เรื่องราวของฮารู๊ตและมารู๊ต ในซูเราะห์อัลบะกอเราะห์


110,135 ผู้ชม


เรื่องราวของฮารู๊ตและมารู๊ต ในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์

เรื่องราวของ มะลาอิเกาะฮ์ ที่มีนามว่า ฮารูตและมารูต ซึ่งได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ มีดังนี้

"และพวกเขาได้ประพฤติตามสิ่งที่เหล่ามารร้ายได้นำมาอ่านในยุคปกครองของ(นบี)สุลัยมาน (สิ่งนั้นคือตำราทางไสยศาสตร์และมายากล) และสุลัยมานมิได้เนรคุณ (ต่ออัลเลาะฮ์) แต่พวกมารร้ายเหล่านั้นต่างหากที่เนรคุณ พวกมันสอนวิชาไสยศาสตร์แก่มนุษย์ทั้งหลาย และ(พวกมันได้สอน) วิชาที่ถูกประทานแก่มลาอิกะฮ์สององค์ ณ เมืองบาบิล (ซึ่งทั้งสองคือ) ฮารู๊ตและมารู๊ต และทั้งสองจะยังไม่สอน (วิชาไสยศาสตร์ดังกล่าว) แก่ผู้ใดทั้งสิ้น จนกว่าทั้งสองจะประกาศตัวว่า "เราเป็นข้อทดสอบ ดังนั้น ท่านจงอย่าเนรคุณ" แต่แล้วพวกเขาเหล่านั้นต่างก็พร่ำเล่าเรียนจากทั้งสอง (วิชาดังกล่าวซึ่งเป็น) สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องแตกแยกกัน เพราะมันระหว่างชายคนหนึ่งกับภริยาของเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นหาได้ใช้สิ่งนั้นมาทำอันตรายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้ไม่ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุญาตของอัลเลาะฮ์เท่านั้น และพวกเหล่านั้นต่างก็เรียนวิชาที่ให้โทษแก่พวกเขาเอง และมันไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขาเลย ขอยืนยัน แท้จริงพวกเขาก็รู้ดีว่าใครกันที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนมัน(คำภีร์เตารอฮ์) เขาผู้นั้นย่อมไม่มีส่วนวาสนาใด ๆ ในโลกหน้าเลย และสิ่งที่เขาได้นำมาขายตัวของเขาเองนั้นช่างเลวร้ายสิ้นดี ทั้งนี้หากพวกเขารู้" อัลบะกอเราะฮ์ 102
ประเด็นที่ชี้แจงเกี่ยวกับอายะฮ์นี้ คือ ประเด็นของมะลาอิกะฮ์ ที่มีนามว่า ฮารู๊ตและมารู๊ต เรื่องราวเบื้องต้นคือ ในสมัยของท่านนบี สุลัยมาน อะลัยฮิสลาม ได้เป็นกษัตริย์นั้น เป็นยุคสมัยที่พวกยิว(ยะฮูดีย์) นิยมให้เวตมนต์ไสยศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ได้รับสือทอดวิชาดังกล่าวมาจากพวกญินและมารร้าย(ชัยฏอน) ซึ่งพวกมารร้ายจะโขมยหรือแอบฟังเรื่องราวต่าง ๆ บนชั้นฟ้า ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์บนผืนโลก แต่ทว่าพวกมันได้ยินแบบสับสนเจือปนไปด้วยความโกหกมุสา และพวกเขาก็นำมาใช้ทำนาย แล้วพวกเขาก็ทำการบันทึกเป็นตำราขึ้นมาเพื่อใช้อ่านและทำการเรียนการสอนให้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย
และเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เกิดขึ้นแพร่หลายในสมัยของท่านนบี สุลัยมาน อะลัยฮิสลาม และจนกระทั่งพวกยิวกล่าวกันว่า ไสยศาสตร์และมายากลที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมันมานั้น เป็นวิทยาการหรือศาสตร์ของนบีสุลัยมาน ซึ่งท่านนบีสุลัยมานไม่สามารถเป็นกษัตริย์ปกครองได้นอกจากใช้ด้วยวิชานี้ ดังนั้น พวกเขาจึงน้อมตามตำราไสยศาสตร์และปฏิเสธคำภีร์ของบรรดานบี (อะลัยฮิมุสลาม) ฉะนั้น อัลเลาะฮ์ทรงตอบโต้คำพูดของพวกเขาดังกล่าว ความว่า "สุลัยมานมิได้เนรคุณ (ต่ออัลเลาะฮ์ด้วยการสอนไสยศาสตร์เพราะสุลัยมานไม่ได้สอนไสยศาสตร์) แต่พวกมารร้ายเหล่านั้นต่างหากที่เนรคุณ" คือ พวกมารร้ายได้สอนไสยศาสตร์แก่บรรดามนุษย์ทั้งหลายเพื่อให้พวกเขานำไปปฏิบัติ ซึ่งพวกเขามีเป้าหมายหลอกลวงและทำให้ผู้คนลุ่มหลงด้วยกับสิ่งดังกล่าว
และวิชาไสยศาสตร์ที่พวกมารร้ายสอนแก่บรรดามนุษย์ทั้งหลายนั้น คือวิชาไสยศาสตร์ ที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งองค์ พระองค์ทรงส่งมาลาอิกะฮ์สองท่านที่ชื่อ ฮารู๊ตและมารู๊ตมา เพื่อให้มนุษย์ทราบถึงข้อเท็จจริงของไสยศาสตร์ และเพื่อให้ทั้งสองทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะระหว่างมั๊วะญิซาตกับไสยศาสตร์ ซึ่งมะลาอิกะฮ์ทั้งสองได้ลงมาที่ เมืองบาบิล ซึ่งอยู่ที่อิรักและครอบคลุมถึงอียิปต์ด้วย มะลาอิกะฮ์ทั้งสองได้ทำการสอนไสยศาสตร์ต่อบรรดามนุษย์ทั้งหลาย จนกระทั่งทั้งสองบอกว่า เราได้ถูกอัลเลาะฮ์ส่งมาเพื่อทำการทดสอบพวกท่าน และให้พวกท่านจงระวังเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ดังนั้นพวกท่านอย่าเนรคุณ(กุฟุร) เพราะเรื่องไสยศาสตร์นั้น ส่วนมากแล้วอยู่บนการเนรคุณ(กุฟุร) และเมืองอิรักและอียิปต์ในขณะนั้น มีบรรดาผู้คนที่ชอบใช้ไสยศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทำแต่งตั้งนบีมูซา อะลัยฮิสลาม มาทำลายไสยศาสตร์และมายากลเหล่านั้นด้วยไม้เท้าของท่าน"
นั่นคือเรื่องราวพอสังเขปของ มะลาอิกะฮ์ ฮารู๊ตและมารู๊ต ที่มีความถูกต้อง
วัลลอฮุอะลัม

ซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ พร้อมความหมาย มี 286 อายะห์

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{2:1} อะลีฟ ลาม มีม

{2:2} นั่นคือคัมภีร์ที่ไม่มีข้อสงสัยอยู่ในนั้น เป็นทางนำสำหรับมวลผู้ยำเกรง

{2:3} บรรดาผู้ที่มีศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย และพวกเขาดํารงการนมาซ และบริจาคจากสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขา

{2:4} บรรดาผู้ที่มีศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เธอ และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมาก่อนหน้าเธอ และต่อปรโลกนั้น พวกเขามั่นใจ

{2:5} คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อยู่บนทางนำจากพระเจ้าของพวกตน และพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ

{2:6} แท้จริง บรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ย่อมเสมอกันสำหรับพวกเขา ไม่ว่าเธอจะตักเตือนพวกเขาหรือไม่ตักเตือนก็ตาม พวกเขาจะไม่มีศรัทธา

{2:7} อัลลอฮฺได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขาและหูของพวกเขา และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มีเยื่อปกปิดอยู่ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันมหันต์

{2:8} และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า "พวกเรามีศรัทธาในอัลลอฮฺ และในวันสุดท้าย" แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้มีศรัทธาดอก

{2:9} พวกเขาคิดหลอกลวงอัลลอฮฺและบรรดาผู้มีศรัทธา และพวกเขาเพียงแต่หลอกลวงตนเอง ทว่าพวกเขาไม่รู้ตัว

{2:10} ในจิตใจของพวกเขานั้นมีโรค ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้เพิ่มโรคแก่พวกเขาอีก และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด เนื่องจากการที่พวกเขาเคยโกหก

{2:11} และเมื่อได้มีการบอกแก่พวกเขาว่า "จงอย่าบ่อนทำลายในแผ่นดิน" พวกเขาจะตอบว่า "แท้จริงแล้ว พวกเราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก"

{2:12} พวกเขาเป็นผู้บ่อนทำลายไม่ใช่หรือ? แต่พวกเขาไม่รู้ตัว

{2:13} และเมื่อได้มีการบอกแก่พวกเขาว่า "จงมีศรัทธาเหมือนกับที่ผู้คนเขามีศรัทธากัน" พวกเขาก็กล่าวว่า "จะให้พวกเรามีศรัทธาเหมือนกับที่คนเขลาเหล่านั้นมีศรัทธากระนั้นหรือ?" จงรู้ไว้เถิดว่า "พวกเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนเขลา แต่พวกเขาไม่รู้"

{2:14} และเมื่อพวกเขาได้พบบรรดาผู้มีศรัทธา พวกเขากล่าวว่า "เรามีศรัทธาแล้ว" แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลําพังกับบรรดาชัยฏอนของพวกตน พวกเขาก็จะกล่าวว่า "แท้จริงเราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงแต่จะเยาะเย้ยเล่นเท่านั้น"

{2:15} อัลลอฮฺดอกที่กําลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่ และทรงปล่อยให้พวกเขามืดมนอยู่ในความละเมิด

{2:16} เหล่านี้คือคนที่แลกเอาความหลงผิดด้วยทางนำ การค้าของพวกเขาจึงไม่ก่อกําไร และพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ได้รับการชี้นำ

{2:17} อุปมาพวกเขา อุปมัยดั่งชายคนหนึ่งได้จุดไฟขึ้น และเมื่อมันส่องแสงสว่างแก่สิ่งที่อยู่รอบข้างเขา อัลลอฮฺก็ได้ทรงดับแสงของพวกเขานั้นไป และทรงปล่อยพวกเขาอยู่ในความมืดมน มองไม่เห็น

{2:18} พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่หวนกลับมา

{2:19} หรือดั่งฝนหนักที่กระหน่ำลงมาจากฟ้า ที่ตามมาด้วยความมืดทึบ ฟ้าร้อง และฟ้าแลบ พวกเขาจะเอานิ้วมืออุดหูของพวกตน เนื่องจากเสียงอสุนีบาต เพราะกลัวต่อความตาย และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน

{2:20} สายฟ้าแลบแทบจะโฉบเฉี่ยวเอานัยตาของพวกเขาไป เมื่อใดที่มันส่องแสงสว่างแก่พวกเขา พวกเขาก็เดินคืบหน้าต่อไป แต่เมื่อมันมืดมิดสำหรับพวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน และถ้าอัลลอฮฺทรงประสงค์ พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขาและการเห็นของพวกเขาออกไป แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:21} ดูกร ปวงมนุษย์! จงเคารพสักการะพระเจ้าของพวกเธอ พระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ และบรรดาชนก่อนหน้าพวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:22} พระผู้ทรงบันดาลแผ่นดินสำหรับพวกเธอให้เป็นพื้นราบ และฟ้าเป็นหลังคา และทรงนำน้ำลงมาจากฟ้า และด้วยน้ำนั้นทรงบันดาลให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เป็นเครื่องยังชีพสำหรับพวกเธอ ดังนั้น ก็จงอย่าอุปโลกน์สิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ ในเมื่อพวกเธอรู้ดีแล้ว

{2:23} และถ้าหากพวกเธอยังแคลงใจในสิ่งที่เราได้ประทานมาแก่บ่าวของเรา พวกเธอก็จงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกบรรดาผู้ช่วยเหลือของพวกเธอมา นอกจากอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเธอแน่จริง

{2:24} แต่ถ้าหากพวกเธอไม่ทำ และพวกเธอก็ไม่อาจจะทำได้ดอก ก็จงระวังเพลิงนรก ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีหมู่มนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง

{2:25} และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้มีศรัทธาและประกอบการดีทั้งหลายว่า พวกเขาจะได้รับเหล่าสวรรค์ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องล่างของมัน คราวใดที่พวกเขาได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า "นี่เป็นสิ่งที่เคยมีให้แก่พวกเรามาก่อน" และจะมีมาให้แก่พวกเขาเยี่ยงเดียวกัน และพวกเขาในนั้น จะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ และพวกเขาทั้งหลายจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:26} แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงอายที่จะยกอุทาหรณ์เยี่ยงยุงหรือที่เหนือกว่านั้น บรรดาผู้ปฏิเสธก็กล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงมีจุดประสงค์อันใดเล่ากับอุทาหรณ์นี้?" ด้วยอุทาหรณ์นี้ อัลลอฮฺทรงปล่อยให้คนมากมายหลงทาง และด้วยอุทาหรณ์นี้ทรงนำทางคนมากมายสู่หนทางที่ถูกต้อง แต่พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงทางด้วยอุทาหรณ์นี้ นอกจากผู้ฝ่าฝืน

{2:27} ผู้ซึ่งทำลายสัญญาของอัลลอฮฺหลังจากที่รับรองมันแล้ว และผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮฺได้บัญชาให้สัมพันธ์ และผู้ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่สูญเสีย

{2:28} พวกเธอปฏิเสธอัลลอฮฺได้อย่างใดกัน? ทั้ง ๆ ที่พวกเธอเคยไร้ชีวิตมาก่อน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเธอมีชีวืต หลังจากนั้นพระองค์จะทรงทำให้พวกเธอตาย แล้วจะทรงทำให้พวกเธอมีชีวิตอีก แล้วยังพระองค์ พวกเธอจะถูกนำกลับคืน

{2:29} พระองค์คือพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อพวกเธอ แล้วพระองค์ได้ทรงมุ่งไปยังท้องฟ้า และทรงจัดลําดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์คือพระผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง

{2:30} (จงรำลึก)เมื่อพระเจ้าของเธอได้ตรัสต่อมะลาอิกะฮฺว่า "ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามะลาอิกะฮฺทูลว่า "พระองค์จะทรงแต่งตั้งผู้ที่จะก่อความเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่พวกข้าฯก็กล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ และเทิดทูนพระพิสุทธิคุณของพระองค์" พระองค์ตรัสตอบว่า "แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้"

{2:31} แล้วพระองค์ได้ทรงสอนอาดัมถึงนามของทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงนำพวกเขามาแสดงต่อมะลาอิกะฮฺ และตรัสว่า "จงบอกนามของพวกเขาเหล่านี้ ถ้าพวกเธอแน่จริง!"

