ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน


8,641 ผู้ชม

ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน ภาพฟ้องประจานเรื่องราวในอดีต และจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์...


ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน

ทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลสาบมรณะ หรือ ทะเลตาย มีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า “อัลบะห์รุ้ลมัยยิต” เป็นทะเลสาบที่มีน้ำเค็มเข้มข้นมากใหญ่ที่สุด

ทะเลสาบเดดซี ตั้งอยู่ในระหว่างเขตแดนของประเทศจอร์แดนและอิสราเอล ขนาดของทะเลมีความยาวสูงสุดประมาณ 80 กิโลเมตรกว้างสูงสุดประมาณ 18 กิโลเมตร คลอบคลุมพื้นที่ประมาณ หนึ่งพันตารางกิโลเมตร ส่วนความลึกสูงสุดประมาณ 400 เมตร สำหรับตอนเหนือตื้นประมาณเพียง 3 เมตรเท่านั้น และอยู่ต่ำกว่าน้ำทะเลปานกลางประมาณ 400 เมตร

ที่ให้ชื่อว่า ทะเลสาบมรณะหรือทะเลตายนั้น เพราะทะเลสาบนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปน้ำในทะเลนี้ระเหยขึ้นทำให้เกลือในทะเลสาบเดดซีตกค้างอยู่ในบริเวณเดิมน้ำในทะเลสาบเดดซีจึงมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลปกติถึง 8 เท่า จนทำให้ผู้ที่ลงไปสามารถลอยตัวอยู่ในน้ำทะเลมรณะนี้ได้ และด้วยเหตุที่น้ำมีความเค็มมากขนาดนี้ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จึงเรียก ทะเลสาบนี้ว่าทะเลสาบเดดซี มีความหมายว่า ทะเลสาบมรณะ

ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน

“นักประวัติศาสตร์เกือบจะทั้งหมดยืนยันว่า เกี่ยวข้องกับประชากรยุคก่อนแน่นอนเมื่อประมาณ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กล่าวคือ เป็นประชากรของเมืองสะดูมหรือโสโดมและเมืองอัมมูเราะห์หรือกอมอร์ราห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับทะเลเดดซี และบ้างก็ว่าเป็นสองเมืองที่จมอยู่ภายใต้ทะเลเดดซีนี่เอง

ซึ่งประชากรสองเมืองนี้เป็นประชากรในยุคท่านศาสดาลูฏ อะลัยฮิสสลาม ถูกพระเจ้า(อัลลอฮฺ) ลงโทษพลิกแผ่นดินทั้งสองเมืองให้จมอยู่ใต้พื้นดิน เพราะการกระทำการอันเป็นบาปใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก นั่นคือ “คือการร่วมการมย์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน” ซึ่งในยุคนี้แพร่หลายภายใต้ชื่อว่า “รักร่วมเพศ” นั่นเอง”

เหตุการณ์ใน ยุคนบีลูฏ อลัยฮิสลาม ในอิสลาม...

เรื่องราวประวัติของท่านศาสดาลูฏอะลัยฮิสสลามและประชากรของท่านที่อาศัยอยู่ที่เมืองสะดูมนั้น มีปรากฏในคัมภีร์จากฟ้าทั้งสามคัมภีร์คือ คัมภีร์เตารอต(โตราห์) คัมภีร์อินญีล(ใบเบิ้ล) และคัมภีร์อัลกุรอาน โดยเฉพาะในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีปรากฏอยู่ในหลายบท(ซูเราะห์) และหลายโองการ

ศาสดาลูฏอะลัยฮิสสลาม เป็นศาสดาในยุคเดียวกับท่านศาสดาอิบรอฮีมอะลัยฮิสสลาม และถือเป็นญาติใกล้ชิดกันด้วย กล่าวคือศาสดาลูฏมีศักดิ์เป็นหลานของท่านศาสดาอิบรอฮีม กล่าวคือ..

