ชีวประวัติ นบีอิสมาเเอล อะลัยฮิสสลาม บุตรชายของนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม


2,015 ผู้ชม

วันหนึ่ง อิบรอฮีมได้ตื่นขึ้นมาและบอกนางฮาญัรฺภรรยาของเขาให้เตรียมตัวพร้อมที่จะนำลูกออกเดินทางไกล


วันหนึ่ง อิบรอฮีมได้ตื่นขึ้นมาและบอกนางฮาญัรฺภรรยาของเขาให้เตรียมตัวพร้อมที่จะนำลูกออกเดินทางไกล หลังจากนั้นสองสามวัน อิบรอฮีมกับนางฮาญัรฺพร้อมอิสมาอีลลูกน้อยที่ยังไม่อดนมก็เริ่มออกเดินทาง

อิบรอฮีมได้เดินทางผ่านดินแดนที่เป็นถิ่นเพาะปลูก ทะเลทรายและภูเขาจนกระทั่งมาถึงทะเลทรายแห่งคาบสมุทรอารเบียและได้มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่ปราศจากต้นไม้ ผลไม้ อาหารและน้ำ หุบเขาแห่งนี้ไม่มีสัญญาญแห่งชีวิตให้เห็น หลังจากอิบรอฮีมได้ช่วยภรรยาและลูกลงจากเนินเขาแล้ว เขาก็ทิ้งอาหาร
และน้ำที่แทบจะไม่พอสำหรับประทังชีวิตได้สองวันไว้ให้แก่ภรรยาและลูก หลังจากนั้นก็หันหลังให้และเดินจากไป นางฮาญัรฺจึงรีบวิ่งตามเขาไปพร้อมกับถามว่า “อิบรอฮีม ท่านจะไปไหนท่านจะทิ้งเราไว้ในหุบเขาที่กันดารนี้หรือ ?”

อิบรอฮีมไม่ตอบนาง แต่ยังคงเดินต่อไป นางจึงร้องถามแล้วถามอีก แต่อิบรอฮีมก็ยังนิ่งเงียบ ในที่สุด นางก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้คิดที่จะทำสิ่งนี้ด้วยตัวของเขาเองนางตระหนักดีว่าอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงบัญชาเขาให้ทำเช่นนั้น นางได้ถามเขาว่า “อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาท่านให้ทำเช่นนี้ใช่ไหม ?” อิบรอฮีมตอบว่า “ใช่” ดังนั้น นางฮาญัรฺจึงได้ตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะไม่สูญเสียอะไร เนื่องจากอัลลอฮฺผู้ทรงบัญชาท่านทรงอยู่กับเรา”

อิบรอฮีมได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ว่า : “ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันได้ตั้งรกรากถิ่นฐานให้ลูกหลานของฉันบางคนในหุบเขาอันกันดารใกล้บ้านอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ (ก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่นครมักก๊ะฮฺ) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ฉันทำสิ่งนี้ก็ด้วยหวังว่าพวกเขาจะได้ดำรงละหมาดที่นั่น ดังนั้น โปรดหันหัวใจของผู้คนไปยังพวกเขาด้วยเถิด และโปรดประทานผลไม้เป็นอาหารแก่พวกเขาด้วยเถิดเพื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้กตัญญู ข้าแก่พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่เราซ่อนเร้นและเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดินนี้จะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้” (กุรอาน 14:37-38)

