การแก้ไสยศาสตร์ ตามแบบซุนนะฮ์และอัลกุรอ่าน


25,857 ผู้ชม

แนวทางสำหรับผู้ที่ สงสัยว่าตัวเองนั้น นั้นถูกไสยสาสตร์ หรือถูกกระทำด้วยคุณไสย เรียกว่าการโดนญินเข้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามหลักของศาสนาอิสลามห้ามการใช้ไสยศาสตร์ แก้ ไสยศาสตร์ การไปหาหมอไสยศาสตร์ การไปหาหมอดู การทำเสน่ห์ หรือที่เกี่ยวข้อง หรือเข้าไปมีส่วนร่วม


การแก้ไสยศาสตร์ ตามแบบซุนนะฮ์และอัลกุรอ่าน

การแก้ไสยศาสตร์ ตามแบบซุนนะฮ์และอัลกุรอ่าน

เรื่องนี้จัดทำ ขึ้น เพื่อให้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ สงสัยว่าตัวเองนั้น นั้นถูกไสยสาสตร์ หรือถูกกระทำด้วยคุณไสย เรียกว่าการโดนญินเข้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามหลักของศาสนาอิสลามห้ามการใช้ไสยศาสตร์ แก้ ไสยศาสตร์ การไปหาหมอไสยศาสตร์ การไปหาหมอดู การทำเสน่ห์ หรือที่เกี่ยวข้อง หรือเข้าไปมีส่วนร่วม

ญิน (ในลักษณะดังนี้ จะไม่มีความรู้อะไรเลยนอกจากความรู้ของคนที่มันสิงอยู่ มันก็แค่อาศัยการอ่านจิตใจ แล้วทำทีเหมือนกับว่าตัวมันนั้นมีความรู้ที่เหนือกว่า แต่จริงๆแล้ว เป็นแค่การข่มขวัญทางด้านของจิตวิทยามากกว่า) หลัการทำงานของพวกมันนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ใช้จิตวิทยา (ของการโกหกแต่ไม่ใช่เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมา )

สิ่งที่มันทำได้ในแต่ละวัน คือ  นั่งเล่าเรื่องราวในแต่ละวันๆ ก็เท่านั้น ให้คนที่โดนมันสิง ลองประเมินสถานการณ์ ด้วยตัวเอง และด้วย สติปัญญา ของตัวเองได้ว่า มันไม่มีค่าอะไรเลย ก็แค่เสียงการนั่งคุยหรือการนั่งเล่ากันไปวันๆ แต่มันจะไม่แต่งเรื่องขึ้นมาเล่า แต่ก็แค่หาจุดอ่อนของคนๆนั้น หาข้อเสียของคนๆนั้นเอามานั่งเล่ากันก็เท่านั้นซึ่งการกระทำแบบนั้น เรียกว่า การ ฟิตนะ( การสร้างความปั่นป่วน) ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำ ของอิบรีส และมันจะพยายาม ยุ แหย่ ให้เราทำในสิ่งที่ ศาสนา ห้าม แต่ถ้าเราไม่ทำ มันก็จะ สร้าง ความปั่นป่วนในหัวใจของเราในขณะที่เราทำ อิบาดะฮ์

การแก้  คือให้เรา เหนียต ซอดาเกาะฮ์ อิบาดะห์
ของเราให้มันไปด้วย เราเองต้องทำใจว่า อย่าใจแคบในผลบุญ 
ในการอิบาดะฮ์ ของเรา ฝึกตรงนี้ให้ผ่าน และจะอธิบายถึงวิธีรักษา ที่มา อัลกุรอ่านและ  ซุนนะฮฺ ของท่านนบีมูฮำมัด (ซล) จะใช้การทำไสยศาสร์ แบบนี้กับใคร   
1 การทำเสน่ห์   
2 ฝังรูปฝังรอย 
3 การหาของหาย
หลังจากที่ให้ญินเข้าไปแล้ว (กรณีนี้ยังไม่พูดถึงว่า น้ำลายยืดคุยไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นการเข้าแบบไม่เต็มตัว)  ก็จะทำให้เป็นเสียงเหมือนกระซิบ เพื่อให้เป้าหมายเกิดอาการเครียดก็จะทำเป็นเสียงให้ได้ยิน หรือโดยทั่วไปเรียกว่าอาการ  หูแว่ว
มาดูอาการเบื้องต้นกันว่าจะมีลักษณะอาการอย่างไร

