ส่วนอีดุ้ลอัฎฮา รอจนละหมาดอีดเสร็จแล้ว จึงรับประทานเนื้อกุรบานก่อน
في صحيح البخاري ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ رضي الله عنه قَالَ
: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا يَغْدُو يَوْمَ الْفِطْرِ حَتَّى يَأْكُلَ تَمَرَاتٍ" .
ในบันทึกของอิมามอัลบุคอรียฺ รายงานจากท่านอนัส อิบนุมาลิก ว่า "ท่านนบี (ซ.ล.) จะไม่ออกไปในวันอีดิ้ลฟิฏรฺ จนกว่าจะได้รับประทานอินทผลัมหลายเม็ด (โดยจะรับประทานเป็นจำนวนคี่ (3/5/7 เม็ด))"
فعن بريدة -رضي الله عنه- قال: كان النبي صلى الله عليه وسلم لا يخرج يوم الفطر حتى يَطعم،
ولا يطعم يوم الأضحى حتى يصلي .الترمذي.
และในบันทึกของอิมามอัตติรมิซียฺ เชคอัลบานียฺว่าเศาะฮี้ฮฺ จากรายงานของท่านบุร็อยดะฮฺว่า "ท่านนบี (ซ.ล.) จะไม่ออกไปในวันอีดุ้ลฟิฏรฺจนกว่าจะได้รับประทานอาหาร และท่านจะไม่กินอะไรเลยในวันอีดิ้ลอัฎฮา จนกว่าจะละหมาด(จึงจะรับประทานอาหาร(เนื้อกุรบาน))"
5. ละหมาดอีด อุละมาอฺส่วนมากเห็นว่าเป็นซุนนะฮฺมุอั๊กกะดะฮฺ(ชอบให้กระทำ) บางท่านก็ว่าเป็นฟัรดูอัยนฺเพราะท่านนบีรณรงค์ให้ละหมาดอีด แม้กระทั่งผู้หญิงที่มีประจำเดือน,คนชรา, หญิงสาวที่มีความอายไม่ชอบออกข้างนอก ก็ให้ออกไปร่วมด้วย
عَنْ أُمِّ عَطِيَّةَ رضي الله عنها أنها قَالَتْ : أَمَرَنَا رَسُولُ اللَّهِ أَنْ نُخْرِجَهُنَّ فِي الْفِطْرِ وَالْأَضْحَى ، الْعَوَاتِقَ وَالْحُيَّضَ وَذَوَاتِ الْخُدُورِ ، فَأَمَّا الْحُيَّضُ فَيَعْتَزِلْنَ الصَّلَاةَ وَيَشْهَدْنَ الْخَيْرَ وَدَعْوَةَ الْمُسْلِمِينَ ، قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِحْدَانَا لَا يَكُونُ لَهَا جِلْبَابٌ ؟ قَالَ :«لِتُلْبِسْهَا أُخْتُهَا مِنْ جِلْبَابِهَا» .
ท่านนบี (ซ.ล.) กล่าวว่า "สำหรับหญิงที่มีประจำเดือนให้แยกตัวออกจากการละหมาด แต่ให้ไปร่วมในบริเวณที่ละหมาด เพื่อจะได้รับความดี" อุมมุอะฏียะฮฺถามว่า "คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเราบางครั้งไม่มีหิญาบเพื่อจะออกข้างนอก จะทำอย่างไร" ท่านนบี (ซ.ล.) ตอบว่า "ให้ยืมจากพี่น้อง(เพื่อจะไปละหมาดอีด)" แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาดอีด ท่านอิบนุตัยมียะฮฺมีทัศนะว่าผู้หญิงจำเป็น(วาญิบ)ต้องออกไปละหมาดอีด โดยอ้างอิงจากคำกล่าวของท่านอบูบักร อัศศิดดี๊ก