อิบนุอับบาสได้เล่าว่า“ผู้หญิงคนแรกที่ใช้สายหนังรัดเอวก็คือแม่ของอิสมาอีล นางใช้มันเพื่อที่จะซ่อนร่องรอยของนางจากซาเราะฮฺ อิบรอฮีมได้นำนางและอิสมาอีลไปยังสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺใต้ต้นไม้ตรงจุดที่เป็นบ่อน้ำซัมซัมซึ่งเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในมัสยิด ในตอนนั้น มักก๊ะฮฺยังไม่มีผู้คนและไม่มีน้ำ ดังนั้น อิบรอฮีมจึงให้ภรรยาและลูกนั่งอยู่ที่นั่นและได้วางถุงหนังใส่อินทผลัมถุงหนึ่งกับถุงใส่น้ำเล็กๆอีกถุงหนึ่งและเดินกลับบ้าน แม่ของอิสมาอีลได้เดินตามเขาไปและกล่าวว่า “อิบรอฮีมท่านจะไปไหน ท่านจะทิ้งเราไว้ที่หุบเขาที่ไม่มีผู้คนที่เราจะอยู่ด้วยไม่มีอะไรเลยกระนั้นหรือ ?” นางได้ถามทบทวนอยู่เช่นนี้หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้หันไปหานาง ดังนั้น นางจึงถามเขาว่า “อัลลอฮฺได้บัญชาให้ท่านทำเช่นนี้ใช่ไหม ?” เขากล่าวว่า “ใช่” นางจึงได้กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น อัลลอฮฺไม่ทรงทิ้งเรา” กล่าวจบ นางก็หันกลับทันทีโดยที่อิบรอฮีมก็เดินหน้าต่อไป เมื่อมาถึงบริเวณที่เรียกว่าซานียะฮฺซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็นเขาแล้วอิบรอฮีมก็หันหน้ามายังทิศทางก๊ะอฺบ๊ะฮฺและยกมือทั้งสองขึ้นพร้อมกับวิงวอนว่า : “ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันได้ตั้งรกรากและถิ่นฐานให้ลูกหลานของฉันบางคนในหุบเขาอันกันดารใกล้บ้านอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ (ก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่นครมักก๊ะฮฺ) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ฉันทำสิ่งนี้ก็ด้วยหวังว่าพวกเขาจะได้ดำรงละหมาดที่นั่น ดังนั้น โปรดหันหัวใจของผู้คนไปยังพวกเขาด้วยเถิด และโปรดประทานผลไม้เป็นอาหารแก่พวกเขาด้วยเถิดเพื่อเขาจะได้เป็นผู้กตัญญู” (กุรอาน 14:37)

คำบอกเล่าของอิบนุอับบาสได้กล่าวต่อไปว่า : “แม่ของอิสมาอีลยังคงให้นมลูกน้อยของนางต่อไปและนางได้ดื่มน้ำที่นางมีอยู่ เมื่อน้ำในถุงหนังหมด ทั้งนางและลูกของนางก็เริ่มกระหายน้ำ นางจึงได้มองไปที่อิสมาอีลลูกน้อยของนางด้วยความกังวล หลังจากนั้น นางก็จากลูกน้อยของนางไปเพราะนางไม่อาจทนดูลูกของนางได้นางได้พบว่าภูเขาอัศเศาะฟาเป็นภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด นางได้ไปยืนอยู่ที่นั่นและสอดสายตามองไปยังหุบเขาอย่างใจจดใจจ่อเผื่อว่าจะเห็นใครบางคน แต่นางก็ไม่เห็นใคร ดังนั้น นางจึงได้ลงมาจากหุบเขา นางก็ได้รวบเสื้อคลุมของนางและวิ่งไปในหุบเขาเหมือนคนสิ้นหวังและว้าวุ่น จนกระทั่งนางได้ผ่านหุบเขาไปถึงภูเขาอัลมัรวะฮฺ นางได้ขึ้นไปบนภูเขาและเริ่มสอดส่ายสายตาโดยหวังว่าจะเห็นใครบางคน แต่นางก็ไม่เห็นใคร นางได้วิ่งไปวิ่งมาระหว่างภูเขาเตี้ยๆ ทั้งสองนี้ถึง 7 เที่ยวด้วยกัน”

ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : “นี่คือที่มาของการปฏิบัติพิธีที่เรียกว่า “สะอีย์” หรือการเดินทางของผู้คนระหว่างเนินเขาเศาะฟา และมัรวะฮฺระหว่างพิธีทำฮัจญ์ เมื่อนางได้มาถึงหุบเขามัรวะฮฺ (เป็นครั้งสุดท้าย) นางได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่ง นางจึงนิ่งเงียบและนิ่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ นางได้ยินเสียงนั้นอีกและได้กล่าวกับตัวเองว่า ‘โอ (ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตาม) ท่านได้ทำให้ฉันได้ยินเสียงของท่าน ท่านมีอะไรที่จะช่วยฉันหรือ ?’ และนางได้เห็นมลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่งตรงบริเวณบ่อน้ำซัมซัมกำลังขุดทรายด้วยส้นเท้า (บางรายงานกล่าวว่าด้วยปีก) จนกระทั่งน้ำไหลออกมาจากที่ตรงนั้น นางจึงได้เริ่มทำอะไรบางอย่างที่เหมือนกับภาชนะรอบมันและใช้มือกอบน้ำใส่ถุงหนังไว้และน้ำยังคงไหลออกมาหลังจากที่นางได้ตักมันไว้บ้างแล้ว”
ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวต่อว่า : “ขออัลลอฮฺได้ประทานความเมตตาแก่แม่ของอิสมาอีล ถ้าหากนางปล่อยให้ซัมซัม (ไหลออกมาโดยไม่พยายามควบคุมมันไว้หรือนางไม่ตักเอาน้ำมาใส่ถุงหนังของนาง) ซัมซัมก็อาจจะไหลออกมาท่วมบนผืนดิน”

ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวต่ออีกว่า : “หลังจากนั้น นางได้ดื่มน้ำและให้นมลูกของนางมลาอิก๊ะฮฺได้กล่าวแก่นางว่า ‘ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งเพราะนี่คือบ้านของอัลลอฮฺซึ่งจะถูกสร้างจากเด็กคนนี้และพ่อของเขา และอัลลอฮฺไม่เคยทิ้งคนของพระองค์’ก๊ะอฺบ๊ะฮฺในตอนนั้นอยู่บนเนินสูงแห่งหนึ่งคล้ายกับเนินเขา แต่ต่อมาก็ถูกกระแสน้ำพัดเกลี่ยทรายออกไปจนกลายเป็นที่ราบ”

“นางได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งได้มีคนจากเผ่าญุรฮุมหรือครอบครัวจากญุรฮุมผ่านมาเห็นนางและลูกขณะที่พวกเขาผ่านมาทางกาดะอ์ คนพวกนี้มาถึงตอนล่างของมักก๊ะฮฺและเห็นนกตัวหนึ่งซึ่งนิสัยชอบบินวนรอบน้ำและจะไม่ไปไหน ดังนั้น คนพวกนี้จึงได้กล่าวว่า ‘นกตัวนี้จะต้องบินรอบน้ำถึงแม้เราจะรู้ว่าไม่มีน้ำในหุบเขาแห่งนี้’ หลังจากนั้น พวกเขาก็ส่งคนมาค้นหาแหล่งน้ำ เมื่อรู้ว่ามีน้ำอยู่ คนพวกนี้ทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำ ในตอนนั้น แม่ของอิสมาอีลกำลังนั่งอยู่ใกล้น้ำ คนพวกนั้นจึงได้ถามนางว่า “นางจะให้เราอยู่ด้วยได้ไหม ?” นางได้ตอบว่า “ได้ แต่พวกท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของน้ำนะ” พวกเขาเหล่านั้นก็ตกลง แม่อิสมาอีลดีใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะนางชอบที่จะอยู่ร่วมกับผู้คน ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่น และต่อมาก็ได้ไปนำครอบครัวของตนมาจนบางครอบครัวได้กลายเป็นคนกลุ่มใหญ่อยู่ที่นั่น อิสมาอีลได้เติบโตขึ้นมาและได้เรียนภาษาอาหรับจากคนเหล่านี้และด้วยคุณธรรมความดีของอิสมาอีลทำให้ผู้คนรักและยกย่องเขาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาย่างเข้าสู่วัยหนุ่มผู้คนก็ได้จัดการให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงในหมู่พวกเขา”

ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวต่อไปว่า : “หลังจากแม่ของอิสมาอีลได้เสียชีวิตไปและหลังที่อิสมาอีลแต่งงานแล้ว อิบรอฮีมได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะเยี่ยมครอบครัวของเขาที่เขาได้ทิ้งไว้ แต่เขาก็ไม่พบอิสมาอีลที่นั่น เมื่อเขาถามภรรยาของอิสมาอีล นางได้ตอบว่า ‘เขาออกไปทำมาหากิน’ ดังนั้น อิบรอฮีมจึงได้ถามถึงเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเขา นางจึงได้บ่นว่า ‘เรามีชีวิตอัตคัดขัดสน’ อิบรอฮีมได้กล่าวว่า ‘เมื่อสามีของนางกลับมา จงฝากคำทักทายของฉันถึงเขาด้วยและบอกให้เปลี่ยนธรณีประตูบ้านของเขาเสียใหม่’

เมื่ออิสมาอีลกลับมา เขารู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น เขาจึงได้ถามภรรยาของเขาว่า ‘มีใครมาเยี่ยมบ้านเราหรือเปล่า ?’ นางได้ตอบว่า ‘ มีคนแก่รูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ได้มาหาและเขาได้ถามถึงสภาพความเป็นอยู่ของเราและฉันก็ได้บอกว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากจน’ เมื่อได้ยินเช่นนั้น อิสมาอีลจึงได้กล่าวว่า ‘เขาแนะนำอะไรเธอบ้างไหม ?’ เธอตอบว่า ‘ใช่เขาบอกฉันให้ฝากคำทักทายถึงท่านและให้บอกท่านเปลี่ยนธรณีประตูบ้านใหม่’ อิสมาอีลจึงกล่าว่า ‘นั่นแหละพ่อฉันเอง และเขาได้สั่งฉันให้หย่าเธอ เธอกลับไปหาครอบครัวของเธอได้แล้ว’ ดังนั้น อิสมาอีลจึงได้หย่าเธอและแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่จากคนในเผ่าของผู้หญิงคนนั้น (กล่าวคือในเผ่าญุรฮุม)