หลักการใช้เสียงส่วนใหญ่ 

จะแบ่งลักษณะของเสียงได้ ดังนี้


1 เสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนคนที่กำลังโมโห  คือใช้น้ำเสียงที่ข่อนข้างแข้งกร้าว ฟังดูดุดันหรือใช้เสียงที่ทำเหมือนว่า อยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า( เปรียบเทียบง่ายๆคือ การลักไก่ที่เหมือนกับการเล่นการพนัน)

2 เสียงที่ฟังแล้ว เหมือนเป็นการ พูดชม  หรือ พูดยกยอ ต่างๆ นาๆ

3 เสียงที่ฟังแล้ว เหมือนเป็นการดูถูก แต่ไม่หยาบคาย จะไม่มีคำด่าทอที่รุนแรง แต่แอบแฝง และเชือดเฉือน  คำหยาบที่สุดคือ แม่ง หรือ มึง

4 เสียงจากโทรศัพท์ เป็นเหมือนเสียง ที่ได้ยินจากโทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะเป็นการเล่าเรื่องมากกว่า

5 นำเอาคำพูดเก่าที่เคยพูดมา แล้วพูดวนอยู่อย่างนั้น  เรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้จิตของผู้ที่โดนสิงจนเกิดความเครียดขึ้นให้มากกว่าเดิม

6 ทำเป็นเหมือนกับว่ากำลังคุยกับใครก็แล้วแต่จะสมมุขึ้นมา ทำเหมือนกับการตั้งคำถาม เช่น ทำงานอะไร มีลูกเมีย ยังไง แต่จะใช้การเปลี่ยนเสียงหรือเลียนแบบเสียงของคนอาวุโสสูงกว่า

ขั้นตอนต่อไป

เสียงพูด เพื่อให้เรา ขาดความเป็นตัวของตัวเอง อันนี้แหละที่น่ากลัว จะทำให้เราขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือคนรอบข้างได้ มันจะทำให้เราเป็นศัตรูกับคนรอบๆตัวเรา หรือทำให้เราพูดออกมาคนเดียว มันจะคอยยุแหย่ เราอย่างนั้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราเกิดความอึดอัด พอเราพูดออกมา(หมายถึงระบายความอึดอัดออกมา) แต่คนรอบข้างจะไม่เข้าใจ และคิดว่าเราเป็นโรคประสาท อาจถึงขั้นที่เรียกว่าเส้นเลือดในสมองแตก แล้วก็จะเป็นบ้าไปในที่สุด สำคัญที่ตัวเรานั้นต้องควบคุมและตั้งสติตัวเองให้ดีๆ หรืออย่าเผลอใจไปกับเสียงที่ได้ยิน

1 หูแว่ว(ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน)  

1.1 หูแว่ว หรือได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน

เสียงที่ได้ยิน จะมี ประมาน 4คน เป็นเสียงผู้ชาย 2คน และเป็นเสียง ผู้หญิง 2คน จับเสียงได้ผู้หญิง จะเรียกตัวเองว่า อุษา

เสียงผู้ชาย  2 คน คร่าวๆ  อายุ น่าจะซักประมาณ 60ต้นๆ และอีกเสียง ก็น่าจะประมาณ 30กว่าๆ40ไม่เกิน40 แน่นอน  