{2:32} บรรดามะลาอิกะฮฺตอบว่า "พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์! พวกข้าฯไม่มีความรู้อันใด นอกจากที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกข้าฯ แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน"

{2:33} พระองค์จึงกล่าวว่า "ดูกร อาดัม! จงบอกเหล่านามของพวกเขาเหล่านี้แก่พวกเขา" เมื่อเขาได้บอกพวกเขาถึงเหล่านามของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "ฉันไม่ได้บอกพวกเธอดอกหรือว่า ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับแห่งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเธอเปิดเผย และที่พวกเธอเคยปิดบัง"

{2:34} แล้วพระองค์ได้ตรัสต่อมะลาอิกะฮฺว่า "จงกราบอาดัม" พวกเขาก็ได้กราบ นอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธ และยโสโอหัง และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:35} และเราได้กล่าวว่า "ดูกร อาดัม! เธอและคู่ครองของเธอ จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์นี้ และจงกินตามความพอใจของเธอทั้งสอง จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ มิเช่นนั้น เธอทั้งสองจะกลายเป็นผู้ละเมิด"

{2:36} แต่ต่อมาชัยฏอนได้หลอกลวงทั้งสองให้พลาดพลั้งด้วยต้นไม้ต้นนั้น และได้นำเขาทั้งสอง ออกจากสถานที่ ที่ทั้งสองเคยอยู่ และเราได้กล่าวว่า "พวกเธอทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ พวกเธอต่างเป็นศัตรูต่อกัน และพวกเธอจะมีที่พักและสิ่งอำนวยประโยชน์จนถึงระยะเวลาหนึ่ง"

{2:37} อาดัมจึงได้เรียนรู้ถ้อยคําวิงวอนจากพระเจ้าของตน พระองค์จึงได้ทรงรับการสำนึกผิดของเขา แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษเสมอ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:38} เราได้กล่าวว่า "เธอทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ และถ้ามีการชี้นำจากฉันมายังพวกเธอ แล้วผู้ใดปฏิบัติตามการชี้นำของฉัน ก็จะไม่มีสิ่งน่าหวาดกลัวสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก

{2:39} และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่อสัญญาณทั้งหลายของเรา พวกเขาก็คือชาวนรก พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:40} ดูกร วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงความโปรดปราน ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกเธอ และจงปฏิบัติตามสัญญาของฉันให้ครบถ้วน ฉันก็จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่มีต่อพวกเธอให้ครบถ้วนเช่นกัน และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกเธอจงเกรงกลัว

{2:41} และพวกเธอจงมีศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันได้ประทานลงมา เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่พวกเธอมีอยู่ และจงอย่าแลกเปลี่ยนโองการทั้งหลายของฉันด้วยราคาเพียงเล็กน้อย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกเธอจงยำเกรง

{2:42} และพวกเธอจงอย่าคละเคล้าความจริงด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริงทั้ง ๆ ที่พวกเธอรู้อยู่

{2:43} และพวกเธอจงดํารงนมาซ และชําระซะกาต และจงก้มรุกูอฺต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่ก้มรุกูอฺ

{2:44} พวกเธอสั่งคนอื่นให้ทำความดี แต่พวกเธอกลับลืมตนเองกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พวกเธอก็อ่านคัมภีร์อยู่ พวกเธอไม่ใช้ปัญญากระนั้นหรือ?

{2:45} และพวกเธอจงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและด้วยการนมาซ แท้จริงการนมาซนั้นเป็นเรื่องหนัก นอกจากแก่บรรดาผู้นบน้อม

{2:46} ผู้ที่ตระหนักว่า พวกเขาจะได้พบกับพระเจ้าของพวกตน และพวกเขาจะกลับคืนสู่พระองค์

{2:47} ดูกร วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงความโปรดปรานของฉัน ที่ฉันได้เคยโปรดปรานแก่พวกเธอ และ(จงรำลึก)ว่า ฉันได้เคยเชิดชูพวกเธอเหนือประชาชาติทั้งหลาย

{2:48} และจงยำเกรงต่อวันหนึ่ง ซึ่งชีวิตหนึ่งไม่อาจจะช่วยแทนอีกชีวิตหนึ่งได้ และการรับรองจากชีวิตใดก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ และค่าไถ่จากชีวิตใดก็จะไม่ถูกรับ และพวกเขาก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ

{2:49} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ช่วยพวกเธอให้รอดพ้นจากพรรคพวกของฟิรเอานฺ ซึ่งกดขี่พวกเธอ ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส พวกเขาฆ่าบรรดาลูกชายของพวกเธอ และไว้ชีวิตบรรดาลูกหญิงของพวกเธอ และในนี้คือการทดสอบอันใหญ่หลวงจากพระเจ้าของพวกเธอ

{2:50} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้แยกทะเลเพราะพวกเธอ และได้ช่วยพวกเธอให้รอดพ้น และเราได้ทำให้พรรคพวกของฟิรเอานฺจมน้ำตายไป ในขณะที่พวกเธอแลเห็น

{2:51} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้สัญญาต่อมูซาเป็นเวลาสี่สิบราตรี แล้วพวกเธอหลังจากนั้นก็ได้เอาลูกวัวขึ้นสักการะบูชา ดังนั้นพวกเธอจึงเป็นพวกทุจริต

{2:52} แล้วเราก็ได้ยกโทษให้พวกเธอหลังจากนั้น เพื่อที่ว่าพวกเธอจะได้ขอบพระคุณ

{2:53} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ประทานคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่มูซา เพื่อที่ว่า พวกเธอจะได้อยู่ในทางนำ

{2:54} และ(จงรำลึก)ยามที่มูซาได้กล่าวแก่หมู่ชนของตนว่า "ดูกร หมู่ชนของฉัน! แท้จริงพวกเธอได้กระทำผิดต่อตัวพวกเธอเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้นพวกเธอจงกลับใจไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ และจงประหารชีวิตของพวกเธอเอง นั่นเป็นที่ประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเธอ ในสายพระเนตรของพระผู้ทรงบังเกิดพวกเธอ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงนิรโทษแก่พวกเธอ เพราะพระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:55} และ(จงรำลึก)ยามที่พวกเธอได้กล่าวว่า "โอ้ มูซา! พวกเราจะไม่เชื่อท่าน จนกว่าพวกเราจะได้เห็นอัลลอฮฺอย่างประจักษ์ตา" ทันใดนั้น อสุนีบาตก็ได้คร่าพวกเธอไป ในขณะที่พวกเธอเฝ้ามอง

{2:56} หลังจากนั้น เราก็ได้ปลุกพวกเธอให้ฟื้นขึ้นจากความตายของพวกเธอ เพื่อที่ว่าพวกเธอจะได้ขอบพระคุณ

{2:57} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้บันดาลให้เมฆเป็นร่มเหนือพวกเธอ และเราได้ประทานของหวานและนกคุ่ม เป็นอาหารสำหรับพวกเธอ และกล่าวว่า "จงกินจากสิ่งที่ดี ที่เราได้ประทานให้แก่พวกเธอ" พวกเขาไม่ได้ทุจริตต่อเราดอก ทว่าพวกเขาทุจริตต่อตนเองต่างหาก

{2:58} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้กล่าวว่า "จงเข้าไปยังเมืองนี้และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง ตามที่พวกเธอต้องการ และจงเข้าประตูเมืองด้วยการกราบ และจงกล่าวคํา "ฮิฏเฏาะฮฺ" แล้วเราจะอภัยความผิดของพวกเธอ และเราจะเพิ่มพูนรางวัลแก่ผู้ประกอบการดี

{2:59} แต่พวกทุจริตได้เปลี่ยนถ้อยคําที่ถูกกล่าวแก่พวกเขา ให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น เราจึงได้ส่งการลงโทษจากเบื้องบน มายังบรรดาพวกทุจริต ทั้งนี้เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน

{2:60} และ(จงรำลึก)ยามที่มูซาได้ขอน้ำให้แก่กลุ่มชนของตน แล้วเราได้บอกว่า "จงฟาดศิลานั้นด้วยไม้เท้าของเธอ" แล้วตาน้ำสิบสองสายก็ไหลพุ่งออกศิลานั้น ผู้คนแต่ละตระกูลก็รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกตน "จงกินและจงดื่มจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้ และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย"

{2:61} และ(จงรำลึก)ยามที่พวกเธอกล่าวว่า "โอ้ มูซา! พวกเราไม่อาจทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอต่อพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็จะทรงนำสิ่งที่แผ่นดินผลิตออกมา นั่นคือพืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่วเลนทิล และหัวหอม มาให้แก่เรา" มูซาได้บอกว่า "พวกเธอต้องการเปลี่ยนเอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น จงเข้าเมืองเถิด! แล้วพวกเธอก็จะได้สิ่งที่พวกเธอต้องการ" หลังจากนั้นพวกเขาถูกความอัปยศและความขัดสนกระหน่ำลง และได้รับความพิโรธจากอัลลอฮฺ นั่นเป็นเพราะพวกเขาปฏิเสธบรรดาสัญญาณของอัลลอฮฺ และสังหารบรรดานบีโดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาก็เป็นผู้ละเมิด

{2:62} แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และพวกยิว และพวกคริสเตียน และพวกศอบิอ์ ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ และในวันปรโลก และ ประกอบความดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ณ ที่พระเจ้าของพวกตน และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก

{2:63} และ(จงรำลึก)ยามที่เราได้ทำสัญญากับพวกเธอ และเราได้ยกตูรฺขึ้นเหนือพวกเธอ และกล่าวว่า "จงยึดมั่นต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเธอ และจงรำลึกถึง(หลักธรรมคําสอน)ที่อยู่ในนั้น เพื่อที่พวกเธอจะได้สำรวมตนจากความชั่ว"

{2:64} แต่หลังจากนั้น พวกเธอก็ละทิ้งสัญญา หากไม่ใช่ความโปรดปรานและความเมตตาของ อัลลอฮฺ ที่มีต่อพวกเธอแล้ว พวกเธอจะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่สูญเสียอย่างแน่นอน

{2:65} และพวกเธอก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่พวกเธอ ที่ละเมิดวันสับบาโต เราจึงได้กล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า "จงเป็นวานรที่น่ารังเกียจ"

{2:66} ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นเยี่ยงอย่างแก่ชนร่วมสมัยและแก่ชนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือนสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง

{2:67} และเมื่อมูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของตนว่า "อัลลอฮฺได้บัญชาพวกเธอให้เชือดโคหนึ่งตัว" พวกเขากล่าวว่า "ท่านจะเอาพวกเราเป็นสิ่งล้อเล่นกระนั้นหรือ?" มูซาตอบว่า "ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นหนึ่งในหมู่คนโง่เขลา"

{2:68} พวกเขาได้กล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่พวกเราว่ามันเป็นอย่างใด" เขากล่าวว่า "พระองค์ตรัสว่า 'เป็นโคที่ไม่แก่และไม่อ่อน แต่เป็นโควัยปานกลาง' ดังนั้นพวกเธอจงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเธอถูกบัญชาเถิด"

{2:69} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่เราว่า มันนั้นสีอะไร?" เขาตอบว่า "พระองค์ตรัสว่า มันคือโคสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น"

{2:70} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์จะทรงชี้แจงให้แก่เรา ว่ามันเป็นอย่างใด เพราะสำหรับเราแล้ว โคมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราก็จะเป็นผู้ได้รับการชี้นำ"

{2:71} เขากล่าวว่า "อัลลอฮฺตรัสว่า 'โคตัวนั้นเป็นโคที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถให้ไถดิน และไม่เคยถูกใช้ทดน้ำรดไร่นา เป็นวัวที่สมบูรณ์ ปราศจากตําหนิตามลำตัว' " แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "บัดนี้ท่านได้นำความจริงมาให้แล้ว" แล้วพวกเขาจึงได้เชือดโคตัวนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาแทบจะไม่ทำ

{2:72} และ(จงรำลึก)เมื่อพวกเธอสังหารชีวิตหนึ่ง แล้วพวกเธอก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่อัลลอฮฺก็ได้นำเรื่องที่พวกเธอปิดบังนั้น ออกมาเปิดเผย

{2:73} ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า "จงฟาดศพนั้น ด้วยส่วนหนึ่งของโคตัวนั้น" เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺ ทรงชุบชีวิตคนตาย และพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นบรรดาสัญญาณของพระองค์ เพื่อว่าพวกเธอจะได้เข้าใจ

{2:74} แล้วหัวใจของพวกเธอก็แข็งกระด้าง แล้วมันก็เป็นเช่นศิลา หรือแข็งยิ่งกว่า อันที่จริงในบรรดาศิลานั้น ก็ยังมีบางก้อนที่มีสายน้ำลำธารพวยพุ่งออกมาจากมัน และมีบางก้อนที่แตกออก แล้วมีน้ำไหลออกมา และก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺไม่ทรงเฉยเมยในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:75} แล้วพวกเธอยังโลภที่จะให้พวกเขาศรัทธาต่อพวกเธอ ในขณะที่พวกเขากลุ่มหนึ่งเคยได้ยินถ้อยคําของอัลลอฮฺ แต่กลับบิดเบือนมันเสียทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี

{2:76} และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ที่มีศรัทธา พวกเขากล่าวว่า "พวกเราได้มีศรัทธาแล้ว" แต่เมื่อพวกเขาอยู่กับคนอื่นตามลําพัง พวกเขากล่าวว่า "พวกท่านบอกเล่าพวกเขา ถึงสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่พวกท่าน เพื่อพวกเขาจะได้นำมันมาเป็นหลักฐานยืนยันกับพวกท่าน ณ ที่พระเจ้าของพวกท่านกระนั้นหรือ? พวกท่านไม่ไตร่ตรองดอกหรือ?"