หลังจากนั้น อิบรอฮีมก็อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และต่อมาก็ได้กลับมาเยี่ยมพวกเขาอีก แต่ไม่พบอิสมาอีล ดังนั้น เขาจึงได้ไปหาภรรยาของอิสมาอีลและถามนางเกี่ยวกับอิสมาอีล นางได้กล่าวว่า ‘เขาออกไปทำมาหากิน’ อิบรอฮีมจึงได้ถามนางว่า เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?’ ทั้งนี้เพื่อต้องการจะทราบเกี่ยวกับการเป็นอยู่ของพวกเขา นางได้ตอบว่า ‘เรากินดีอยู่ดี’ (กล่าวคือมีทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์) หลังจากนั้น นางก็ขอบคุณอัลลอฮฺ อิบรอฮีมได้กล่าวว่า ‘นางกินอาหารประเภทไหน ?’ นางได้ตอบว่า ‘เนื้อ’ อิบรอฮีมจึงถามต่อว่า ‘แล้วนางดื่มอะไร ?’ นางตอบว่า ‘น้ำ’ อิบรอฮีมจึงได้กล่าวว่า ‘โอ้ อัลลอฮฺ โปรดประทานความจำเริญให้แก่เนื้อและน้ำด้วยเถิด’”

ท่านนบีมุฮัมมัดยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า : “ในตอนนั้น พวกเขาไม่มีข้าว และถ้าหากพวกเขามี อิบรอฮีมน่าจะวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ประทานความจำเริญแก่ข้าวด้วยถ้าใครมีแต่เพียงสองสิ่งนี้เป็นปัจจัยยังชีพของเขา สุภาพและจิตใจของเขาก็จะได้รับผลในทางที่ไม่ดีเว้นเสียแต่ว่าเขาจะอยู่ในมักก๊ะฮฺ”

ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า : “ดังนั้น อิบรอฮีมจึงได้กล่าวแก่ภรรยาของอิสมาอีลว่า ‘เมื่อสามีของนางมา จงบอกกล่าวคำทักทายของฉันถึงเขาด้วยและบอกเขาให้รักษาทางเข้าประตูของเขาไว้’ เมื่ออิสมาอีลกลับมา เขาได้ถามภรรยาของเขาว่า ‘มีใครมาเยี่ยมเธอหรือ ?’ นางได้ตอบว่า ‘ใช่ คนมีอายุรูปร่างหน้าตาดีได้มาหาฉัน’ และนางได้กล่าวชมเขาพร้อมกับเล่าว่า ‘เขาได้ถามฉันถึงท่านและฉันก็ได้บอกเขาไป เขาถามเรื่องความเป็นอยู่ของเราและฉันได้บอกเขาไปว่าเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี’อิสมาอีลได้ถามนางว่า ‘เขาบอกฉัน ให้กล่าวคำทักทายถึงท่านและสั่งให้ท่านรักษาทางเข้าบ้านไว้’ เมื่อได้ยินเช่นนั้น อิสมาอีลได้กล่าวตอบว่า ‘นั่นแหละพ่อฉัน และเธอคือธรณีประตู เขาได้สั่งฉันให้ดูแลรักษาเธอไว้กับฉัน’

“หลังจากนั้น อิบรอฮีมก็อยู่ห่างจากพวกเขาสักระยะหนึ่งเท่าที่อัลลอฮฺทรงประสงค์และต่อมาก็กลับมาเยี่ยมพวกเขาอีก ครั้งนี้เขาได้เห็นอิสมาอีลอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ซัมซัมและกำลังเหลาลูกธนูอยู่ เมื่ออิสมาอีลเห็นพ่อ เขาลุกขึ้นมาต้อนรับและทักทายกันด้วยความสนิทสนมเยี่ยงพ่อลูกกัน อิบรอฮีมได้กล่าวว่า ‘อิสมาอีล อัลลอฮฺได้ออกคำสั่งกับพ่ออย่างหนึ่ง’ อิสมาอีลจึงได้กล่าวว่า ‘ทำตามที่พระเจ้าของพ่อสั่งเถิด’ อิบรอฮีมจึงถามว่า ‘เจ้าจะช่วยพ่อไหมล่ะ ?’ อิสมาอีลตอบ ‘ฉันจะช่วยพ่อ’ อิบรอฮีมกล่าวว่า ‘อัลลอฮฺได้สั่งให้พ่อสร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งที่นี่’ แล้วก็ชี้ไปยังเนินทรายที่สูงกว่าที่ดินที่อยู่รอบๆ

“หลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้ช่วยกันวางรากฐานของบ้าน (กล่าวคือก๊ะอฺบ๊ะฮฺ) โดยอิสมาอีลได้ไปนำเอาหินมาในขณะที่อิบรอฮีมเป็นคนนำหินไปสร้างบ้าน เมื่อกำแพงเนินสูงขึ้น อิบรอฮีมได้ขึ้นไปยืนบนกำแพงโดยอิสมาอีลได้ส่งหินให้พ่อเพื่อทำการสร้างต่อไป ในขณะที่อิสมาอีลส่งก้อนหินให้พ่อ ทั้งสองได้กล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา โปรดรับการงานจากเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” (กุรอาน 2:127)

อิบนุอับบาสได้เล่าแตกต่างไปจากนี้เล็กน้อยว่า “เมื่ออิบรอฮีมมีความขัดแย้งกับภรรยาของเขา (เพราะความอิจฉานางฮาญัรฺแม่ของอิสรออีล) เขาได้นำอิสมาอีลและนางฮาญัรฺออกจากบ้านไปโดยมีถุงหนังที่มีน้ำติดไปเพียงเล็กน้อย นางฮาญัรฺจะดื่มน้ำจากถุงหนังเพื่อนางจะได้มีน้ำนมเพิ่มขึ้นสำหรับทารก เมื่ออิบรอฮีมได้มาถึงมักก๊ะฮฺ เขาได้ให้นางนั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและกลับบ้านทันที แม่อิสมาอีลได้วิ่งตามเขาและเมื่อมาถึงกาดะอ์ นางได้เรียกเขาจากด้านหลังและกล่าวว่า ‘อิบรอฮีม ท่านจะทิ้งไว้กับใคร ?’ เขาตอบว่า ‘(ฉันทิ้งไว้)กับอัลลอฮฺ’ นางได้กล่าวว่า ‘ฉันพอใจที่จะอยู่กับอัลลอฮฺ’ หลังจากนั้น นางก็หันกลับไปยังสถานที่ของนางและเริ่มดื่มน้ำจากถุงหนังซึ่งทำให้น้ำนมของนางเพิ่มขึ้นสำหรับลูกของนาง

เมื่อน้ำหมด นางได้กล่าวกับตัวเองว่า : ‘ออกไปดูซิ เผื่อจะเห็นใครบางคน’ นางได้ลงมาจากเนินเขาอัศเศาะฟาและมองไปรอบๆโดยหวังว่าจะเห็นใครบางคน แต่ก็ไม่เห็น เมื่อนางได้ลงมายังหุบเขา นางได้วิ่งไปจนกระทั่งถึงภูเขาอัลมัรฺวะฮฺ นางได้วิ่งไปวิ่งมา (ระหว่างภูเขาสองลูกนี้)หลายครั้ง หลังจากนั้น นางก็ได้กล่าวกับตัวเองว่า ‘ไปดูซิลูกเป็นอย่างไร’ เมื่อนางได้ไปเห็นลูกอยู่ในสภาพกำลังจะตาย นางไม่สามารถทนเฝ้าดูลูกตัวเองอยู่ในสภาพนั้นได้ นางจึงได้กล่าวกับตัวเองว่า ‘ถ้าฉันไปดู ฉันอาจจะพบใครบางคนก็ได้’ หลังนั้น นางก็วิ่งขึ้นไปบนภูเขาอัศเศาะฟาและมองหาผู้คนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่พบใคร นางได้วิ่งไปวิ่งมาระหว่างเนินเขาอัศเศาะฟาและอัลมัรฺวะฮฺถึง 7 เที่ยว นางได้กล่าวกับตัวเองว่า ‘น่าจะกลับไปดูลูกว่าเป็นอย่างไรบ้างดีกว่า’ ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงหนึ่งและนางได้กล่าวกับเสียงประหลาดนั้นว่า ‘กรุณาช่วยเราด้วยเถิดถ้าท่านสามารถให้ความช่วยเหลือเราได้’ เสียงนั้นเป็นเสียงของญิบรีลนั่นเอง ญิบรีลได้ใช้ส้นเท้ากระทืบลงไปบนแผ่นดินอย่างนี้ (อิบนุอับบาสใช้ส้นเท้าของตนเองกระทืบลงไปเพื่อแสดงให้เห็น) และหลังจากนั้นก็มีน้ำพุ่งออกมา แม่ของอิสมาอีลประหลาดใจมากและเริ่มขุดหลุม”