ลูฏเป็นบุตรของฮารอนซึ่งเป็นพี่น้องของศาสดาอิบรอฮีมอะลัยฮิสสลาม ทั้งสองอพยพจากเมืองบาบิโลนประเทศอิรัคไปยังประเทศอียิปต์ ทั้งสองพักอยู่ที่อียิปต์ช่วงเวลาหนึ่ง ก็เดินทางต่อไปยังประเทศปาเลสไตน์ ในระหว่างทางศาสดาลูฏขออนุญาตศาสดาอิบรอฮีมผู้เป็นลุงว่าตนเองจะเดินทางไปยังเมืองสะดูมในประเทศจอร์แดนปัจจุบัน เพราะอัลลอฺ(ซบ.) ทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ศาสดาเผยแผ่ศาสนาแก่ประชาชนในเมืองสะดูมนี้ ท่านศาสดาอิบรอฮีมก็อนุญาต ลูฏ จึงได้แยกทางออกไปยังเมืองสะดูมเพียงลำพัง เมื่อไปอยู่ที่เมืองสะดูมก็ได้สมรสกับหญิงชาวสะดูมคนหนึ่งชื่อ “วาฮิละห์”

ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน

ประชาชาติที่ถูกทำลาย...

“พฤติกรรมของชาวเมืองสะดูมเป็นที่ชั่วช้านัก ไม่ว่าเรื่องการประทุษร้ายร่างกายผู้อ่อนแอ ทรยศต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ละอายที่จะกระทำการอันเป็นบาป และที่สำคัญคือ ก่ออาชญากรรมทางเพศ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกัน โดยเฉพาะชายกับชายที่เรียกว่า “รักร่วมเพศ” ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนนับแต่สร้างโลก

ท่านศาสดาลูฏได้ตักเตือน ห้ามปรามและสั่งสอนให้เลิกพฤติกรรมอันชั่วช้านี้ โดยให้ยึดศาสนาของอัลลอฺ(ซบ.) ให้ยำเกรงพระองค์ และให้ละเลิกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน เพราะเป็นบาปที่อัลลอฮฺ(ซบ.) ทรงห้ามไว้ เพราะการคงอยู่ในบาปดังกล่าวนั้นจะนำมาซึ่งภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่

แต่คำสอนคำเตือนของศาสดาลูฏ ก็มิได้รับการตอบรับจากคนส่วนใหญ่ของเมืองนี้แม้แต่ผู้เป็นภรรยาของศาสดาลูฏเองก็หาได้เชื่อในคำสอนของศาสดาผู้เป็นสามีไม่ แต่ศาสดาลูฏก็มิได้ย่อท้อในการเผยแผ่ศาสนายังคงเชิญชวนให้ประชากรชาวสะดูมหันกลับมาสู่การสักการะอัลลอฮฺ (ซบ.) เพียงพระองค์เดียว แทนที่ชาวสะดูมจะยอมรับและเชื่อฟังกลับหันหลังให้คำสั่งสอนนั้นอีกทั้งยังเยาะเย้ยถากถางและท้าทายว่า

“หากเจ้า(ลูฏ) พูดจริงก็ให้พระเจ้าลงโทษพวกเราซิ”

รวมทั้งยังขับไล่ศาสดาลูฏให้ออกจากเมืองสะดูมด้วย เพราะพวกเขาถือว่า ลูฏมิใช่เป็นคนเมืองสะดูมแต่เดิมหากแต่เป็นเพียงคนต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ที่สะดูมเท่านั้น

เมื่อชาวสะดูม ไม่ยอมเชื่อและไม่ยอมรับในคำสั่งสอนของท่านศาสดาลูฏ พวกเขายังคงก่อบาปใหญ่ด้วยการมีรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและไม่กลัวเกรงสิ่งไดๆ อัลลอฮฺ(ซบ.) จึงทรงลงโทษชาวสะดูมด้วยการส่งมาลาอิกะห์ (เจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ) ลงมาในรูปของชายหนุ่มรูปงาม 3 ท่าน ทั้งสามได้ผ่านมายังศาสดาอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ซึ่งพำนักอยู่ ณ เมืองที่ไม่ไกลกันนัก