6. ละหมาดอีดที่มุศ็อลลา ลักษณะมุศ็อลลาเป็นที่โล่งในทะเลทรายไม่มีอาคารใกล้ๆ ตลอดชีวิตของท่านนบีไม่เคยละหมาดอีดที่มัสญิด (ยกเว้นครั้งเดียวที่ฝนตกท่านนบีได้ละหมาดที่มัสญิด ซึ่งเป็นหะดีษฎออีฟ) ท่านละหมาดที่มุศ็อลลาทุกครั้ง อันเป็นซุนนะฮฺที่ถูกละเลยในปัจจุบัน แต่ทุกช่วงของประวัติศาสตร์อิสลามก็จะมีผู้ฟื้นฟูซุนนะฮฺอยู่เสมอ แม้ว่าในซาอุดิอาระเบียจะปฏิบัติตามซุนนะฮฺนี้มาตลอด แต่ประเทศอาหรับอื่นๆกลับละทิ้ง ผู้ฟื้นฟูท่านแรกคือเชคอัลบานียฺซึ่งอยู่ที่ซีเรีย (ท่านเป็นช่างซ่อมนาฬิกา สมญานามท่านคือ อัซซาอะฮฺ ท่านจะเปิดร้านนาฬิกาครึ่งวันเช้า พอบ่ายก็จะไปอยู่ที่ห้องสมุดเมืองดิมัชกฺ เป็นห้องสมุดที่มีหนังสือโบราณตั้งแต่สมัยอิมามอัลบุคอรียฺ อิมามมุสลิม ฯลฯ เป็นตำราโบราณเกี่ยวกับหะดีษ ใช้ภาษาอาหรับโบราณ ไม่มีจุด เชคอัลบานียฺเป็นคนแรกที่เข้ามาจัดระเบียบห้องสมุดแห่งนี้) ท่านถูกต่อต้านและต่อว่าที่ไปละหมาดอีดที่มุศ็อลลาซึ่งสมัยนั้นไม่มีใครทำ ท่านจึงได้เขียนหนังสืออัซซุนนะฮฺให้ละหมาดที่มุศ็อลลา มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ซุนนะฮฺการละหมาดอีดที่มุศ็อลลาจึงได้รับการฟื้นฟูทั่วโลก
7. ให้เดินไปสู่มุศ็อลลา (สถานที่โล่ง ไม่มีอาคาร)- เมื่อก่อนมะดีนะฮฺเป็นเมืองเล็กๆ ขนาดเท่ากับมัสญิดนบีในปัจจุบัน มุศ็อลลาสมัยท่านนบี (ซ.ล.) ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองมะดีนะฮฺ ท่านนบีจะเดินออกจากบ้านไปมุศ็อลลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่าน หลักฐานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร ว่า ท่านนบี (ซ.ล.) จะออกไปสู่มุศ็อลลา และขากลับท่านจะเดินหากทำได้ (หรือจะขี่พาหนะก็ได้)
8. ให้สลับเปลี่ยนทางเดินขาไปและขากลับจากมุศ็อลลา คือไปทางหนึ่งกลับอีกทางหนึ่ง
في صحيح البخاري عَنْ جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ : "كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا كَانَ يَوْمُ عِيدٍ خَالَفَ الطَّرِيقَ ".ولعل العلة أن يقابل عدداً كبيراً من أصحابه بذلك [زاد المعاد (1/449
มีหะดีษบันทึกโดยอิมามอัลบุคอรียฺ รายงานจากท่านญาบิร อิบนิอับดิลลาฮฺ ว่า ท่านนบี (ซ.ล.) จะเดินทางในวันอีดโดยจะเปลี่ยนทางเดินขากลับ - อุละมาอฺให้เหตุผลว่า เพื่อที่ท่านนบีจะได้ให้สลามกับผู้ที่อยู่ในเส้นทางทั้งสองนั้น เป็นการพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องมุสลิมให้ทั่ว, หรือเพื่อเปิดเผยกิจกรรมของศาสนาให้คนทั่วไปทราบว่านี่เป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองของมุสลิม, หรือเพื่อที่สถานที่ต่างๆที่เราผ่านไปจะเป็นสักขีพยานแก่เรา เหล่านี้เป็นทัศนะของอุละมาอฺที่ได้จากการตีความ ไม่มีตัวบทหลักฐานจากท่านนบี (ซ.ล.)