อบูอัลกอซิม (กล่าวคือท่านนบีมุฮัมมัด) ได้กล่าวว่า “ถ้าน้ำปล่อยน้ำ (ให้ไหลตามธรรมชาติโดยไม่เข้าไปแทรกแซง) มันก็จะไหลไปบนพื้นผิวโลก”

อิบนุบาสได้เล่าต่อไปว่า “แม่ของอิสมาอีลได้ดื่มน้ำนั้นและน้ำนมของนางก็มีมากขึ้นสำหรับลูกของนาง หลังจากนั้น ได้มีคนจากเผ่าญุรฮุมเห็นนกบางตัวในขณะที่เดินทางผ่านมาทางกลางหุบเขาและรู้แปลกใจ พวกเขาจึงกล่าวว่า‘นกจะอยู่ก็แต่ในที่ที่มีน้ำเท่านั้น’ หลังจากนั้น พวกเขาก็ส่งคนไปค้นหาน้ำ เมื่อพบว่ามีน้ำ พวกเขาทั้งหมดก็ไปหานางและได้กล่าวว่า ‘โอ้แม่ของอิสมาอีล นางจะให้เราอยู่กับนาง (หรือตั้งถิ่นฐานอยู่กับนาง) ได้ไหม ?’ (ดังนั้น พวกเขาจึงได้อยู่ที่นั่น)

ต่อมาลูกชายของนางก็เข้าสู่วัยหนุ่มและได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งจากพวกเขา หลังจากนั้น อิบรอฮีมก็มีความคิดเกิดขึ้นซึ่งเขาได้เปิดเผยให้นางซาเราะฮฺภรรยาของเขาได้รู้ ‘ฉันต้องการที่จะไปเยี่ยมครอบครัวของฉันที่ฉันทิ้งไว้ที่มักก๊ะฮฺ’ เมื่อไปยังที่นั่น เขาได้ทักทายภรรยาของอิสมาอีลและถามว่า ‘อิสมาอีลอยู่ไหน ?’นางได้ตอบว่า ‘เขาไปล่าสัตว์’ อิบรอฮีมจึงได้กล่าวกับนางว่า‘เมื่อเขากลับมาบอกเขาให้เปลี่ยนธรณีประตูใหม่’ เมื่ออิสมาอีลกลับมา นางได้บอกเขาตามที่ได้ถูกบอกมา ดังนั้น อิสมาอีลจึงบอกนางว่า ‘เธอคือธรณีประตู ดังนั้น จงกลับไปยังครอบครัวของเธอ (นั่นคือ เธอถูกหย่าแล้ว)’

หลังจากนั้น อิบรอฮีมก็คิดถึงการกลับมาเยี่ยมครอบครัวของเขาซึ่งเขาทิ้งไว้ที่มักก๊ะฮฺอีกและเขาได้บอกนางซาเราะฮฺถึงเจตนารมณ์ของเขา อิบรอฮีมได้ไปยังบ้านของอิสมาอีลและได้ถามว่า ‘อิสมาอีลอยู่ที่ไหน ?’ ภรรยาของอิสมาอีลตอบว่า ‘เขาไปล่าสัตว์’ และกล่าวว่า ‘ท่านอยู่กับเราสักพักและกินหรือดื่มอะไรก่อนไหม ?’ อิบรอฮีมได้ถามว่า ‘เธอกินและดื่มอะไร ?’นางได้ตอบว่า ‘อาหารของเราก็คือเนื้อและน้ำ’ เขาจึงได้กล่าวว่า ‘โอ้ อัลลอฮฺ โปรดประทานความจำเริญแก่อาหารและเครื่องดื่มของพวกเขาด้วยเถิด’”

อบูอัลกอซิม กล่าวคือท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า“เพราะคำวิงวอนของอิบรอฮีมจึงมีความจำเริญมากมายหลายอย่าง (ในมักก๊ะฮฺ)”