ศาสดาอิบรอฮีมคิดว่า เป็นมนุษย์ธรรมดา ท่านจึงต้อนรับขับสู้ในฐานะแขกผู้มาเยือนอย่างดี ด้วยการเชือดแพะแกะทำอาหารอย่างดีเลิศรับแขก แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับประทาน และแจ้งว่าพวกเขาเป็นใครพร้อมกับบอกข่าวดีแก่ศาสดาอิบรอฮีมว่าเขาจะมีบุตรที่เกิดจากพระนางสาเราะห์ ชื่อ “อิสหาก”

จากนั้นก็บอกแก่อิบรอฮีมว่า พวกตนได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังเมืองสะดูม เพื่อลงโทษคนในชุมชนนั้น ท่านศาสดาอิบรอฮีมแจ้งแก่ทั้งสามว่า ณ ที่เมืองนั้นมีศาสดาลูฏพักอยู่ด้วยนะ พวกเขาจึงบอกว่าพวกเราทราบและเขา(ลูฏ)และครอบครัวจะได้รับความปลอดภัยยกเว้นภรรยาของเขาที่ทรยศต่อคำสอนของเขา ซึ่งถือเป็นการทรยศต่ออัลลอฮฺ(ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า

ทะเลสาบเดดซี ในอิสลาม สมัยนบีลูฏ ข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน

มาลาอิกะห์ทั้งสามท่านได้เดินทางออกจากท่านศาสดาอิบรอฮีมมุ่งสู่เมืองสะดูม ครั้นถึงยังบ้านของท่านศาสดาลูฏในสภาพที่เป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อศาสดาลูฏได้พบเห็นก็ตกใจและกลัวว่าพวกสะดูมจะเห็นและทำมิดีมิร้ายกับชายรูปงามสามท่านนี้ ท่านจึงให้พวกเขาพักอยู่แต่ในบ้านห้ามออกนอกบ้าน โดยปิดไม่ให้ผู้ใดรู้เห็นว่ามีชายหนุ่มมาเป็นแขกของท่าน จะรู้ก็เฉพาะคนในครอบครัวของเขาเท่านั้น

หนึ่งในครอบครัวของศาสดาลูฏคือภรรยาของเขา ซึ่งภรรยาของเขาแอบหนีออกไปหาพวกสะดูมและแจ้งข่าวว่า มีหนุ่มรูปงามมาอยู่ที่บ้านของลูฏ ซึ่งฉันไม่เคยเห็นผู้ใดรูปงามเยี่ยงคนสามคนนี้เลย เมื่อชาวเมืองสะดูมทราบอย่างนั้นก็พากันมายังบ้านของศาสดาลูฏในทันที เมื่อมาถึงประตูบ้านของศาสดาลูฏก็ตะโกนเรียกร้องให้ศาสดาลูฏส่งตัวชายรูปงามทั้งสามออกมาให้พวกตน ท่านศาสดาลูฏ ได้ปกป้องแขกทั้งสามอย่างสุดกำลังไม่ยอมส่งตัวทั้งสามออกไปตามคำร้องขอ และกล่าวกับพวกเหล่านั้นว่า “พวกเขาเหล่านี้เป็นแขกของฉัน พวกท่านอย่าได้ทำให้ฉันอัปยศเลย ขอพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และโปรดอย่าทำให้ฉันต้องถึงกับอับอายขายหน้าเลย”  (68-69/15)

ขณะเดียวกันท่านก็ได้พูดจาโน้มน้าวให้พวกเหล่านั้นยอมอ่อนข้อไม่กระทำการอันน่าอัปยศคือ การนำเอาแขกทั้งสามไปปู้ยี้ปู้ยำทางเพศกับคนเพศเดียวกัน แต่พวกเหล่านั้นก็หาได้เชื่อฟังไม่ กลับต้องการจะพังประตูเข้าในบ้านของท่านศาสดาลูฏ

ระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น มาลาอิกะห์ทั้งสามท่านก็เปิดเผยตัวเองว่า พวกตนเป็นมาลาอิกะห์ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ส่งมาเพื่อลงโทษพวกเหล่านั้น พวกเขาจึงบอกกับท่านศาสดาลูฏว่า ท่านจงนำครอบครัวของท่านออกไปจากเมืองนี้เสีย เพราะในตอนรุ่งอรุณเช้านี้จะมีการลงโทษพวกที่ก่อความอัปยศในแผ่นดินนี้ และบอกว่าเมื่อท่านออกไปแล้วอย่าได้หันกลับมามองเมืองนี้เลย และแล้วท่านและครอบครัวก็เดินทางออกจากเมืองนี้ไป”

บทลงโทษสำหรับผู้ที่ดื้อดึงต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.)

เมื่อถึงยามรุ่งอรุณในเช้าวันนั้น “อัลลอฮฺก็ทรงทำลายพวกของศาสดลูฏ ซึ่งพระองค์ทรงสั่งให้พลิกคว่ำเมืองของพวกนั้นจากข้างบนเป็นข้างล่าง โดยให้ญิบรีลยกเอาเมืองสะดูมขึ้นยังฟ้าแล้วปล่อยหกคว่ำยังพื้นดิน แล้วพระองค์ก็ยังได้ประดังหินที่แผดร้อนลงมาอย่างต่อเนื่องทำลายเมืองสะดูม ซึ่งหินนั้นจะมีชื่อของผู้ถูกทำลายแต่ละคนถูกสลักไว้ด้วยในหินแต่ละก้อน โดยที่เมืองนั้นอยู่ไม่ไกลจากกาฟิรชาวมักกะห์ผู้คดโกงขณะเดินทางผ่านไปยังประเทศซาม” (ความจากอัลกุรอานบท ฮูด โองการที่ 82-83) ท่านศาสดาลูฏและบุตรสาวอีกสองคนก็ปลอดภัยจากการลงโทษของอัลลอฮฺ(ซบ.) ในที่สุด

“จากประวัติดังกล่าวจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การลงโทษของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นจริง และผู้ที่ได้รับการลงโทษคือผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซบ.) อันได้แก่ศาสนาของพระองค์ ดังนั้น กรณีพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงเป็นเหตุหนึ่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะลงโทษผู้ปฏิบัติ และหากผู้คนในสังคมไม่ตักเตือนกันและกันในเรื่องบาปกรรมนี้ ภัยพิบัติอาจประสบกับคนทุกคนในหมู่ชนนั้น เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเตือนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงพึงระวังภัยพิบัติเถิด เพราะภัยนั้นมิได้ประสบแก่ผู้ละเมิดศาสนาเท่านั้น หากแต่จะประสบแก่หมู่ชนทุกคนหากพวกเขาเมินเฉยต่อพฤติกรรมความชั่วโดยไม่มีการแนะนำตักเตือนห้ามปราม แท้จริงการลงโทษของอัลลอฮฺนั้นรุนแรงยิ่งนัก” (ความจากอัลกุรอานบทอัลอัมฟานโองการที่ 25) อ.ซารีฟ กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม “รักร่วมเพศ” ในปัจจุบันได้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็น ชายรักชาย หญิงรักหญิง และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ แต่คนในสังคมกลับให้การยอมรับ เมื่อมองไปทางไหนก็เจอจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีพระประสงค์และเป็นวิทยปัญญาข้อเตือนใจให้ชนรุ่นหลังไปตรึกตรอง

โดยทิ้งร่องรอยหลักฐานในอดีตของยุคนบีลูฏ นั่นก็คือสถานที่ที่ เรียกว่า อัลบะห์รุ้ลมัยยิต หรือ ทะเลเดดซี เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน และเป็นภาพฟ้องประจานเรื่องราวในอดีต และจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ก็น่าจะพอทำให้ทุกท่านทราบแล้วว่า บั้นปลายของผู้ที่ดื้อดึงต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะเป็นอย่างไร?

อัพเดทล่าสุด