ความละอาย ธรรมชาติของมนุษย์


1,510 ผู้ชม

เด็กสิบขวบอยู่ชั้น ป.3 อาจมีความรู้ไม่มาก แต่ลองเขกหัวเด็กวัยนี้ดูแล้วถามว่า...


โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน


เด็กสิบขวบอยู่ชั้น ป.3 อาจมีความรู้ไม่มาก แต่ลองเขกหัวเด็กวัยนี้ดูแล้วถามว่าการโดนเขกหัวเป็นเรื่องดีไหม เด็กจะตอบทันทีว่าไม่ดี ในทางตรงข้าม ลองถามเด็กดูว่าการจูงคนตาบอดข้ามถนนเป็นสิ่งดีไหม เด็กวัยนี้ตอบได้ทันทีว่ามันเป็นความดี


ที่เป็นเช่นนี้เพราะความรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติหรือตัวตนของมนุษย์มาแล้วตั้งแต่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา


ความละอายก็เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์มาตั้งแต่เดิม จากเรื่องราวการสร้างมนุษย์ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอาน เราทราบว่าอาดัมและอีฟถูกสร้างมาโดยมีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่แล้ว แต่เมื่อทั้งสองละเมิดคำสั่งของพระเจ้าโดยเข้าใกล้ต้นไม้ที่พระองค์ทรงห้าม เสื้อผ้าของคนทั้งสองจึงหลุดออกจากร่างกาย ทั้งสองจึงดึงเอาใบไม้มาปิดอวัยวะที่พึงสงวนของตนทันทีเพราะความละอาย


ผิดกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาและให้ขนของมันเป็นเสื้อผ้าตามภูมิอากาศที่มันอาศัยอยู่ หมีและหมาในเขตร้อนจึงมีขนสั้นกว่าหมีและหมาในเขตหนาว แต่กระนั้น ทั้งหมีและหมาไม่ว่าจะอยู่ในเขตไหนจะไม่มีขนปิดอวัยวะเพศของมัน ทั้งนี้เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานความละอายให้แก่มัน


แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ การใส่เสื้อผ้าของมนุษย์มีวัตถุประสงค์มากกว่าสัตว์ เสื้อผ้าไม่เพียงแต่เป็นสิ่งป้องกันสภาพอากาศและเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีวัฒนธรรมหรือบ่งบอกถึงอารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงคุณสมบัติทางศีลธรรมของผู้สวมใส่เสื้อผ้าด้วย


หญิงไทยสมัยก่อนแต่งกายโดยไม่ใส่เสื้อผ้าปิดอก แต่เมื่อฝรั่งนำความเจริญเข้ามา จึงเริ่มมีการแต่งกายปิดอก เงาะป่าซาไกที่เคยนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว แต่เมื่อพบความเจริญ เงาะป่าจึงแต่งกายเหมือนคนในเมืองที่เจริญแล้ว
นบีมุฮัมมัดบอกให้เราได้รู้ว่าความละอายเป็นหนึ่งในคำสอนที่นบีทุกคนนำมา และยังบอกอีกว่าความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา ถ้าใครไม่มีความละอาย คนผู้นั้นก็สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง


เนื่องจากความละอายเป็นคุณธรรมทางศาสนา ด้วยเหตุนี้ ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นบุคลากรทางศาสนาแต่งกายด้วยเครื่องแบบที่แสดงออกถึงคุณธรรมอันดีงามและเป็นที่เคารพของผู้พบเห็น ขณะเดียวกันก็เป็นการปกป้องศีลธรรมของบุคคลอื่นด้วย


เครื่องแบบของแม่ชีในศาสนาคริสต์ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเลื่อมใสและให้ความเคารพ เป็นการปกป้องตนเองและปกป้องเพศตรงข้ามมิให้เกิดความรู้สึกทางเพศ
แม้แฟชั่นการแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ดีไซน์การแต่งกายหลักๆของบุคลากรทางศาสนาและผู้รักษาศีลธรรมยังคงเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ปกปิดร่างกายทุกส่วนมิดชิด ไม่เปิดเผยทรวดทรงให้เป็นที่เย้ายวนตาและกระตุ้นราคะของเพศตรงข้าม


การแต่งกายตามดีไซน์ของศาสนายังคงปฏิบัติเรื่อยมาใน คริสตจักร แต่หลังจากที่ชาติตะวันตกเริ่มฉีกตัวออกจากศาสนา วงการแฟชั่นได้พยายามพามนุษย์ย้อนไปสู่ยุคที่มนุษย์ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นและเรียกมันว่าความทันสมัย หรือไม่ก็ถือว่ามันเป็นเสรีภาพในการแต่งกาย


ประเทศมุสลิมหลายประเทศที่เลียนแบบตะวันตกหรือถูกชาติตะวันตกครอบงำในการพัฒนาประเทศเคยปล่อยให้ผู้หญิงมุสลิมในชาติของตนแต่งกายเลียนแบบตะวันตก แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและความหายนะของสังคม


เนื่องจากความละอายเป็นคุณธรรมตามธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ การฝืนคุณธรรมจึงเป็นการฝืนธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความอึดอัดในใจมนุษย์และความวุ่นวายภายนอก ความตื่นตัวในการที่จะกลับไปสู่การแต่งกายที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์จึงเกิดขึ้นในผู้หญิงมุสลิมทั่วโลก

อัพเดทล่าสุด