อิบนุอับบาสได้กล่าวต่อไปว่า “อีกครั้งหนึ่งที่อิบรอฮีมคิดจะมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่เขาได้ทิ้งไว้ในมักก๊ะฮฺ ดังนั้น เขาจึงได้บอกนางซาเราะฮฺถึงการตัดสินใจของเขา หลังจากนั้น เขาก็ได้ออกเดินทางและไปพบอิสมาอีลอยู่ข้างหลังบ่อน้ำซัมซัมกำลังดัดลูกธนูอยู่ เขาได้กล่าวว่า ‘อิสมาอีล พระเจ้าของเจ้าได้สั่งพ่อให้สร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่งเพื่อพระองค์’ อิสมาอีลได้กล่าวว่า‘จงเชื่อพระเจ้าของพ่อเถิด’ อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า ‘อัลลอฮฺยังได้ทรงสั่งพ่ออีกว่าเจ้าจะต้องช่วยพ่อทำงานนี้ด้วย’ อิสมาอีลได้กล่าวว่า ‘ถ้าเช่นนั้นฉันจะช่วย’ ดังนั้น ทั้งสองจึงลุกขึ้นและอิบรอฮีมได้เริ่มสร้างก๊ะอฺบ๊ะฮฺในขณะที่อิสมาอีลออกไปหาหินมาให้และทั้งสองคนได้กล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา โปรดรับการงานจากเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้รอบรู้” (กุรอาน 2:127)

เมื่ออาคารสูงขึ้นและคนแก่อย่างอิบรอฮีมไม่สามารถยกก้อนหินขึ้นไปยังที่ขึ้นได้ เขาได้ยืนอยู่บนก้อนหินแห่งอัลมะกอมโดยอิสมาอีลยังส่งหินให้และทั้งสองได้กล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา โปรดรับการงานจากเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้”

อัลลอฮฺได้ทรงบอกเราให้รู้สึกความรักที่อิบรอฮีมมีต่อลูกชายของเขาว่า “และเขาได้กล่าวว่า (หลังจากที่รอดพ้นจากไฟ) ว่า ‘ฉันจะไปหาพระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์จะทรงนำทางฉัน โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดประทานบุตรที่จะเป็นคนดีแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด’ ดังนั้น เราได้แจ้งข่าวดีแก่เขาถึงเรื่องลูกชายที่มีความขันติคนหนึ่ง และเมื่อลูกของเขาเติบโตขึ้นถึงวัยที่จะทำงานกับเขา เขาได้กล่าวแก่ลูกชายว่า ‘ลูกรัก พ่อได้ฝันเห็นว่าพ่อกำลังเชือดเจ้า บอกพ่อหน่อยซิว่าเจ้าคิดอย่างไร ?’เขากล่าวว่า ‘พ่อครับ พ่อจงทำตามที่ได้ถูกบัญชาเถิดหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว พ่อจะพบว่าฉันเป็นหนึ่งในบรรดาผู้อดทน’ดังนั้น เมื่อทั้งสองยอมจำนน (ต่อพระประสงค์ของพระองค์) แล้ว อิบรอฮีมก็ได้ให้ลูกชายของเขานั่งก้มหัวลงกับพื้น และเราได้เรียกเขา ‘อิบรอฮีมเจ้าได้ปฏิบัติตามความฝันแล้ว เช่นนั้นแหละที่เราได้ตอบแทนบรรดา ผู้ทำความดี แท้จริงแล้ว นี่คือการทดสอบอันชัดเจน’ และเราได้ไถ่ลูกชายของเขาสำหรับการพลีอันยิ่งใหญ่ และเราได้ทิ้ง (การรำลึกที่ดี)ไว้สำหรับเขาในหมู่ชนรุ่นหลัง ศานติแก่อิบรอฮีม เช่นนั้นแหละที่เราตอบแทนบรรดาผู้ทำความดี แท้จริง เขาเป็นบ่าวผู้ศรัทธาของเราคนหนึ่ง’ ” (กุรอาน 37:99-111)

เมื่อเวลาผ่านไป วันหนึ่ง อิบรอฮีมนั่งอยู่นอกกระโจมที่พักของเขา นึกถึงอิสมาอีลลูกชายของเขาและการพลีถวายครั้งเพื่ออัลลอฮฺ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความรักอัลลอฮฺอันเนื่องมาจากความโปรดปรานอันสุดคณานับของพระองค์ น้ำตาไหลพรากออกมาจากตาของเขาและยิ่งทำให้เขานึกถึงอิสมาอีล

ในขณะเดียวกัน มลาอิก๊ะฮฺสามองค์ก็ลงมายังโลก นั่นคือ ญิบรีล อิสรอฟิลและมิกาอีล มลาอิก๊ะฮฺเหล่านี้ได้ปรากฏตัวในรูปของมนุษย์และทักทายอิบรอฮีม อิบรอฮีมได้ลุกขึ้นและต้อนรับมลาอิก๊ะฮฺเหล่านั้นและพาเข้าไปในกระโจมที่พักโดยคิดว่าว่ามลาอิก๊ะฮฺเหล่านั้นเป็นคนแปลกหน้าและเป็นแขกของเขา เขาได้เชิญให้ผู้มาเยือนเหล่านั้นและดูแลให้แน่ใจว่าแขกของเขาได้รับความสะดวกสบาย หลังจากนั้น เขาก็ขอตัวไปหาคนในครอบครัวของเขา