เสียงผู้หญิง  ก็น่าจะไล่ๆกัน แต่สำหรับ อุษา อายุน่าจะยังไม่มาก เพระจะใช้คำแทนตัวเองว่า หนู

1 ทำเป็นเสียงให้ได้ยิน (แล้วมันเป็นเสียงยังไงล่ะ) มันมีหลายขั้นตอน ทำเป็นเสียงให้คนฟังแล้วรู้สึกเครียด (เรียกว่าเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง)

จะว่าไปแล้วมันก็แค่เป็นการใช้ หลักของจิตวิทยารวมกับส่วนของไสยศาสตร์

ว่าด้วยเรื่องของจิตวิทยาก่อนคนเราถ้ารู้เครียดแล้วเรียกว่า จิตเสีย ลองสังเกตดูว่าคนที่มีความเครียดนั้นตาจะขวางแววตาจะขุ่นมัว(ก็เข้าทางของพวกมัน)มันจะพูดทุกอย่างที่ทำให้คนที่โดนนั้นรูสึกเครียด  (แล้วจะพูดอย่างไรให้คนรู้สึกเครียด)

วิธีทำงานคือ  ทำเป็นลักษณะเหมือนกับ การนั่งล้อมวงคุยกัน มาดูกันว่านั่งคุยกันแบบไหน

1.2 ทำที่ว่าเป็นโทรศัพท์ หาบุคคลที่3 ซึ่งเป็นใครก็แล้วแต่จะใช้จะทำมาเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมา มุกที่ใช้ ก็จะเป็น มุกของคนขายยาบ้า ประมาณว่าทำทีเป็นโทรแจ้งตำรวจ ว่าเรามีเบอร์ของคนขายยาบ้า (ถึงเราจะไม่มีก็ตาม) เรียกว่าการกล่อมประสาทขั้นต้น เพื่อบีบความรู้สึกของคนๆนั้น สังเกตจากน้ำเสียงดูได้เลยว่า เป็นการคุยกันเองหรือว่าสร้างตัวละครอีกตัวหนึ่งขึ้นมา แต่ก็พวกมันกันเองนั้นแหละ เล่ากันไปเล่ากันมา (นี่ก็เป็นจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่ง แต่รวมไว้กับไสยศาสตร์)  ขั้นตอนใช้เสียงขั้นตอนต่อไป


หลังจากที่เป็นเสียงที่บอกมาในขั้นต้นที่พวกมันทำแล้วไม่เกิดผล  ก็จะเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนคนที่กำลังโมโห เป็นเสียงในลักษณะ โวยวาย เสียงดังจนทำให้เกิดอาการเครียด หรือเกิดความกลัว

ขั้นตอนการแก้ อาการพวกนี้ เราก็ต้องหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในสิ่งที่เราทำอยู่ เสียงมันจะเป็นในแบบที่ว่าพวกมันนั้นอยู่เหนือพวกเราหรือมีอำนาจเหนือพวกเรา หรือทำเป็นข่มขู่ให้เรารู้สึกกลัวพวกมัน ความกลัวของคนทั่วไปคือจุดอ่อนที่ดีที่สุด (หรือเรียกว่าการข่มขวัญของคู่ต่อสู้ ) จริงแล้วไม่มีอะไรเลย ใครที่โดนแบบนี้ต้องตั้งสติดีๆ อย่าไปกลัวในสิ่งที่ได้ยิน ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เสียงเท่านั้น

ทำลักษณะเหมือนกับว่านั่งล้อมวงคุยกัน แล้วคุยกันถึงเรื่องราวของคนนั้นๆ คุยกันในการกระทำของคนนั้นในแต่ละวันที่เขาได้ทำในแต่ละวัน แล้วเหมือนทำเป็นมานั่งคุยกัน คุยอยู่อย่างนั้นแหละ และทำแบบว่าเป็นการตั้งคำถาม เพื่อหาข้อความในการใช้จิตทยาในขั้นตอนของการจับผิดด้วยคำพูด