{2:77} พวกเขาไม่รู้หรือว่า อัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบัง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย

{2:78} และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ไม่รู้หนังสือ ซึ่งพวกเขาไม่รู้คัมภีร์ นอกจากความเพ้อฝันเท่านั้น และพวกเขาเพียงแค่นึกเดา

{2:79} ดังนั้น ความวิบัติจะประสพแก่บรรดาผู้ที่เขียนคัมภีร์ด้วยมือของตน แล้วกล่าวว่า "อันนี้มาจากอัลลอฮฺ" เพื่อที่พวกเขาจะนำมันไปแลกเปลี่ยนด้วยราคาเล็กน้อย ดังนั้นความวิบัติจะประสพแก่พวกเขา เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกตนเขียนขึ้น และความวิบัติจะประสพแก่พวกเขา เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาแสวงหา

{2:80} และพวกเขากล่าวว่า "เพลิงนรกจะไม่สัมผัสพวกเราดอก นอกจากเพียงแค่วันเวลาที่นับได้" จงกล่าวเถิด "พวกเธอได้รับสัญญาจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ โดยที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงบิดพริ้วสัญญาของพระองค์? หรือว่าพวกเธอกุเรื่องแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้กันแน่?"

{2:81} หามิได้! ผู้ใดก็ตามที่ประกอบความชั่ว และความผิดของเขาก็ยังห้อมล้อมเขาอยู่ ชนเหล่านั้นก็คือชาวนรก พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:82} ส่วนบรรดาผู้มีศรัทธาและกระทำคุณงามความดีนั้น ชนเหล่านั้นก็คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:83} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากวงศ์วานของอิสรออีลว่า "พวกเธอจะต้องไม่เคารพสักการะผู้ใด นอกจากอัลลอฮฺ จงทำดีต่อบิดามารดา ต่อญาติสนิท เด็กกําพร้า ผู้ขัดสน และจงพูดสิ่งที่ดีต่อผู้คน จงดํารงนมาซและชําระซะกาต" แต่แล้วพวกเธอก็ได้ผินหลังกลับ ยกเว้นพวกเธอเพียงไม่กี่คน

{2:84} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากพวกเธอว่า "พวกเธอต้องไม่หลั่งโลหิตของพวกเธอกันเอง และต้องไม่เนรเทศพวกเธอกันเองออกจากบ้านเมืองของพวกเธอ และพวกเธอก็ได้รับรองและพวกเธอก็ยังยืนยันอยู่

{2:85} แต่แล้ว พวกเธอนี่แหละที่ฆ่าพวกเธอกันเอง และเนรเทศบางกลุ่มของพวกเธอเองออกจากบ้านเมืองของพวกเขา และเอาชนะเหนือพวกเขาด้วยบาปและความอาฆาต และหากพวกเขากลับมาหาพวกเธอในฐานะเชลย พวกเธอก็ไถ่เอาพวกเขาคืน ทั้ง ๆ ที่การเนรเทศพวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเธอ พวกเธอศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ? ดังนั้นจึงไม่มีการตอบแทนแก่พวกเธอที่กระทำเช่นนั้น นอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นคืนชีพ พวกเขาก็จะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเผอเรอต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:86} ชนเหล่านี้คือผู้ที่ซื้อเอาชีวิตของโลกนี้ด้วยชีวิตแห่งปรโลก ดังนั้นการลงโทษจะไม่ถูกลดหย่อนแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ

{2:87} และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา และหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีศาสนทูตสืบต่อเนื่องกันมา และเราได้ส่งอีซา บุตรมัรยัม มาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้ง และเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ ไฉนทุกครั้งที่มีศาสนทูตมายังพวกเธอ นำสิ่งที่จิตใจของพวกเธอไม่ชอบ พวกเธอจึงกระด้างกระเดื่องต่อเขา กล่าวเท็จต่อเขาและเข่นฆ่าเขา

{2:88} และพวกเขากล่าวว่า "หัวใจของพวกเรามีเปลือกหุ้มอยู่" หามิได้! อัลลอฮฺได้ประณามสาปแช่งพวกเขา เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นช่างน้อยนักที่พวกเขาศรัทธา!

{2:89} แล้วเมื่อได้มีคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากที่อัลลอฮฺมายังพวกเขา ซึ่งยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยขอให้มีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขารู้นั้นมาถึงพวกเขา พวกเขากลับปฏิเสธเสียเอง การสาปแช่งจากอัลลอฮฺจึงมีแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:90} ช่างชั่วช้ายิ่งนัก สิ่งที่พวกเขาขายตนเองเพื่อแลกเอาสิ่งนั้นมา ด้วยการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ทรงประทานลงมา ทั้งนี้เพราะความริษยาต่อการที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์บางส่วนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงได้ก่อให้เกิดความกริ้วแล้วกริ้วอีก และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธานั้น คือการลงโทษอันเลวร้าย

{2:91} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงมีศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมาเถิด" พวกเขากล่าวว่า "พวกเรามีศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่พวกเราอยู่แล้ว" และพวกเขาปฏิเสธสิ่งอื่นจากนั้น ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นความจริงที่ยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้นจงกล่าวเถิด "เหตุใดพวกเธอจึงเข่นฆ่าบรรดานบีของอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเธอเป็นผู้มีศรัทธาจริง?"

{2:92} และแท้จริงนั้นมูซาก็ได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเธอแล้ว แต่พวกเธอได้เอาลูกวัวมาบูชา และพวกเธอก็คือพวกทุจริต

{2:93} และ(จงรำลึก)เมื่อเราได้เอาคำมั่นสัญญาจากพวกเธอ และเราได้ยกภูเขาตูรเหนือพวกเธอ "จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเธออย่างเข้มแข็ง และจงสดับฟัง" พวกเขากล่าวว่า "พวกข้าฯได้ยินแล้ว และได้ฝ่าฝืนแล้ว" และหัวใจของพวกเขานั้นมีลูกวัวซึมซาบอยู่ เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา จงกล่าวเถิด "ช่างชั่วช้ายิ่งนัก สิ่งที่การศรัทธาของพวกเธอ สั่งให้พวกเธอทำ หากพวกเธอเป็นผู้มีศรัทธา"

{2:94} จงกล่าวเถิดว่า "หากนิวาสสถานแห่งปรโลก ณ ที่อัลลอฮฺเป็นของพวกเธอโดยเฉพาะ ไม่ใช่เป็นของผู้อื่นแล้วไซร้ ก็จงปรารถนาความตายเถิด หากพวกเธอสัตย์จริง"

{2:95} แต่พวกเขาจะไม่มีวันปรารถนาเช่นนั้นแน่ เนื่องจากสิ่งที่มือของตนเองเคยประกอบมา และอัลลอฮฺทรงรู้ดีต่อพวกทุจริต

{2:96} และแน่นอนเธอจะพบว่า พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ห่วงใยต่อชีวิตมากที่สุด และยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีเสียอีก แต่ละคนใคร่ที่จะมีอายุยืนถึงพันปี ถึงกระนั้นก็ไม่อาจคุ้มกันเขาให้พ้นจากการถูกลงโทษได้ แม้จะมีอายุยืนก็ตาม และอัลลอฮฺทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

{2:97} จงกล่าวเถิดว่า "ผู้ใดเล่าที่เป็นศัตรูต่อญิบรีล?" แท้จริงโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ เขาได้ทยอยนำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเธอ เป็นที่ยืนยันสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้านั้น และเป็นทางนำและข่าวดีสำหรับบรรดาผู้มีศรัทธา

{2:98} ผู้ใดเป็นศัตรูต่ออัลลอฮฺ ต่อมะลาอิกะฮฺ ต่อบรรดาศาสนทูตของพระองค์ ต่อญิบรีลและต่อมีกาล อัลลอฮฺก็จะทรงเป็นศัตรูต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ

{2:99} เราได้ประทานบรรดาสัญญาณอันชัดแจ้งมายังเธอแล้ว และไม่มีผู้ใดปฏิเสธสิ่งนั้นได้ นอกจากบรรดาผู้ฝ่าฝืน

{2:100} และทุกครั้งที่พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอันใดไว้ พวกเขากลุ่มหนึ่งก็ได้ทิ้งสัญญากระนั้นหรือ? ทว่าพวกเขาส่วนมากต่างหากที่ไม่มีศรัทธา

{2:101} และเมื่อใดก็ตามที่ศาสนทูตจากอัลลอฮฺมายังพวกเขา เป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขา กลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ก็จะทิ้งคัมภีร์ของอัลลอฮฺไว้ข้างหลัง ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร

{2:102} และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เหล่าชัยฏอนได้อ่านในรัชสมัยสุลัยมาน สุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธศรัทธาดอก แต่เหล่าชัยฏอนต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขาสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน และพวกเขา(ปฏิบัติตาม)สิ่งที่ถูกนำลงมาแก่มะลักสองตนที่บาบิล นั่นคือฮารูตและมารูต ทั้งสองจะไม่สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด จนกว่าเขาทั้งสองจะกล่าวว่า "อันเรานี้เป็นเพียงการทดสอบอย่างหนึ่ง ดังนั้นเธอจงอย่าปฏิเสธศรัทธา" แล้วจากทั้งสอง พวกเขาก็ได้เรียนรู้วิชาที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างบุรุษและภรรยาของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่อาจใช้ไสยศาสตร์ทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮฺ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่ตนเอง และไม่ได้ให้คุณประโยชน์แก่ตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ดีว่า ผู้ใดที่ซื้อศาสตร์นี้ไป จะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดในปรโลก และช่างเลวร้ายเสียนี่กระไร สิ่งที่พวกเขาเอาตัวตนเข้าไปแลก ถ้าหากว่าพวกเขารู้ก็คงดี

{2:103} ถ้าหากพวกเขามีศรัทธาในอัลลอฮฺ และสำรวมตนจากความชั่ว พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนที่ดีกว่าจากอัลลอฮฺ ถ้าหากว่าพวกเขาได้รู้

{2:104} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงอย่ากล่าวว่า "รออินา" แต่จงกล่าวว่า "อุนซุรนา" และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด

{2:105} บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นชาวคัมภีร์ หรือพวกตั้งภาคี ไม่ปรารถนาที่จะเห็นความดีอันใดจากพระเจ้าของพวกเธอถูกส่งมายังพวกเธอ ทั้ง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงเจาะจงความเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺคือพระเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง

{2:106} โองการใดที่เราได้ยกเลิกหรือถูกทำให้ลืมเลือน เราก็ได้นำสิ่งที่ดีกว่าหรือที่เท่าเทียมกันมาทดแทน พวกเธอไม่รู้หรือว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:107} พวกเธอไม่รู้หรือว่า อํานาจแห่งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และพวกเธอไม่มีผู้ใดเป็นผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือเลย นอกจากอัลลอฮฺ

{2:108} หรือพวกเธออยากจะถามศาสนทูตของพวกเธอดั่งที่มูซาได้ถูกถามแต่ก่อนนี้? ผู้ใดที่เอาการปฏิเสธมาแลกกับการศรัทธา เขาผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่เที่ยงตรง

{2:109} ชาวคัมภีร์ส่วนมากต้องการที่จะหันพวกเธอกลับไปยังการปฏิเสธ หลังจากการมีศรัทธาของพวกเธอ ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขา หลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้งแก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเธอจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขา จนกว่าอัลลอฮฺจะได้มีพระบัญชาลงมา อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:110} และจงดํารงนมาซและชําระซะกาต และความดีอันใดที่พวกเธอได้ประกอบไว้ก่อนสำหรับตัวพวกเธอ พวกเธอก็จะพบสิ่งนั้นที่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:111} พวกเขากล่าวว่า "ไม่มีผู้ใดที่จะได้เข้าสวรรค์ เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน" นี่คือความหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขา จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า "จงนำหลักฐานของพวกเธอมา ถ้าพวกเธอเป็นผู้สัตย์จริง"

{2:112} หามิได้! ผู้ใดก็ตามที่สยบใบหน้าของตนต่ออัลลอฮฺและเป็นผู้กระทำความดี เขาก็จะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าของตน และจะไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก

{2:113} และพวกยิวกล่าวว่า "พวกคริสเตียนไม่ได้อยู่บนฐานอันใด" และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่า "พวก ยิวก็ไม่ได้อยู่บนฐานอันใด" ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกัน และพวกที่ไม่มีรู้ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกับคำกล่าวอ้างของพวกเขาเหล่าเหล่านั้น ดังนั้น อัลลอฮฺจะทรงพิพากษาเรื่องที่พวกเขาเคยขัดแย้งกัน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