9. การกล่าวตักบีร เป็นซุนนะฮฺของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ให้ตักบีรในสองอีด สำหรับอีดุ้ลอัฎฮาเศาะฮาบะฮฺเริ่มตักบีร(และซิกรุลลอฮฺ)ตั้งแต่วันแรกของซุลฮิจญะฮฺ เป็นการตักบีรทั่วไป(ตักบีรมุฏลัก) ตักบีรเมื่อใดก็ได้ไม่ใช่เฉพาะหลังละหมาด ส่วนตักบีรเฉพาะอีด(ตักบีรมุก็อยยัด)จะเริ่มตั้งแต่หลังละหมาดซุบฮิวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ (วันอะเราะฟาต) ตักบีรเสียงดังหลังละหมาดทุกเวลา จนถึงหลังละหมาดอัสริวันที่ 13 ซุลฮิจญะฮฺ รวมห้าวัน และให้กล่าวตักบีรทั่วไปตั้งแต่ออกจากบ้านในวันอีดจนกระทั่งถึงมุศ็อลลา ให้ตักบีรตลอดเวลา ทั้งเสียงดังและเบา หยุดตักบีรเมื่อเริ่มละหมาดอีด
10. สำนวนตักบีร มีหลายสำนวน
1- จากการบันทึกของอิมามอิบนุอบีชัยบะฮฺ เชคอัลบานียฺตรวจสอบและว่าสายสืบเศาะฮี้ฮฺ
كان ابن مسعود رضي الله عنه يقول : اللَّهُ أَكْبَرُ اللَّهُ أَكْبَرُ ، لَا إلَهَ إلَّا اللَّهُ ، وَاَللَّهُ أَكْبَرُ اللَّهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ [ابن أبي شيبة] .
ในวันอีดท่าน(อิบนิมัสอู๊ด)จะตักบีรว่า "อัลลอฮุอักบะรุลลอฮุอักบัร (อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร) ลาอิลาหะอิลลัลลอฮุ วัลลอฮุอักบัร(ไม่มีพระเจ้าใดนอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกรียงไกร) อัลลอฮุอักบัร(อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร) วะลิลลาฮิลฮัมดฺ(การสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ)" มีอีกรายงานหนึ่งที่เพิ่มตักบีรเป็น 3 ครั้ง ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ทั้งสองแบบ
2- จากท่านอิบนิอับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ท่านเคยตักบีรว่า
وعن ابن عباس رضي الله عنهما :" الله أكبر ، الله أكبر ، الله أكبر ، ولله الحمد ، الله أكبر وأجل ، الله أكبر على ما هدانا" [البيهقي[
"อัลลอฮุอักบะรุลลอฮุอักบัร (อัลลอฮฺทรงเกรียงไกรยิ่ง) อัลลอฮุอักบัร วะลิลลาฮิลฮัมดฺ (อัลลอฮฺทรงเกรียงไกรยิ่ง การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ) อัลลอฮุอักบะรุวะอะญัล (อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร อัลลอฮฺทรงยิ่งใหญ่) อัลลอฮุอักบะรุอะลามาหะดานา (อัลลอฮฺทรงเกรียงไกรเนื่องจากว่าอัลลอฮฺทรงให้ทางนำแก่เรา)" (บันทึกโดยอิมามอัลบัยหะกียฺ เชคอัลบานียฺบอกว่าสายสืบเศาะฮีฮฺ)
ตักบีรแล้วให้รำลึกถึงความหมายด้วยว่าอัลลอฮฺยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าหลงไปกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวสวยงาม, การเชือดกุรบาน(อุฎหิยะฮฺ) ซึ่งเรากระทำด้วยความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงบัญชาให้เราทำเนื่องจากการเชือดของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ที่ถูกทดสอบให้เชือดลูกของท่านและท่านก็ยอมที่จะกระทำตามบัญชา เพราะอัลลอฮฺยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน บิดามารดา สถาบัน ฯลฯ และเราก็ต้องกลับมาทบทวนว่าชีวิตของเรามีอะไรยิ่งใหญ่กว่าอัลลอฮฺหรือไม่
คำอวยพรในวันอีด
11. การให้พรแก่พี่น้อง ซึ่งไม่มีรูปแบบจากท่านนบีว่าเป็นแบบใด แต่มีจากเศาะฮาบะฮฺที่ใช้สำนวนว่า
تَقَــبَّــلَ اللهُ مِنَّا وَمِــنْــكُم
"ตะก๊อบบะลัลลอฮุ มินนาวะมินกุม"
ขอให้อัลลอฮฺทรงตอบรับ (การงานที่เราได้ปฏิบัติในเดือนรอมฎอน(สำหรับอีดุ้ลฟิตรฺ)และในสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ(สำหรับอีดุ้ลอัฎฮา)) จากพวกเราและพวกท่าน
เป็นคำอวยพรให้อัลลอฮฺตอบการงานของเราหลังจากที่เราขยันปฏิบัติอิบาดะฮฺอย่างมากมายในช่วงก่อนหน้านี้(คือเดือนรอมฎอนและสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ) และเป็นการแสดงความปีติยินดี ความสนุกสนานในสิ่งที่หะล้าล(ไม่ผิดหลักการ)