พูดในลักษณะเป็นการจับผิด


1.1 นำการกระทำของคนนั้นมาตีความด้วยคำพูด เช่น เรากำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่มันก็จะพูดตามไปเรื่อยๆ ลองนึกนะดูว่า ถ้าเรากำลังทำอะไรแล้วมีคนพูดตาม  ตามการกระทำของเรา แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร เกิดความรำคาญซิ ทุกๆอิริยาบททุกๆการกระทำ พูดไปเรื่อยๆ  พูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ทำให้รู้สึกว่าการกระทำนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำเสียงให้เหมือนกับกำลังโมโห

ลองนึกดูว่าเวลาเราโดนจับผิดมากๆ ในแต่ละวันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเครียดเป็นเรื่องธรรมดา

พอเครียดแล้วก็จะเกิดอาการเหม่อลอย หรือตาขวาง ทีนี้ก็จะมองคนรอบๆตัว ว่าด่าเรามั่งละ

แอบพูดเรื่องของเรา ก็ยิ่งจะเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผลร้ายก็คืออาจทำร้ายคนรอบข้างได้ ซึ่งก็จะเข้าทางของพวกมัน ( หลายๆครั้งผมเองก็เกือบทำร้ายคนรอบๆตัวเหมือนกัน)

วิธีรักษา

วิธีรักษา ในที่นี้จะว่าด้วยเรื่องการรักษาที่มาจาก   อัลกุรอ่าน และ ซุนนะฮฺ   เท่านั้น ก่อนอื่น เรามาดูเรื่องการอีหม่าน และการเชื่อมั่นในหัวใจของเราก่อน ว่าเรามีมากน้อยแค่ไหน

การพึ่งปฏิหารนั้น เป็นลักษณะของคนป่า เราต้องรู้จุดอ่อนของตัวของเราก่อนและขอการช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์    (อิดีนัสซิรอ)   การช่วยเหลือกับการอิบาดะนั้นคู่กัน แต่คนบางพวก อิบาดะ กับอัลเลาะ แต่ไปขอความช่วยเหลือกับอย่างอื่น

นี่คือจุดอ่อนของ มนุษย์  จึงทำให้อิบรีสได้หนทางในการที่จะทำให้ มุสลิม นั้นตั้งภาคี กับ อัลเลาะฮ์ เมื่อเรารักษา อัลเลาะฮ์  แล้ว  อัลเลาะฮ์    จะรักษาเรา   ท่านนบี (ซล) กล่าวว่า ถ้าเราต้องการจะขออะไรก็ให้ขอกับ อัลเลาะฮ์ แม้กระทั่งเชือกที่ผูกรองเท้าสัญชาติญาณของมนุษย์

ส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวในสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น(ยกเว้น กลัวอัลเลาะฮ์) ยิ่งพอบอกว่าเป็น  ญิน หรือ ผี มักจะกลัวทันที พอจิตใต้สำนึกของตัวเองรู้ว่าตัวเองโดนคุณไสย์ หรือ ญินเข้า แทนที่ จะหันมา อิบาดะฮ์ แล้วดุอา กับอัลเลาะฮ์เอง กลับหันหน้าเข้าไปพึ่งพาหมอ ไสยศาตร์ ไปหาทำอะไร สิทธิ ความเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากอัลเลาะฮฺเท่ากัน

จะเห็นได้ว่า อาการที่เกิดขึ้นข้างต้น จะสังเกต เห็นได้ว่า เป็น (อาม้าล  ของ อิบรีส ทั้งนั้นเลย)

มีคนไม่กี่คนหรอกบนโลกนี้ ที่เวลาเกิดความเครียดแล้ว ไปอาบน้ำละหมาด แล้วมาละหมาด ทั้งๆที่ทุกคนรู้ว่าต้องทำอย่างนั้น


เขียนโดย: 

อัพเดทล่าสุด