{2:114} และผู้ใดเล่าที่จะทุจริตยิ่งไปกว่าผู้ที่ปิดกั้นเหล่ามัสญิดของอัลลอฮฺ เพื่อกล่าวรำลึกถึงพระนามของพระองค์ภายในนั้น และพยายามที่จะทำลายมัน? คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะเข้าไปในนั้น เว้นแต่พวกเขาจะเข้าไปด้วยความยำเกรง สำหรับพวกเขาในโลกนี้คือความอัปยศอดสู และการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก

{2:115} บูรพทิศและประจิมทิศเป็นของอัลลอฮฺ หนทางใดที่พวกเธอผินหน้าของพวกเธอไป พระพักตร์แห่งอัลลอฮฺก็อยู่ที่นั่น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้

{2:116} และพวกเขากล่าวว่า "อัลลอฮฺมีพระบุตร" พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์! ทว่าสิ่งที่อยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งล้วนภักดีต่อพระองค์

{2:117} พระองค์คือผู้ทรงสร้างเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน เมื่อพระองค์ทรงกําหนดกิจการใด พระองค์เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า "จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา"

{2:118} และบรรดาผู้ไม่รู้ได้กล่าวว่า "ไฉนอัลลอฮฺจึงไม่ทรงสนทนากับเรา หรือไม่มีอภินิหารสัญญาณใด ๆ มาสู่พวกเรา?" ในทำนองเดียวกัน บรรดาชนรุ่นก่อนพวกเขาได้เคยกล่าวเช่นเดียวกับคำพูดของพวกเขา โดยที่หัวใจของพวกเขาคล้ายคลึงกัน แท้จริงเราได้แจกแจงอภินิหารสัญญาณแก่หมู่ชนที่มั่นใจ

{2:119} เราได้ส่งเธอมาพร้อมด้วยความจริง ให้เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือน และเธอจะไม่ต้องถูกสอบถามเกี่ยวกับชาวเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง

{2:120} และชาวยิวและชาวคริสเตียนนั้นจะไม่ยินดีแก่เธอเป็นอันขาด จนกว่าเธอจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิดว่า "การชี้นำของอัลลอฮฺเท่านั้น คือการชี้นำแท้" แน่นอนถ้าเธอปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเธอแล้ว เธอก็จะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือเลย ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้

{2:121} บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา โดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์อย่างจริงจัง ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีศรัทธา และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์ แน่นอนชนเหล่านี้ คือผู้ที่สูญเสีย

{2:122} ดูกร วงศ์วานของอิสรออีล! จงรำลึกถึงความกรุณาของฉัน ที่ฉันได้กรุณาต่อพวกเธอ และแท้จริงฉันได้เคยเชิดชูพวกเธอเหนือประชาชาติทั้งหลาย

{2:123} และจงเกรงกลัววันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นไม่มีสักชีวิต ที่จะสามารถชดเชยสิ่งใดให้แก่ชีวิตอื่นได้ และการไถ่โทษแทนจากชีวิตใดก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ การรับรองก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตใด และพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ

{2:124} และเมื่อพระเจ้าของอิบรอฮีมได้ทรงทดสอบเขาในบางสิ่ง แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ทรงตรัสว่า "ฉันจะทำให้เธอเป็นผู้นำของมนุษยชาติ" เขากล่าวว่า "สัญญานี้รวมถึงลูกหลานของฉันด้วยหรือ?" พระองค์ตรัสว่า "สัญญาของฉันไม่รวมถึงพวกทุจริต"

{2:125} และเมื่อเราได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับปวงมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัย และพวกเธอจงยึดเอาสถานที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่นมาซเถิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีลว่า "เธอทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของฉัน สำหรับบรรดาผู้เวียนฏ็อวาฟ และบรรดาผู้บำเพ็ญการเคารพสักการะ และบรรดาผู้ที่ก้มรุกูอฺ และกราบ"

{2:126} และเมื่ออิบรอฮีมได้วิงวอนว่า "พระเจ้าของข้าฯ! โปรดบันดาลให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนี้ ผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก" พระองค์ตรัสว่า "ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ฉันจะให้เขาได้รับความสำราญสักนิด แล้วฉันจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งนรก และมันเป็นจุดหมายปลายทางอันเลวร้ายยิ่ง"

{2:127} และเมื่ออิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดรับ(การงาน)จากพวกข้าฯด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้น คือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้"

{2:128} "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดทำให้ข้าฯทั้งสองเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ และโปรดทำให้มีประชาชาติที่สวามิภักดิ์ต่อพระองค์จากลูกหลานของพวกข้าฯ และโปรดแสดงให้พวกข้าเห็นศาสนพิธีของพวกข้า และโปรดนิรโทษแก่พวกข้าฯ พระองค์คือพระผู้ทรงนิรโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ"

{2:129} "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดส่งศาสนทูตคนหนึ่งมาในหมู่พวกเขา ซึ่งเป็นผู้ที่จะมาจากพวกเขาเอง เพื่ออ่านโองการทั้งหลายของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาพวกเขาให้สะอาด แท้จริงพระองค์คือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{2:130} แล้วผู้ใดเล่าที่อยากออกนอกแนวทางของอิบรอฮีม นอกจากผู้ที่ทำให้ตนเองโฉดเขลา แท้จริงเราได้เลือกเอาเขา(เป็นศาสนทูต)ในโลกนี้ และแท้จริงในปรโลก เขาก็จะอยู่ในหมู่คนดี

{2:131} (จงรำลึก)เมื่อพระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า "เธอจงสวามิภักดิ์เถิด" เขากล่าวว่า "ข้าฯได้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว"

{2:132} และอิบรอฮีมได้สั่งเสียบุตรหลานของตนให้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น และยะอฺกูบก็เช่นกัน "โอ้ ลูก ๆ ของฉันเอ๋ย! อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเธอแล้ว ดังนั้นจงอย่าตาย นอกจากในอาการที่พวกเธอเป็นผู้สวามิภักดิ์"

{2:133} หรือว่าพวกเธออยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอฺกูบ ขณะที่เขากล่าว แก่ลูก ๆ ของเขาว่า "พวกเธอจะเคารพสักการะอะไรหลังจากฉัน?" พวกเขากล่าวว่า "พวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของท่าน และพระเจ้าของบรรดาบิดาของท่าน คือ อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก แต่เพียงองค์เดียว และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น"

{2:134} นั้นคือ หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมได้แก่พวกตน และสิ่งที่พวกเธอขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเธอ และพวกเธอจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:135} และพวกเขากล่าวว่า "พวกท่านจงเป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเถิด พวกท่านก็จะได้รับการชี้นำอันถูกต้อง" จงกล่าวเถิด "ทว่าแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหาก และเขาไม่เคยเป็นผู้ตั้งภาคี"

{2:136} พวกเธอจงกล่าวเถิดว่า "เราศรัทธาในอัลลอฮฺและทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอฺกูบ และบรรดาวงศ์วานนั้น และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา และอีซา และที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลายจากพระเจ้าของพวกเขา เราไม่ได้จําแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และต่อพระองค์ เราเป็นผู้สวามิภักดิ์"

{2:137} แล้วหากพวกเขามีศรัทธาอย่างที่พวกเธอมีศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮฺก็จะทรงทำให้เธอพอเพียงสำหรับพวกเขา และพระองค์คือพระผู้ทรงได้ยิน พระทรงรอบรู้

{2:138} นั่นเป็นการย้อมสีของอัลลอฮฺ และผู้ใดอีกเล่าจะย้อมสีดียิ่งกว่าอัลลอฮฺ? และพวกเราจะเป็นผู้เคารพสักการะพระองค์

{2:139} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเธอจะโต้แย้งกับพวกเราในเรื่องของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา และพระเจ้าของพวกเธอ และบรรดาการงานของพวกเรา ก็ย่อมเป็นของพวกเรา และบรรดาการงานของพวกเธอ ก็เป็นของพวกเธอ และต่อพระองค์ พวกเราเป็นผู้บริสุทธิ์ใจ

{2:140} หรือว่าพวกเธอจะกล่าวว่า อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอฺกูบ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียน? จงกล่าวเถิด "พวกเธอรู้ดียิ่งกว่าหรือว่าอัลลอฮฺกันแน่?" แล้วผู้ใดเล่าจะทุจริตยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮฺ ซึ่งมีอยู่ที่เขา? และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงเผอเรอต่อสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:141} นั่นคือกลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขาเอง และสิ่งที่พวกเธอขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเธอ และพวกเธอจะไม่ถูกสอบถามถึงสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำ

{2:142} บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่า "อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบละฮฺของพวกตน ที่พวกเขาเคยผินหน้าไป" จงกล่าวเถิดว่า "บูรพทิศ และประจิมทิศนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง"

{2:143} และในทำนองเดียวกัน เราได้ทำให้พวกเธอเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเธอจะได้เป็นสักขีพยานแก่มวลมนุษย์ และศาสนทูตก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเธอ และเราไม่ได้ทำให้กิบละฮฺที่เธอเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า ผู้ใดบ้างที่จะปฏิบัติตามศาสนทูต จากผู้ที่หันส้นเท้าทั้งสองของตนกลับ และแม้การเปลี่ยนแปลงกิบละฮฺนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่สำหรับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงชี้นำ และไม่ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงทำให้การศรัทธาของพวกเธอสูญไป แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงเมตตา พระผู้ทรงปรานีแก่มนุษย์เสมอ

{2:144} แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเธอแหงนขึ้นฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เธอผินไปยังทิศที่เธอพึงพอใจ ดังนั้นเธอจงผินใบหน้าของเธอไปทาง อัลมัสญิด อัลหะรอม เถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเธออยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเธอไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น ย่อมรู้ดีว่า มันคือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกตน และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเผอเรอต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ

{2:145} และแน่นอน ถ้าหากเธอได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ พวกเขาก็ไม่ตามกิบละฮฺของเธอดอก และเธอก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ตามกิบละฮฺของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ตามกิบละฮฺของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากเธอได้ปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขาหลังจากที่มีความรู้มายังเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะอยู่ในหมู่พวกทุจริต

{2:146} บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขาดี เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของตนเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่

{2:147} ความจริงนั้นมาจากพระเจ้าของเธอ ดังนั้นเธอก็อย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัย

{2:148} และทุกคนต่างก็มีทิศทางที่จะหันไป ดังนั้นจงแข่งขันซึ่งกันและกันในการทำความดี ไม่ว่าพวกเธอจะอยู่ที่ใด อัลลอฮฺจะทรงนำพวกเธอมารวมกัน แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:149} ไม่ว่าจากที่ใดก็ตามที่เธอได้ออกไป ก็จงผินหน้าของเธอไปยัง อัลมัสญิด อัลหะรอม เพราะแท้จริงมันเป็นความจริงจากพระเจ้าของเธอ และอัลลอฮฺนั้น ไม่ทรงเป็นผู้เผอเรอต่อสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:150} และจากที่ใดก็ตามที่เธอได้ออกไป ก็จงผินหน้าของเธอไปยัง อัลมัสญิด อัลหะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเธอปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเธอไปทางนั้น เพื่อจะได้ไม่เป็นข้ออ้างแก่หมู่ชนใด ๆ มาโต้แย้งพวกเธอได้ นอกจากพวกเขาที่ทุจริต พวกเธอก็อย่าหวาดกลัวต่อพวกเขา ทว่าจงหวาดกลัวต่อฉัน และเพื่อที่ฉันจะได้ให้ความกรุณาของฉันครบถ้วนแก่พวกเธอ และเพื่อว่าพวกเธอจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง

{2:151} ดั่งที่เราได้ส่งศาสนทูตผู้หนึ่งจากพวกเธอเองมาในหมู่พวกเธอ ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเธอฟัง และจะทำให้พวกเธอสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเธอ และจะสอนพวกเธอในสิ่งที่พวกเธอไม่เคยรู้

{2:152} ดังนั้นพวกเธอจงรำลึกถึงฉันเถิด ฉันก็จะรำลึกถึงพวกเธอ และจงขอบคุณฉันเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อฉัน

{2:153} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและจงนมาซ เพราะอัลลอฮฺจะทรงอยู่กับบรรดาผู้ที่อดทน

{2:154} และจงอย่ากล่าวว่า บรรดาผู้ที่ถูกสังหารในหนทางของอัลลอฮฺนั้น พวกเขามรณะ ความจริงแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเธอไม่รู้สึก

{2:155} และแน่นอน เราจะทดสอบพวกเธอด้วยสิ่งใดสักอย่างจากความหวาดกลัวและความหิวโหย และการที่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทน

{2:156} คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า "พวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และพวกเราจะกลับคืนสู่พระองค์"

{2:157} ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับคําชมเชย และความเมตตาจากพระเจ้าของพวกตน และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับการชี้นำ

{2:158} แท้จริงภูเขาศ็อฟาและภูเขามัรวะฮฺนั้น เป็นส่วนหนึ่งในบรรดาสัญลักษณ์ของอัลลอฮฺ ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ ณ บัยตุลลอฮฺก็ไม่เป็นความบาปใด ๆ แก่เขาที่จะเดินวนเวียนไปมา ณ ภูเขาทั้งสองนั้น และผู้ใดสมัครใจประกอบความดี แน่นอนอัลลอฮฺนั้น คือพระผู้ทรงขอบพระทัย พระผู้ทรงรอบรู้

{2:159} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งที่เราได้ประทานลงมา อันเป็นหลักฐานอันประจักษ์แจ้งและการชี้นำ หลังจากที่เราได้ชี้แจงมันในคัมภีร์ให้แก่มนุษย์ พวกเขาเหล่านั้น อัลลอฮฺทรงสาปแช่งพวกเขาและบรรดาผู้สาปแช่งนั้นจะสาปแช่ง(เช่นกัน)