ซาเราะฮฺภรรยาของเขาได้ลุกขึ้นเมื่อเขาได้เข้ามา ตอนนั้นนางแก่จนผมเป็นสีขาวแล้ว อิบรอฮีมได้บอกกับนางว่า “เรามีผู้แปลกหน้าสามคนในบ้าน” นางจึงถามว่า “พวกเขาเป็นใคร ?” เขาได้ตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้จักพวกเขาเหมือนกัน” และเขาได้ถามนางว่า “เรามีอาหารอะไรบ้าง ?” นางจึงตอบว่า “แกะครึ่งตัว” เขาจึงกล่าวว่า “ครึ่งตัวเองหรือ ถ้าอย่างนั้น เชือดลูกวัวอ้วนหนึ่งตัวให้พวกเขา พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าและเป็นแขก”

หลังจากนั้น คนรับใช้ได้ย่างเนื้อและนำมาให้ อิบรอฮีมจึงเชื้อเชิญมลาอิก๊ะฮฺให้กินอาหารและเขาได้เริ่มกินก่อนเพื่อที่จะให้ผู้มาเยือนกินตาม แต่เมื่อเขาชำเลืองมองแขกเพื่อให้แน่ใจว่าแขกกินอาหาร เขาก็สังเกตว่าไม่มีแขกคนใดแตะต้องอาหารเลย เขาจึงได้พูดกับแขกว่า “พวกท่านไม่กินสักหน่อยหรือ ?” แล้วเขาก็กลับไปกินต่อ แต่เมื่อเขามองไปที่แขกของเขาก็ยังไม่กินอาหารไม่มีใครเอื้อมมือออกมาแตะต้องด้วยซ้ำ เขาจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา

แต่อย่างไรก็ตาม บรรดามลาอิก๊ะฮฺก็รู้ถึงความคิดภายในของเขาและมลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่งกล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย” อิบรอฮีมเงยหน้าของเขาขึ้นและตอบว่า “ความจริงแล้ว ฉันกลัว ฉันขอให้พวกท่านกินอาหาร แต่พวกท่านไม่ยื่นมือออกมาแตะอาหารเลย พวกท่านมีเจตนาร้ายต่อฉันหรือเปล่า ?”

หนึ่งในบรรดามลาอิก๊ะฮฺจึงยิ้มและกล่าวว่า “เราไม่กิน เราเป็นมลาอิก๊ะฮฺของอัลลอฮฺ” หลังจากนั้น มลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่งก็หันไปยังภรรยาของเขาและแจ้งข่าวดีให้ทราบเกี่ยวกับลูกชายชื่ออิสฮาก (อิชอัค)

อัลลอฮฺได้ทรงเปิดเผยให้ทราบว่า “และบรรดารอซูลของเราได้มายังอิบรอฮีมพร้อมกับข่าวดี พวกเขากล่าวว่า ‘ขอความสันติจงมีแด่ท่าน’ อิบรอฮีมได้ตอบว่า ‘สันติจงมีแด่ท่าน’ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้นำเอาลูกวัว ย่างออกมาให้พวกเขาแต่เมื่อเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ยื่นมือมายังอาหาร เขาก็ชักไม่ไว้ใจและรู้สึกกลัวพวกเขาขึ้นมาในใจ พวกเขาจึงกล่าวว่า ‘อย่าได้กลัวอะไรเลยเพราะเราได้ถูกส่งมายังผู้คนของลูฏ’และภรรยาของเขาได้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย พอได้ยินเรื่องนี้ นางก็หัวเราะแล้วเราได้บอกนางถึงข่าวดีถึงเรื่องอิสฮาก และหลังจากอิสฮากก็คือยะกู๊บ

นางได้กล่าว (ด้วยความประหลาดใจ) ว่า‘โอ้ ยุ่งละสิ ฉันจะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อฉันแก่หง่อม ปูนนี้แล้ว และสามีของฉันเองก็แก่ด้วยเช่นกัน ? เป็นเรื่องแปลกจริงๆ พวกเขาจึงกล่าวว่า ‘นางแปลกใจต่อคำบัญชาของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ? โอ้ ครอบครัวของอิบรอฮีม ความเมตตาและความจำเริญของอัลลอฮฺจงมีแด่ท่าน แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ที่ควรได้รับการสรรเสริญและผู้ทรงได้รับการเทิดทูน’”(กุรอาน 11:69-73)

อัพเดทล่าสุด