{2:160} นอกจากบรรดาผู้ที่กลับใจและปรับปรุงแก้ไขและชี้แจง(สิ่งที่ปกปิดไว้) ชนเหล่านี้ ฉันจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา และฉันคือผู้อภัยโทษ ผู้ปรานีเสมอ

{2:161} แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะประสพกับการสาปแช่งของอัลลอฮฺ และมะลาอิกะฮฺ และปวงมนุษย์

{2:162} เป็นอมตะอยู่ในนั้น โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่พวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอ

{2:163} และพระเจ้าของพวกเธอนั้นคือพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง

{2:164} แท้จริงในการสร้างเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนราตรีและทิวา และนาวาที่วิ่งอยู่ ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อํานวยประโยชน์แก่ปวงมนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮฺได้ทรงนำลงมาจากฟ้า แล้วทรงชุบชีวิตแผ่นดินขึ้นมาด้วยน้ำนั้น หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว และได้ทรงกระจายสัตว์แต่ละชนิดในแผ่นดิน และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกําหนดให้ผันแปรระหว่างฟ้าและแผ่นดินนั้น ล้วนเป็นนานาสัญญาณแก่กลุ่มชนที่ไตร่ตรอง

{2:165} และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจากอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่รักอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้มีศรัทธานั้น เป็นผู้ที่รักอัลลอฮฺมากยิ่งกว่า และหากพวกทุจริตนั้นเห็น - ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น ก็จะเห็นว่าอำนาจทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงรุนแรงในการลงโทษ

{2:166} ขณะที่บรรดาผู้ถูกตามได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผู้ตาม และพวกเขาเห็นการลงโทษ และบรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันก็ได้ขาดสะบั้นลง

{2:167} และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวว่า "หากว่าเรามีโอกาสกลับไปอีกครั้งหนึ่ง เราก็จะปลีกตัวออกจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเรา" ในทำนองเดียวนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแสดงให้พวกเขาเห็นเหล่าการงานของพวกตน เป็นความโศกเศร้าแก่ตนเอง และพวกเขาจะไม่ได้ออกจากนรก

{2:168} ดูกร ปวงมนุษย์! จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามฝีก้าวของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูต่อพวกเธอที่ชัดแจ้ง

{2:169} ที่จริง มันเพียงแต่จะสั่งพวกเธอให้ประกอบสิ่งชั่วร้ายและสิ่งลามกเท่านั้น และจะสั่งพวกเธอกล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเธอไม่รู้

{2:170} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงปฏิบัติที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา" พวกเขาตอบว่า "ทว่าเราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติ" ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรสักอย่าง และไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ?

{2:171} และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น อุปมัยดั่งผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากเสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น พวกเขาคือคนหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจ

{2:172} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงกินสิ่งที่ดีงามที่เราได้ประทานให้แก่พวกเธอ และจงขอบพระคุณต่ออัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์เท่านั้นที่พวกเธอเคารพสักการะ

{2:173} อันที่จริงที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามพวกเธอก็คือสัตว์ที่ตายเอง โลหิต เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเปล่งเสียงยามเชือดให้แก่สิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่ใช่เป็นผู้เสาะหาและไม่ได้ละเมิด มันก็ไม่เป็นความบาปแก่เขา เพราะอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:174} แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา อันเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นไม่ได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกตน นอกจากเพลิงเท่านั้น อัลลอฮฺจะไม่ทรงสนทนากับพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพ และจะไม่ทรงชำระมลทินพวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

{2:175} ชนเหล่านี้คือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องไปแลกเปลี่ยนกับแนวทางที่หลงผิด และเอาการ อภัยโทษไปแลกเปลี่ยนกับการลงโทษ พวกเขาช่างอดทนต่อนรกเสียนี่กระไร!

{2:176} นั้นก็เพราะว่า อัลลอฮฺได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาพร้อมด้วยสัจธรรม และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งกันในคัมภีร์นั้น ย่อมอยู่ในการแตกแยกที่ห่างไกล

{2:177} ไม่ใช่คุณธรรมดอก การที่พวกเธอผินหน้าของพวกเธอไปทางบูรพทิศและประจิมทิศ ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และศรัทธาต่อมะลาอิกะฮฺ และบรรดาคัมภีร์ และบรรดานบี และบริจาคทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้น แก่บรรดาญาติสนิท และบรรดาเด็กกำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจน และผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่เอ่ยขอ และบริจาคในการไถ่ทาส และเขาได้ดํารงการนมาซและการชําระซะกาต และบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกตนโดยครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่อดทนในความทุกข์ยาก และในความเดือดร้อน และขณะต่อสู้ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่สัตย์จริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง

{2:178} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! การประหารฆาตกรให้ตายตาม ในกรณีที่มีผู้ถูกฆาตกรรมนั้น ได้ถูกกําหนดแก่พวกเธอแล้ว คือชายอิสระต่อชายอิสระ และทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่ได้รับการให้อภัยแม้สักอย่างหนึ่งใดจากพี่น้องของเขา ก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชําระแก่เขาโดยดี นั้นคือการผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเธอ อีกทั้งเป็นความเมตตา แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

{2:179} และในการประหารฆาตกรให้ตายตามนั้น คือการธํารงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเธอ โอ้ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:180} การทำพินัยกรรมให้แก่บิดามารดา และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมนั้น ได้ถูกกําหนดขึ้นแก่พวกเธอ เมื่อความตายได้มายังพวกเธอคนใด หากเขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่แก่ปวงผู้ยำเกรง

{2:181} แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลังจากที่เขาได้ยินมันแล้ว โทษแห่งการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้น ก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:182} แล้วผู้ใดเกรงว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความไม่เป็นธรรม หรือกระทำความผิด แล้วเขาได้ประนีประนอมระหว่างพวกเขา ก็ไม่มีโทษใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:183} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! การถือศีลอด นั้นได้ถูกกําหนดแก่พวกเธอแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกําหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเธอ เพื่อว่าพวกเธอจะได้ยำเกรง

{2:184} ในเหล่าวันที่ถูกกำหนดไว้ ดังนั้นผู้ใดในพวกเธอป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือชดใช้ในวันอื่นแทน และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่มีความลําบากยากไม่อาจที่จะถือศีลอดนั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหารแก่คนขัดสนคนหนึ่ง แต่ผู้ใดสมัครใจประพฤติดี มันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเธอจะถือศีลอดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเธอ หากพวกเธอรู้

{2:185} เดือนรอมะฎอนนั้นเป็นเดือนที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาเป็นการชี้นำสำหรับมนุษย์และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับการชี้นำนั้น และเกี่ยวกับมาตรการจําแนกข้อเท็จจริง ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเธอเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือศีลอดชดใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะให้พวกเธอได้รับความสะดวก และไม่ทรงประสงค์ที่จะให้พวกเธอได้รับความลำบาก และเพื่อที่พวกเธอจะได้ทำให้ครบตามกำหนด และเพื่อพวกเธอจะสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮฺ เนื่องในสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำพวกเธอ และเพื่อพวกเธอจะขอบพระคุณ

{2:186} และเมื่อบ่าวของฉันถามเธอถึงฉัน อันที่จริงฉันนี้อยู่ใกล้ ฉันจะตอบรับคําวิงวอนของผู้ที่วิงวอน ถ้าเขาวิงวอนต่อฉัน ดังนั้นพวกเขาจงตอบรับฉันและจงมีศรัทธาต่อฉัน เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการชี้นำ

{2:187} ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเธอแล้วซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเธอในค่ำคืนของการถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่งห่มของพวกเธอ และพวกเธอก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง อัลลอฮฺทรงรู้ว่า พวกเธอนั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเธอ และอภัยให้แก่พวกเธอแล้ว บัดนี้พวกเธอจงสมสู่กับพวกนางได้ และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกําหนดให้แก่พวกเธอเถิด และจงกินและดื่ม จนกระทั่งด้ายเส้นขาวจะประจักษ์แก่พวกเธอจากด้ายเส้นดํา เนื่องจากแสงรุ่งสาง แล้วพวกเธอจงให้การถือศีลอดครบเต็มจนถึงพลบค่ำ และพวกเธอจงอย่าสมสู่กับพวกนาง ขณะที่พวกเธอพักสงบอยู่ในมัสญิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเธอจงอย่าล้ำขอบเขตนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาสัญญาณของพระองค์แก่ปวงมนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง

{2:188} และจงอย่าแย่งชิงทรัพย์สินกันและกันโดยทุจริต และจงอย่าติดสินบนให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อที่ว่าพวกเธอจะได้กินสมบัติบางส่วนของคนอื่นโดยทุจริต ทั้ง ๆ ที่พวกเธอรู้ดีอยู่

{2:189} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับเดือนแรกขึ้น จงกล่าวเถิด "มันคือกําหนดเวลาต่าง ๆ สำหรับปวงมนุษย์และสำหรับประกอบพิธีหัจญ์ และไม่ใช่เป็นคุณธรรมในการที่พวกเธอเข้าบ้านทางหลังคาบ้าน ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรงต่างหาก และพวกเธอจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเธอจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเธอจะได้รับความสำเร็จ"

{2:190} และพวกเธอจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเธอ และจงอย่ารุกราน แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน

{2:191} และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเธอพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากที่ ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเธอออกมา และการก่อกวนนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัลมัสญิด อัลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกเธอในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเธอ ก็จงประหัตประหารพวกเขา เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา

{2:192} แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอนอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:193} และจงต่อสู้พวกเขาต่อไปจนกว่าจะไม่มีการก่อกวนอีก และการเคารพสักการะเป็นเพื่ออัลลอฮฺทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าพวกเขายุติ ก็จะไม่มีการเป็นปรปักษ์ เว้นแต่กับบรรดาผู้ทุจริต

{2:194} เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็(สนองตอบ)ด้วยเดือนที่ต้องห้าม และบรรดาสิ่งจําเป็นต้องเคารพนั้น ก็ย่อมมีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวกเธอ ก็จงละเมิดต่อเขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวกเธอ และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย

{2:195} และจงบริจาคในหนทางของอัลลอฮฺ และจงอย่าโยนตัวของพวกเธอเองลงสู่ความพินาศด้วยมือของพวกเธอเอง จงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องดี เพราะอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดี

{2:196} และพวกเธอประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺให้สมบูรณ์เพื่ออัลลอฮฺเถิด แล้วถ้าพวกเธอถูกสกัดกั้น ก็(จงเชือด)สัตว์พลีที่หาได้ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเธอจนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวกเธอป่วย หรือที่เขามีสิ่งก่อความเจ็บปวดที่ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การถือศีลอดหรือการทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้นเมื่อพวกเธอปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่ถือโอกาสด้วยการทำอุมเราะฮฺควบเข้ากับหัจญ์แล้ว ก็(จงเชือด)สัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หามาไม่ได้ ก็ให้ถือศีลอดสามวันในระหว่างการทำหัจญ์ และอีกเจ็ดวันเมื่อพวกเธอกลับแล้ว มันก็ครบสิบวัน ดังกล่าวนั้นสำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขาไม่ได้พำนักอยู่ที่ อัลมัสญิด อัลหะรอม และพวกเธอจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ

{2:197} พิธีหัจญ์นั้นมีหลายเดือน อันเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ประกอบพิธีหัจญ์ในเดือนเหล่านั้นแล้ว ก็ต้องไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาทใด ๆ ในช่วงทำหัจญ์ และความดีอันใดที่พวกเธอกระทำนั้น อัลลอฮฺทรงรู้ดี และพวกเธอจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความยำเกรง และพวกเธอจงยำเกรงฉันเถิด ดูกร บรรดาผู้มีปัญญา!

{2:198} ไม่ใช่ความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ในการที่พวกเธอจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจากพระเจ้าของพวกเธอ ครั้นเมื่อพวกเธอได้ทยอยกันออกจากอะร่อฟาตแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ณ อัลมัชอัร อัลหะรอม และจงกล่าวรำลึกถึงพระองค์ดังที่พระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเธอ และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเธออยู่ในหมู่ผู้ที่หลงทาง

{2:199} แล้วพวกเธอจงหลั่งไหลกันออกไปจากที่ ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขออภัยต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:200} ครั้นเมื่อพวกเธอประกอบพิธีหัจญ์ของพวกเธอเสร็จแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ดังที่พวกเธอกล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเธอ หรือกล่าวรำลึกให้มากยิ่งกว่า ในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดประทานให้แก่พวกข้าฯในโลกนี้เถิด" และเขาจะไม่ได้รับส่วนดีอันใดในปรโลก

{2:201} และในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ที่กล่าวว่า "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดประทานสิ่งดีงามในโลกนี้และสิ่งดีงามในปรโลกแก่พวกข้าฯ และโปรดคุ้มครองพวกข้าฯให้พ้นจากลงโทษแห่งเพลิงนรก"

{2:202} ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาจะได้รับส่วนดี จากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรวดเร็วในการชําระสอบสวน

{2:203} และพวกเธอจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดรีบกลับในสองวัน ก็ไม่ใช่ความผิดสำหรับเขา และผู้ใดรั้งรอไปอีก ก็ไม่ใช่ความผิดสำหรับเขา สำหรับผู้ที่มีความยำเกรง และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ด้วยว่า พวกเธอนั้นจะถูกนำไปชุมนุมยังพระองค์

{2:204} และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่คําพูดของเขา ทำให้เธอพึงพอใจในชีวิตโลกนี้ และเขาจะอ้างอัลลอฮฺเป็นพยานต่อสิ่งที่มีอยู่ในใจของตน และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้โต้เถียงที่ฉกาจยิ่ง

{2:205} และเมื่อเขาหันหลังไปแล้ว เขาก็เพียรพยายามในแผ่นดิน เพื่อก่อความเสียหายในนั้น และทำลายพืชผลและเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย

{2:206} และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ" ความผยองก็เกาะกุมเขา ชักนำให้เขาทำบาป สำหรับคนพวกนี้ นรกญะฮันนัมจึงเหมาะสมสำหรับพวกเขา และมันเป็นที่พำนักอันเลวร้ายยิ่ง

{2:207} และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ที่สละพลีตนเอง ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความพอพระทัยแห่งอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย

{2:208} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงเข้าอยู่ในความสันติโดยทั่วทั้งสิ้น และจงอย่าปฏิบัติตามฝีก้าวของชัยฏอน แท้จริงมันเป็นศัตรูต่อพวกเธอที่ชัดแจ้ง

{2:209} ถ้าหากพวกเธอผิดพลั้งหลังจากที่หลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเธอแล้ว จงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{2:210} และพวกเขารอคอยสิ่งใดอีกเล่า นอกจากการที่อัลลอฮฺและมะลาอิกะฮฺของพระองค์จะมายังพวกเขาในร่มเงาจากเมฆ? และเรื่องนั้นได้ถูกชี้ขาดไว้แล้ว และยังอัลลอฮฺนั้น กิจการทั้งมวลจะถูกนำกลับไป

{2:211} เธอจงถามวงศ์วานของอิสรออีลดูเถิดว่า สัญญานอันชัดเจนตั้งเท่าใดแล้ว ที่เราได้นำมายังพวกเขา และผู้ใดเปลี่ยนแปลงความกรุณาของอัลลอฮฺหลังจากที่มันได้มายังเขาแล้ว แน่นอนอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ

{2:212} ชีวิตแห่งโลกนี้ได้ถูกประดับให้เหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธาเห็นดีเห็นงาม และพวกเขาเย้ยหยันบรรดาผู้ที่มีศรัทธา แต่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น จะเหนือกว่าพวกเขาในวันฟื้นคืนชีพ และอัลลอฮฺจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยไม่จำกัด

{2:213} ปวงมนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮฺได้ทรงส่งบรรดานบีมาในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์ อันกอปรด้วยความจริง ลงมาแก่พวกเขา เพื่อจะได้ทรงพิพากษาระหว่างหมู่มนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีผู้ใดที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นเอง หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้นแล้ว ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขากันเอง แล้วอัลลอฮฺก็ทรงชี้นำแก่บรรดาผู้มีศรัทธา ซึ่งความจริงที่พวกเขาขัดแยังกัน ด้วยพระอนุมัติของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่หนทางอันเที่ยงตรง

{2:214} หรือพวกเธอคิดว่า พวกเธอจะได้เข้าสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเธอ ยังไม่ได้มาถึงพวกเธอเลย ซึ่งความทุกข์ยากลําบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับความหวั่นไหวจนกระทั่งศาสนทูตและบรรดาผู้มีศรัทธาซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า "เมื่อใดเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ?" มิหรือ การช่วยเหลือของอัลลอฮฺนั้นอยู่ใกล้?

{2:215} พวกเขาถามว่า พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด? จงกล่าวเถิดว่า "สิ่งที่ดีอันใดก็ตามที่พวกเธอบริจาค ก็ให้แก่บิดามารดา และญาติสนิท และเด็กกําพร้า และผู้ขัดสน และคนเดินทาง และความดีอันใดที่พวกเธอได้กระทำไป อัลลอฮฺทรงรู้ดี"

{2:216} พวกเธอได้ถูกบัญชาให้ออกสู่สงคราม ทั้ง ๆ ที่พวกเธอรังเกียจมัน แต่มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเธอรังเกียจสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีสำหรับพวกเธอ และบางทีพวกเธอรักสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ สิ่งนั้นมันเลวสำหรับพวกเธอ อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ แต่พวกเธอไม่รู้

{2:217} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม เรื่องการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า "การสู้รบ ในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่หลวง ทว่าการขัดขวางให้ออกจากทางของอัลลอฮฺ และการปฏิเสธการศรัทธา ต่อพระองค์และการกีดกัน อัลมัสญิด อัลหะรอม ตลอดจนการขับไล่ชาว อัลมัสญิด อัลหะรอม ออกไปนั้น เป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ และการก่อกวนนั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการการประหัตประหาร และพวกเขาจะยังคงทำร้ายพวกเธอต่อไป จนกว่าพวกเขาจะเอาพวกเธอออกไปจากศาสนาของพวกเธอ หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเธอออกไปจากศาสนาของตน แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาสูญสลาย ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:218} แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธา และบรรดาผู้ที่อพยพ และได้เสียสละต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺนั้น ชนเหล่านี้แหละที่หวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:219} พวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า "ในทั้งสองนั้นมีโทษและมีคุณประโยชน์หลายอย่างแก่ผู้คน แต่โทษของมันทั้งสองนั้น มากกว่าคุณประโยชน์ของมัน" และพวกเขาจะถามเธอว่า "พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด?" จงกล่าวเถิดว่า "สิ่งที่เหลือใช้" ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้ใคร่ครวญ

{2:220} ทั้งในโลกนี้และปรโลก และพวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับบรรดาเด็กกําพร้า จงกล่าวเถิดว่า "การแก้ไขปรับปรุงใด ๆ ให้แก่พวกเขานั้น เป็นสิ่งดียิ่ง และถ้าหากพวกเธอจะร่วมอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็คือพี่น้องของพวกเธอ" และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงผู้ที่ก่อความเสียหายจากผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว ก็คงจะทรงให้พวกเธอลําบากไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน

{2:221} และพวกเธอจงอย่าสมรสกับบรรดาหญิงผู้ตั้งภาคี จนกว่าพวกนางจะมีศรัทธา และทาสหญิงที่เป็นผู้มีศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นผู้ตั้งภาคี แม้ว่านางทำให้พวกเธอพึงพอใจก็ตาม และพวกเธอจงอย่าให้บรรดาชายผู้ตั้งภาคีสมรส(กับสตรีผู้มีศรัทธา) จนกว่าพวกเขาจะมีศรัทธา และทาสชาย ที่เป็นผู้มีศรัทธานั้นดีกว่าผู้ตั้งภาคี ถึงแม้ว่าเขาทำให้พวกเธอพึงพอใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่เพลิงนรก และอัลลอฮฺนั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยพระอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาสัญญาณของพระองค์แก่เหล่ามนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึก

{2:222} และพวกเขาจะถามเธอเกี่ยวกับระดู จงกล่าวเถิดว่า "มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกเธอจงห่างไกลจากหญิงในขณะมีระดู และจงอย่าเข้าใกล้นาง จนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนางได้ชําระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงเข้าหานางตามที่อัลลอฮฺบัญชาพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงชอบบรรดาผู้สำนึกผิด และทรงชอบบรรดาผู้ที่ขัดเกลาตนให้สะอาด"

{2:223} บรรดาสตรีของพวกเธอนั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจงมายังแหล่งเพาะปลูกของพวกเธอ ตามที่พวกเธอประสงค์ และพวกเธอจงประกอบความดีมอบแก่ตัวของพวกเธอเอง และจงยำเกรงอัลลอฮฺและจงรู้เถิดว่า พวกเธอนั้นจะเป็นผู้พบกับพระองค์ และเธอจงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้มีศรัทธาเถิด

{2:224} จงอย่าเอาอัลลอฮฺมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นในการสาบานของพวกเธอ ที่จะปฏิบัติคุณงามความดี และการที่จะยำเกรง และการที่จะประนีประนอมระหว่างผู้คน แท้จริงอัลลอฮฺคือพระทรงได้ยิน พระทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

{2:225} อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาผิดต่อการสาบาน ที่พวกเธอกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พระองค์จะถือเอาคําสาบานที่พวกเธอทำขึ้นโดยมีใจเจตนา แท้จริง อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงขันติ

{2:226} สำหรับบรรดาผู้ที่สาบานว่า จะไม่สมสู่ภรรยาของเขานั้น ให้มีการรอคอยสี่เดือน แล้วถ้าหากเขากลับคืนดี แน่นอนอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ

{2:227} และถ้าพวกเขาตัดสินใจที่จะหย่า แน่นอนอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:228} และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนางจะต้องรอคอยต้วของตนเองสามรอบเดือน และไม่อนุมัติให้แก่พวกนาง ในการที่พวกนางจะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บังเกิดขึ้นในมดลูกของพวกนาง หากพวกนางศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และบรรดาสามีของพวกนางนั้นเป็นผู้มีสิทธิมากกว่าในการให้พวกนางกลับมาในกรณีดังกล่าว หากพวกเขาปรารถนาประนีประนอม และพวกนางนั้นจะได้รับ เช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกนาง จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรม และสำหรับบรรดาชายนั้นมีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาน

{2:229} การหย่านั้นมีได้สองครั้ง ดังนั้นจงยับยั้งไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็ให้ปล่อยไปโดยดี และไม่อนุญาตแก่พวกเธอ ในการที่พวกเธอจะยึดเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่พวกเธอได้ให้แก่พวกนาง นอกจากทั้งสองเกรงว่า จะไม่สามารถปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺได้ ถ้าหากพวกเธอเกรงว่าเขาทั้งสองจะไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ก็ไม่ใช่ความผิดแก่เขาทั้งสองในสิ่งที่นางใช้มันไถ่ตน เหล่านั้นแหละคือกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ พวกเธอจงอย่าละเมิดมัน และผู้ใดละเมิดกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺแล้ว ชนเหล่านั้นก็คือผู้ทุจริต

{2:230} ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก(ครั้งที่สาม) นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาหลังจากนั้น จนกว่าจะสมรสกับสามีอื่นจากเขา แล้วหากสามีนั้นหย่านาง ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับเขาทั้งสอง ที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺได้ และนั่นแหละ คือกฏเกณฑ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมันอย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี

{2:231} และเมื่อพวกเธอหย่าบรรดาสตรี แล้วพวกนางถึงกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็จงยับยั้งนางไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็จงปล่อยนางไปโดยชอบธรรม และพวกเธอจงอย่ายับยั้งพวกนางไว้โดยมุ่งก่อความเดือดร้อน เพื่อพวกเธอจะได้ข่มเหงรังแก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาก็ได้ทุจริตต่อตนเอง และจงอย่าถือเอาโองการของอัลลอฮฺ เป็นที่เย้ยหยัน และจงระลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺ ที่มีแก่พวกเธอ และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเธอ อันได้แก่คัมภีร์ และบทบัญญัติ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คัมภีร์นั้น ตักเตือนพวกเธอ และพวกเธอจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง

{2:232} และเมื่อพวกเธอหย่าเหล่าสตรี แล้วนางเหล่านั้นได้ถึงกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็จงอย่าขัดขวางพวกนาง ในการที่พวกนางจะสมรสกับบรรดาคู่ครองของพวกนาง เมื่อพวกเขาต่างพอใจต่อกัน โดยชอบธรรม นั่นแหละคือสิ่งที่จะถูกนำมาตักเตือนแก่ผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก นั่นแหละคือสิ่งที่บริสุทธิ์กว่าและสะอาดกว่าสำหรับพวกเธอ และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ แต่พวกเธอไม่รู้

{2:233} และเหล่ามารดานั้น จะให้นมแก่ลูก ๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการจะให้นมจนครบกำหนด และเป็นหน้าที่ของบิดาเด็กนั้นที่จะต้องให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกนางโดยชอบธรรม ชีวิตใดหนึ่งจะไม่ถูกกำหนดให้รับภาระหน้าที่ นอกจากเท่ากำลังความสามารถของมันเท่านั้น มารดาก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน เนื่องด้วยลูกของนาง และบิดาเด็กก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน เนื่องด้วยลูกของเขา และหน้าที่ของทายาทผู้รับมรดกก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทั้งสองต้องการหย่านม อันเกิดจากความพอใจ และการปรึกษาหารือกันจากทั้งสองคนแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับเขาทั้งสอง และหากพวกเธอจะขอให้มีแม่นมมาเลี้ยงลูก ๆ ของพวกเธอแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ถ้าพวกเธอได้มอบสิ่งที่พวกเธอให้(เป็นค่าตอบแทนแก่พวกนาง)โดยชอบธรรม และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงรู้ด้วยว่า อัลลอฮฺทรงเห็นในสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:234} และบรรดาผู้ที่สิ้นอายุขัยในหมู่พวกเธอ และทิ้งคู่ครองไว้นั้น พวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนางเองสี่เดือนกับสิบวัน ครั้นเมื่อพวกนางครบกําหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ในสิ่งที่พวกนางได้กระทำไปในเรื่องส่วนตัวของพวกนางโดยชอบธรรม และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ในสิ่งที่พวกเธอกระทำกัน

{2:235} และไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ในการที่พวกเธอกล่าวเป็นนัยในการสู่ขอสตรี หรือการที่พวกเธอเก็บงําไว้ในใจของพวกเธอ อัลลอฮฺทรงรู้ว่า พวกเธอจะบอกกล่าวแก่นางให้ทราบ ทว่าพวกเธออย่าได้สัญญาแก่นางเป็นการลับ นอกจากพวกเธอจะกล่าวถ้อยคําอันดีเท่านั้น และจงอย่าตัดสินใจทำพิธีสมรส จนกว่ากําหนดเวลาอันนั้นจะบรรลุถึงความสิ้นสุดของมัน และพวกเธอจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจงระวังต่อพระองค์ และจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงสุขุม

{2:236} ไม่เป็นความผิดสำหรับพวกเธอ ถ้าหากพวกเธอหย่าสตรี โดยที่พวกเธอยังไม่ได้สมสู่พวกนาง หรือยังไม่ได้กําหนดสินสอดใด ๆ แก่พวกนาง และจงทำขวัญแก่นาง ผู้มั่งมีนั้นก็ต้องให้ตามกําลังความสามารถของตน และผู้ยากจนนั้นก็ต้องให้ตามกําลังความสามารถของตน เป็นการทำขวัญโดยชอบธรรม เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้กระทำดี

{2:237} และถ้าหากพวกเธอหย่าพวกนาง ก่อนที่พวกเธอจะสมสู่พวกนาง โดยที่พวกเธอได้กําหนดสินสอดแก่นางแล้ว ก็จงให้แก่นางครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเธอได้กําหนดนั้น นอกจากว่าพวกนางจะยกให้ หรือผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ในสัญญาสมรสนั้นจะยกให้ และการที่พวกเธอจะยกให้นั้น เป็นสิ่งที่ใกล้ยิ่งต่อความยำเกรง(ต่ออัลลอฮฺ) และพวกเธออย่าลืมบุณคุณระหว่างพวกเธอกันเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเธอกระทำกัน

{2:238} จงรักษาบรรดานมาซของพวกเธอ และนมาซที่อยู่กึ่งกลาง และจงยืนนมาซต่ออัลลอฮฺอย่างนอบน้อม

{2:239} ถ้าหากพวกเธอหวาดกลัว ก็ในขณะที่เดินหรือขี่พาหนะ เมื่อพวกเธอปลอดภัยแล้ว ก็จงรำลึกถึงอัลลอฮฺ ดั่งที่ได้ทรงสอนพวกเธอในสิ่งที่พวกเธอไม่เคยรู้

{2:240} และพวกเธอที่จะสิ้นอายุขัยและต้องจากลาบรรดาคู่ครอง ก็ต้องสั่งเสียค่าบำนาญแก่บรรดาภรรยาของพวกตนให้ครบหนึ่งปี โดยไม่มีการขับไล่ แต่ถ้าพวกนางย้ายออก ก็ไม่เป็นบาปแก่พวกเธอ ในกรณีที่นางได้กระทำในเรื่องของส่วนตัวของพวกนางอันเป็นที่ชอบธรรม และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ

{2:241} และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าก็มีสิทธิ์ในค่าบำนาญโดยชอบธรรม เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้ยำเกรง

{2:242} เช่นนั้นแหละ ที่อัลลอฮฺทรงแจกแจงบรรดาสัญญาณของพระองค์แก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้ไตร่ตรอง

{2:243} เธอไม่รู้ดอกหรือ? เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ออกจากบ้านเมือง โดยมีจํานวนนับเป็นพันคน เพราะความกลัวตาย แต่แล้วอัลลอฮฺก็ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า "พวกเธอจงตายเถิด" ครั้นต่อมาพระองค์ก็ชุบชีวิตพวกเขาขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานแก่ปวงมนุษย์ ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่ขอบพระคุณพระองค์

{2:244} พวกเธอจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และจงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:245} ผู้ใดบ้างในหมู่พวกเธอที่จะให้การยืมที่ดีแก่อัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คืนให้เขาหลังจากที่ได้ทรงเพิ่มมันขึ้นเป็นทวีคูณแล้ว อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงสามารถลดและเพิ่ม และยังพระองค์ พวกเธอจะกลับคืนไป

{2:246} เธอไม่เห็นดอกหรือ พวกผู้นำในวงศ์วานของอิสรออีล ภายหลังจากมูซา เมื่อพวกเขาได้กล่าวกับศาสดาคนหนึ่งของพวกตนว่า "โปรดแต่งตั้งกษัตริย์แก่พวกเราเถิด เราจะได้ออกต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ" ศาสดาจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า "พวกเธอทั้งหลายคาดคิดไหมว่า หากพวกเธอได้ถูกบัญญัติให้ทำการรบแล้ว พวกเธอจะไม่ออกต่อสู้?" พวกเขาตอบว่า "และไฉนพวกเราจะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺเล่า? ทั้ง ๆ ที่พวกเราถูกขับไล่ออกมาจากบ้านเมืองของเรา และลูก ๆ ของเรา" ครั้นแล้วเมื่อการรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเขา พวกเขาก็หันหลังให้ ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขา และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับพวกทุจริต

{2:247} และศาสดาของพวกเขาก็ได้ประกาศแก่พวกเขาว่า "อัลลอฮฺได้ทรงแต่งตั้งฏอลูตให้เป็นกษัตริย์" พวกเขาก็กล่าวว่า "เขาจะมีอำนาจเหนือพวกเราได้อย่างใด ทั้ง ๆ ที่พวกเราเป็นผู้สมควรต่ออำนาจการปกครองนั้นยิ่งกว่าเขา และเขานั้นก็ไม่มีทรัพย์อันมั่งคั่งแต่ประการใด ๆ" เขากล่าวว่า "อัลลอฮฺได้ทรงคัดเลือกเขาให้มีอำนาจเหนือพวกเธอ และพระองค์ทรงเพิ่มพูนความกว้างขวางในความรู้ และความสูงใหญ่ในร่างกายแก่เขา และอัลลอฮฺทรงประทานอํานาจแห่งอาณาจักรของพระองค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮฺทรงไพศาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

{2:248} และศาสดาของพวกเขาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "สัญลักษณ์แสดงอํานาจแห่งการปกครองของเขาก็คือ จะมีหีบมายังพวกเธอ ซึ่งในนั้น มีความสงบมั่นจากพระเจ้าของพวกเธอ และมีส่วนที่เหลืออยู่จากสิ่งที่วงศ์วานของมูซาและวงศ์วานแห่งฮารูนได้ทิ้งไว้ ซึ่งถูกมะลาอิกะฮฺแบกมา แท้จริงในนั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์สำหรับพวกเธอ ทั้งนี้หากพวกเธอเป็นผู้มีศรัทธา"

{2:249} ต่อมาเมื่อฏอลูตได้นำไพล่พลเคลื่อนออกไป เขาก็ประกาศว่า "อัลลอฮฺจะทรงทดสอบพวกเธอ ด้วยลําน้ำสายหนึ่ง ซึ่งผู้ใดดื่มจากมัน เขาก็จะไม่ใช่พวกของฉัน แต่ผู้ใดไม่ดื่มมัน เขาก็เป็นพวกของฉัน ยกเว้นบุคคลที่ใช้มือของเขาวักน้ำเพียงครั้งเดียว" ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มจากมัน นอกจากพวกเขาเพียงไม่กี่คน ต่อมาเมื่อเขาและบรรดาผู้มีศรัทธาที่อยู่พร้อมกับเขาเดินผ่านลําน้ำนั้นไป พวกเขาก็กล่าวว่า "ในวันนี้เราไม่มีกำลังจะต่อสู้กับญาลูฏและไพร่พลของเขาได้ดอก" บรรดาผู้ที่มั่นใจว่าพวกเขาต้องได้พบกับอัลลอฮฺจึงกล่าวว่า "มีตั้งเท่าใดแล้วกลุ่มชนที่มีเพียงเล็กน้อย สามารถพิชิตกลุ่มชนที่มากกว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺย่อมอยู่พร้อมกับบรรดาผู้อดทน"

{2:250} และเมื่อพวกเขาได้ออกศึกเพื่อสู้กับญาลูฏและไพร่พลของเขา พวกนั้นก็วิงวอนว่า "พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดนำความอดทนลงมาให้พวกข้าฯ และโปรดยึดเท้าของพวกข้าฯให้มั่น และโปรดช่วยพวกข้าฯให้มีชัยชนะเหนือพวกปฏิเสธศรัทธา"

{2:251} ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้นโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และดาวูดได้สังหารญาลูฏ และอัลลอฮฺได้ทรงประทานอํานาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขา และพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และมาตรแม้นไม่ใช่เพราะอัลลอฮฺทรงป้องกันปวงมนุษย์ไว้แก่กันและกันแล้ว แผ่นดินก็จะหายนะแน่ ทว่าอัลลอฮฺทรงโปรดปรานแก่ชาวโลกทั้งปวง

{2:252} นั้นเป็นโองการแห่งอัลลอฮฺ ซึ่งเราแถลงมันแก่เธอโดยสัจจะ และแท้จริงเธอนั้นเป็นหนึ่งในเหล่าศาสนทูต

{2:253} และบรรดาศาสนทูตเหล่านั้นเราได้ให้เชิดชูบางคนเหนือกว่าอีกบางคน บางคนจากพวกนั้น เป็นผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงสนทนา และอัลลอฮฺได้ทรงยกพวกเขาบางคนขึ้นฐานันดรหลายขั้่น และแก่อีซา บุตรมัรยัมเราได้ประทานบรรดาหลักฐานที่ชัดแจ้ง และเราได้เสริมอํานาจแก่เขาด้วยวิญญานแห่งความบริสุทธิ์ และมาตรว่าอัลลอฮฺทรงประสงค์ แน่นอนบรรดาผู้อยู่ในยุคหลังจากพวกเขาก็ไม่ต้องรบพุ่งกัน ภายหลังจากบรรดาหลักฐานที่ชัดแจ้งได้มาสู่พวกเขาแล้ว ทว่าพวกเขาได้พิพาทกัน ซึ่งมีพวกเขาบางคนเป็นผู้มีศรัทธา และพวกเขาบางคนเป็นผู้ปฏิเสธ และมาตรว่าอัลลอฮฺทรงประสงค์ แน่นอนพวกเขาก็จะรบพุ่งกัน ทว่าอัลลอฮฺทรงกระทำไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์

{2:254} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงใช้จ่ายทรัพย์สินที่เราได้ประทานให้แก่พวกเธอ ก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึง ซึ่งในวันนั้นจะไม่มีการซื้อขาย และไม่มีมิตรภาพ และไม่มีการไถ่แทน และบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น พวกเขาคือพวกทุจริต

{2:255} อัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ทรงเป็นเสมอ ทรงดํารงอยู่ ความง่วงและการหลับไม่ครอบงําพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในเหล่าชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ผู้ใดเล่าที่จะให้การรับรอง(แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้ของพระองค์สักนิด นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์(จะให้พวกเขารู้)เท่านั้น เก้าอี้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งเหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่

{2:256} ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องแตกต่างจากสิ่งที่ผิดอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูตและมีศรัทธาในอัลลอฮฺ เขาก็ได้ยึดจับห่วงอันมั่นคง ไม่มีการแตกขาดสำหรับมัน และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงรอบรู้

{2:257} อัลลอฮฺทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้มีศรัทธา พระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากความมืดมนสู่ความสว่าง ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ผู้คุ้มครองพวกเขาคือฏอฆูต พวกมันนำพวกเขาออกจากความสว่างสู่ความมืดมน พวกเขาเป็นชาวนรก พวกเขาจะเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:258} เธอไม่เห็นดอกหรือ ผู้โต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขา? ซึ่งอัลลอฮฺได้มอบ อํานาจการปกครองแก่เขา เมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า "พระเจ้าของฉันทรงประทานชีวิต และทรงประทานความตาย" เขากล่าวว่า "ข้าก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้" อิบรอฮีมกล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงนำดวงอาทิตย์มาจากบูรพทิศ ดังนั้นท่านจงนำมันมาจากประจิมทิศเถิด" พลันผู้ที่ปฏิเสธนั้นก็อึ้งงง และอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนทุจริต

{2:259} หรืออุปมาดั่งผู้ที่ผ่านเมืองหนึ่ง โดยที่มันพังทับลงมาบนหลังคาของมัน เขากล่าวว่า "อัลลอฮฺจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีกได้อย่างใดเล่า หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว?" อัลลอฮฺจึงทรงบันดาลให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้นก็ได้ทรงชุบชีวิตเขา พระองค์ตรัสว่า "เธอพักอยู่นานเท่าใด?" เขาทูลตอบว่า "ข้าฯพักอยู่หนึ่งวันหรือส่วนหนึ่งของวัน" พระองค์ตรัสว่า "หามิได้! เธอพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปีต่างหาก เธอจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเธอเถิด มันยังไม่บูดเลย และเธอจงมองไปที่ลาของเธอเถิด และเพื่อเราจะบันดาลให้เธอเป็นอภินิหารสัญญาณหนึ่งแก่ปวงมนุษย์ และเธอจงมองไปที่กองกระดูกเถิด ว่าเราจะประกอบมัน แล้วเราหุ้มมันด้วยเนื้ออย่างใด" ครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว เขาก็กล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง"

{2:260} และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า "พระเจ้าของข้าฯ! โปรดแสดงให้ข้าฯได้เห็นเถิดว่า พระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างใด" พระองค์ตรัสว่า "เธอไม่เชื่อหรือ?" เขากล่าวว่า "หามิได้! แต่เพื่อจิตใจของข้าฯจะได้สงบมั่นยิ่งขึ้น" พระองค์ตรัสว่า "ดังนั้นเธอจงนำวิหคมาสี่ตัว แล้วเธอจงนำมันมาอยู่กับเธอ แล้วก็จงให้แต่ละส่วนของพวกมันอยู่บนภูเขาทุกลูก หลังจากนั้นเธอก็จงเรียกพวกมัน แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเธอโดยพลัน และเธอจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอํานาจ พระผู้ทรงมีปรีชาญาณ"

{2:261} การบริจาคของบรรดาผู้บริจาคทรัพย์สินของพวกตนในหนทางของอัลลอฮฺ อาจเปรียบได้ดั่งเมล็ดพืชที่งอกออกมาเจ็ดรวง และแต่ละรวงมีร้อยเมล็ด ในทำนองเดียวกัน อัลลอฮฺทรงเพิ่มพูนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้

{2:262} บรรดาผู้บริจาคทรัพย์สินของพวกตนในหนทางของอัลลอฮฺและไม่ได้ตามหลังการบริจาคของพวกตนด้วยการลําเลิกและการก่อความเดือดร้อน พวกเขาจะได้รับรางวัลจากพระเจ้าของพวกตน พวกเขาจะไม่มีความกลัว และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก

{2:263} คําพูดที่ไพเราะและการให้อภัยนั้น ดีกว่าการทำทานที่ตามหลังด้วยการก่อความเดือดร้อน และอัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงมั่งมี พระผู้ทรงขันติ

{2:264} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! พวกเธอจงอย่าทำลายการทำทานของพวกเธอ โดยการลําเลิกและการก่อความเจ็บปวด ประดุจผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์ของพวกตนเพื่ออวดผู้คน และเขาเองก็ไม่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้าย อุปมาคนอย่างเขา ก็อุปมัยดั่งศิลาเกลี้ยงซึ่งมีดินติดอยู่ ต่อมามีฝนหนักกระหน่ำลงมา จนทิ้งมันไว้ในสภาพเกลี้ยงเกลา พวกเขาไม่อาจได้สักสิ่งเดียวจากที่พวกตนได้พากเพียรไว้ และอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธา

{2:265} และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของพวกตน เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยของอัลลอฮฺและเพื่อเพิ่มความหนักแน่นแก่ตนเอง ก็เปรียบได้ดั่งสวนหนึ่งตั้งอยู่ ณ พื้นที่ราบสูงซึ่งมีฝนหนักตกกระหน่ำลงมา มันจึงให้ผลิตผลของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถึงแม้ไม่ได้มีฝนหนัก ก็ยังมีน้ำค้าง และอัลลอฮฺทรงมองเห็นการกระทำของพวกเธอ

{2:266} พวกเธอคนใดชอบไหมเล่า? ที่จะมีสวนแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยต้นอินผาลัมและต้นองุ่น โดยมีแม่น้ำลำธารไหลผ่านจากเบื้องล่างของมัน ในสวนนั้นเขาได้รับผลไม้ต่าง ๆ และวัยชราก็ประสบแก่เขา ทั้ง ๆ ที่ลูก ๆ ของเขาก็ยังอ่อนวัย แล้วมันก็ถูกพายุโหมกระหน่ำ ในนั้นมีเพลิง แล้วสวนนั้นก็มอดไหม้ เช่นนั้นแหละ อัลลอฮฺทรงชี้แจงกับบรรดาโองการต่าง ๆ เพื่อพวกเธอจะได้ใคร่ครวญ

{2:267} ดูกร บรรดาผู้ที่มีศรัทธา! จงบริจาคทรัพย์ที่ดีบางส่วน ที่พวกเธอหามาได้ และจากสิ่งที่เราได้นำออกมาจากแผ่นดินให้แก่พวกเธอ และพวกเธออย่าได้มุ่งเอาสิ่งเลวจากมันนั้นมาบริจาค ทั้ง ๆ ที่พวกเธอเองก็ไม่อยากจะรับสิ่งนั้น นอกจากพวกเธอจะต้องหลับตาในการรับมัน และจงทราบไว้เถิดว่า อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรวยยิ่ง พระผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญ

{2:268} ชัยฏอนนั้นจะขู่พวกเธอให้กลัวความยากจน และสั่งสอนพวกเธอให้ทำบรรดาสิ่งอนาจาร แต่อัลลอฮฺทรงสัญญาแก่พวกเธอซึ่งการอภัยจากพระองค์และความโปรดปราน และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้

{2:269} พระองค์ทรงประทานปัญญาให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ผู้ใดได้รับวิทยปัญญา เขาก็ได้รับความดีงามอันมากมาย ไม่มีผู้ใดรำลึกดอก นอกจากผู้ที่มีสติปัญญา

{2:270} และการบริจาคอันใดก็ตามที่พวกเธอได้บริจาคไป หรือการบนบานใดก็ตามที่พวกเธอได้บนบานไว้ แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น และบรรดาผู้ทุจริตนั้น จะไม่มีผู้ช่วยเหลือเลย

{2:271} ถ้าพวกเธอเปิดเผยสิ่งที่ให้เป็นทาน มันก็เป็นการดี แต่ถ้าพวกเธอปกปิดมันและให้มันแก่บรรดาคนยากจนแล้ว มันก็จะเป็นการดียิ่งกว่าสำหรับพวกเธอ และพระองค์จะลบล้างความผิดบางอย่างของพวกเธอ และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเธอกระทำ

{2:272} ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของเธอ ในการชี้นำพวกเขา ทว่าอัลลอฮฺต่างหากที่ทรงชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรัพย์สินอันใดที่พวกเธอบริจาค พวกเธอเองจะได้รับมัน และพวกเธอจะต้องไม่บริจาค นอกจากเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺเท่านั้น และสิ่งที่ดีอันใดที่พวกเธอบริจาคไปนั้น มันจะถูกตอบแทนโดยครบถ้วนแก่พวกเธอ และพวกเธอจะไม่ถูกฉ้อฉล

{2:273} แก่บรรดาคนยากจนที่ถูกขวางกั้นในทางของอัลลอฮฺ พวกเขาไม่สามารถที่จะเดินทางไปในแผ่นดิน ผู้ที่ไม่รู้ก็จะคิดว่า พวกเขาเป็นคนมั่งมี เนื่องด้วยการรักษาเกียรติ เธอรู้จักพวกเขาได้ด้วยสัญลักษณ์แห่งพวกเขา คือพวกเขาจะไม่ขอจากผู้อื่นอย่างเซ้าซี้ และสิ่งดีอันใดที่พวกเธอบริจาคนั้น อัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน

{2:274} บรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของตนในยามทิวาและราตรี โดยปกปิดหรือเปิดเผยนั้น จะได้รับรางวัลของพวกตน ณ พระเจ้าของพวกตน และพวกเขาไม่มีความกลัวและพวกเขาไม่เศร้าโศก

{2:275} บรรดาผู้กินดอกเบี้ย พวกเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมา นอกจากประดุจดั่งการลุกขึ้นของผู้ที่ถูกชัยฏอนผลักล้มสะเปะสะปะด้วยการเข้าสิง นั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า "การค้าขายก็เหมือนกับการเอาดอกเบี้ย" และอัลลอฮฺทรงอนุมัติการค้าขาย แต่ทรงห้ามการเอาดอกเบี้ย ดังนั้นผู้ใดที่รับคําเตือนจากพระเจ้าของตน แล้วเขาก็ยุติ แน่นอนสิ่งที่ล่วงเลยไปนั้นก็เป็นของเขา และกรณีของเขาก็กลับไปสู่อัลลอฮฺ และผู้ใดหวนกลับ แน่นอนพวกเขาเป็นชาวนรก พวกเขาเป็นอมตะอยู่ในนั้น

{2:276} อัลลอฮฺจะทรงบั่นทอนความจําเริญออกจากดอกเบี้ยและจะทรงเพิ่มพูนกุศลทาน และอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้เนรคุณผู้กระทำบาปสักคนเลย

{2:277} บรรดาผู้มีศรัทธาและประพฤติดี และดํารงนมาซและชําระซะกาต พวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกตน ณ ที่พระเจ้าของพวกตน และพวกเขาจะไม่มีความหวาดกลัวและพวกเขาไม่เศร้าโศก

{2:278} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ และจงละทิ้งดอกเบี้ยที่ยังคงเหลือ ถ้าหากพวกเธอเป็นผู้มีศรัทธา

{2:279} แล้วถ้าหากพวกเธอไม่ปฏิบัติตาม พวกเธอก็จะจงรับรู้เถิดว่า จะมีสงครามจากอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และหากพวกเธอกลับใจ พวกเธอก็ได้แต่ต้นทุนของพวกเธอ พวกเธอไม่เอาเปรียบและไม่ถูกเอาเปรียบ

{2:280} ถ้าหากลูกหนี้ของพวกเธอเป็นผู้ยากไร้ ก็จงผ่อนปรนจนถึงยามที่สะดวก แต่ถ้าหากพวกเธอยกหนี้ให้เป็นทาน มันก็เป็นการดีกว่าสำหรับพวกเธอ ถ้าหากพวกเธอรู้

{2:281} พวกเธอจงยำเกรงวันหนึ่ง ซึ่งในวันนั้นพวกเธอจะกลับคืนสู่อัลลอฮฺ ณ ที่นั่น แล้วทุกชีวิตจะถูกตอบแทนโดยครบถ้วน ตามที่มันเคยขวนขวายไว้ และพวกเขาจะไม่ถูกฉ้อฉล

{2:282} ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา! เมื่อพวกเธอทำสัญญากู้หนี้ยืมสินกันในหนี้สินหนึ่ง โดยมีกําหนดเวลาที่แน่ชัด พวกเธอก็จงบันทึกมัน และผู้เขียนก็จงบันทึกในระหว่างพวกเธอด้วยความเที่ยงธรรม และผู้บันทึกจงอย่าปฏิเสธที่จะบันทึกดั่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสอนเขาไว้ ดังนั้นเขาจงบันทึก โดยให้ลูกหนี้เป็นผู้บอกให้ และเขาจงยำเกรงอัลลอฮฺพระเจ้าของตน และจงอย่าบกพร่องจากนั้น แม้สักเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หากปรากฏว่า ผู้เป็นลูกหนี้เป็นคนเบาปัญญา หรือเป็นคนอ่อนแอ หรือไม่สามารถที่จะบอก ก็จงให้ผู้ปกครองของเขาบอกแทนด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเธอจงจัดตั้งพยานขึ้นสองคนจากบรรดาบุรุษของพวกเธอ หากไม่มีบุรุษสองคน ก็บุรุษหนึ่งคนกับสตรีสองคน จากพวกพยานที่พวกเธอพึงพอใจ เพื่อที่ว่า หากนางหนึ่งในสองคนหลงลืม คนหนึ่งในสองคนจะได้ช่วยเตือนความจําให้แก่อีกคนหนึ่ง และบรรดาพยานนั้นอย่าปฏิเสธ เมื่อใดถูกขอร้อง และพวกเธอจงอย่าเบื่อหน่ายที่จะบันทึกหนี้สิน ไม่ว่ามันจะน้อยนิดหรือมากมายก็ตาม จนถึงกําหนดของมัน สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ณ อัลลอฮฺ และคือสิ่งที่เที่ยงตรงที่สุดสำหรับเป็นหลักฐานยืนยัน และอย่างน้อยที่สุดพวกเธอก็จะได้ไม่หวาดระแวงต่อกัน ยกเว้นในกรณีที่เป็นสินค้าที่ปรากฏต่อหน้า ซึ่งพวกเธอหมุนเวียนแลกเปลี่ยนมันระหว่างพวกเธอกันเอง ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ ที่จะไม่บันทึกมัน และจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิด เมื่อพวกเธอซื้อขายกัน และทั้งผู้บันทึกและพยานนั้นจงอย่าก่อความเดือนร้อน และหากพวกเธอทำ สิ่งนั้นก็จะเป็นความฝ่าฝืนที่พวกเธอเป็นต้นเหตุ และพวกเธอจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และอัลลอฮฺทรงสอนพวกเธอ และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในทุก ๆ สิ่ง

{2:283} และหากพวกเธออยู่ในระหว่างเดินทาง และพวกเธอไม่พบผู้บันทึกคนใดก็ให้มีสิ่งค้ำประกัน ที่ถูกยึดกุมไว้ ดังนั้น หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน ลูกหนี้ผู้ได้รับความไว้วางใจก็ต้องชําระคืนสินเชื่อนั้น และเขาจงยำเกรงอัลลอฮฺพระเจ้าของตน และพวกเธออย่าปิดบังการเป็นพยาน และบุคคลใดปิดบังมัน แน่นอนหัวใจเขาย่อมเป็นบาป และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเธอทั้งมวล

{2:284} เป็นกรรมสิทธิ์แห่งอัลลอฮฺ สรรพสิ่งในเหล่าชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน และหากพวกเธอเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเธอ หรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม อัลลอฮฺก็จักทรงสอบสวนพวกเธอเกี่ยวกับมันอย่างแน่นอน และพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

{2:285} ศาสนทูตนี้มีศรัทธาในสิ่งที่ถูกประทานมายังเขาจากพระเจ้าของตน อีกทั้งศรัทธาชนก็เช่นกัน ทุกคนต่างมีศรัทธามั่นในอัลลอฮฺ และในมะลาอิกะฮฺของพระองค์ และในบรรดาคําภีร์ของพระองค์และในบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า "พวกข้าฯได้ยิน และพวกข้าฯภักดี โปรดให้อภัยด้วยเถิด พระเจ้าของพวกข้าฯ! และสู่พระองค์เท่านั้นคือจุดหมายปลายทาง"

{2:286} อัลลอฮฺไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งใด นอกจากเท่าความสามารถของมัน ทุกชีวิตจะได้รับความดีที่ตนได้ขวนขวายไว้ และจะแบกหามความชั่วที่ตนได้ขวนขวายไว้ "พระเจ้าของพวกข้าฯ! อย่าเอาผิดพวกข้าฯ หากพวกข้าฯหลงลืมหรือผิดพลั้ง พระเจ้าของพวกข้าฯ! อย่าบรรทุกภาระหนักแก่พวกข้าฯเสมือนที่พระองค์ได้เคยบรรทุกแก่บรรดาพวกก่อนหน้าพวกข้าฯ พระเจ้าของพวกข้าฯ! โปรดอย่าให้พวกข้าฯแบกหามสิ่งที่พวกข้าไม่มีกำลังที่จะแบกหามมันได้ และโปรดให้อภัยแก่พวกข้าฯ และยกโทษให้แก่พวกข้าฯ และเมตตาพวกข้าฯ พระองค์คือพระผู้ปกครองของพวกข้าฯ ดังนั้นโปรดช่วยให้พวกข้าฯ มีชัยชนะเหนือชนผู้ปฏิเสธด้วยเทอญ"

ที่มา: ananuc.blogspot.com, th.wikisource.org

อัพเดทล่าสุด