การละหมาดของคนเดินทาง


19,719 ผู้ชม

ละหมาดของคนเดินทางเป็นอย่างไร อัลเลาะห์ตาอาลา ได้ผ่อนผันแก่คนเดินทางในเรื่องละหมาดของเขา 2 ประการ คือ....


 การละหมาดของคนเดินทาง

ย่อและรวมละหมาด

อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :  "และพระองค์ไม่ได้กำหนดให้เกิดความลำบากเหนือพวกท่านในศาสนา" 

คือ อัลเลาะห์ตาอาลา  ไม่ได้บัญญัติข้อกำหนดต่าง ๆ ของศาสนาที่จะทำให้เกิดความยุ่งยากและสับสนวุ่นวายแก่พวกท่านขณะที่มุสลิมตกอยู่ในความคับแคบ  อัลเลาะห์ตาอาลาจะเปิดทางที่กว้างขวางให้แก่พวกเขา  เพื่อให้ข้อกำหนดต่าง ๆ ของศาสนาเป็นที่ยอมรับและสามารถที่จะปฏิบัติได้

การเดินทางถือเป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษ  ขณะเดินทางอยู่นั้นมนุษย์จะสูญเสียความสงบและความสุขสบายไป  ไม่ว่าจะใช้พาหนะชนิดใดในการเดินทางก็ตาม  และไม่ว่าจะเดินทางไปเพื่อกิจการใดก็ตาม  ด้วยเหตุนี้อัลเลาะห์ตาอาลาจึงยอมผ่อนผันข้อกำหนดต่าง ๆ ของศาสนาแก่ผู้เดินทางอย่างมากมาย  อาทิเช่น  ละหมาดเป็นต้น  ดังนั้นในบทนี้เราจะได้ศึกษาวิธีการผ่อนผัน  เงื่อนไขในการผ่อนพันและวิธีการที่จะได้รับประโยชน์จากการผ่อนผันนั้น

ละหมาดของคนเดินทางเป็นอย่างไร : 

อัลเลาะห์ตาอาลา  ได้ผ่อนผันแก่คนเดินทางในเรื่องละหมาดของเขา 2 ประการ คือ : 

หนึ่ง : ย่อมจำนวนรอกาอัตของละหมาด  เรียกว่า  "กอสร์"

สอง :   รวมสองละหมาดมาปฏิบัติในเวลาละหมาดเดียวกัน  เพื่อให้คนเดินทางมีเวลาในการเดินทางและมีเวลาว่างมากขึ้น  เรียกว่า "ญัมอฺ" 

หนึ่ง :  ย่อละหมาด

คือ การย่อละหมาดชนิดที่มีสี่รอกาอัต  เช่น  ดุห์ริ , อัสริ , และอิชาอฺ  เหลือเพียงสองรอกาอัต  ดังจะได้อธิบายต่อไป

หลักฐานในการบัญญัติกอสร์  คือ  คำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า : 

"และเมื่อท่านทั้งหลายเดินทางไปใหนหน้าแผ่นดิน  จะไม่มีบาปใด ๆ ตกอยู่กับพวกท่าน  การที่ท่านทั้งจะย่อละหมาด"  ( อันนิซาอฺ : 101)

มุสลิม (686) และผู้อื่น  ได้รายงาน  จากยะอฺลา บุตร อุมัยยะห์  ได้กล่าวว่า :  ฉันได้ถามอุมัร บุตร ค๊อตต๊อบ (ร.ด.) ว่า : (ที่อัลกุรอานกล่าวว่า : ) "จะไม่มีบาปใด ๆ ตกอยู่กับพวกท่าน  การที่ท่านทั้งหลายจะย่อละหมาด  ถ้าหากพวกท่านกลัวว่า  พวกผู้ไร้ศรัทธาจะสร้างความปั่นป่วนกับพวกท่าน"  และบัดนี้ประชาชนมีความปลอดภัยดีแล้ว?  อุมัรตอบว่า  ฉันก็แปลกใจเช่นเดียวกับที่ท่านแปลกใจ  ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ถึงเรื่องดังกล่าว  และท่านก็ตอบว่า : "เป็นซอดาเกาะห์ (ทาน) ที่อัลเลาะห์มอบให้พวกท่านดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงรับซอดาเกาะห์ของพระองค์เถิด"

ฮะดิษนี้ชี้ว่าการย่อละหมาดไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงในกรณีที่กลัวเท่านั้น  และเพื่อให้การย่อละหมาดใช้ได้จำเป็นจะต้องรักษาเงื่อนไขต่าง ๆ ต่อไปนี้ : 

1.  ละหมาดนั้นตกหนักอยู่กับตัวเขาขณะเดินทาง , และเขาจะต้องนำละหมาดนั้นมาปฏิบัติในขณะเดินทางอีกด้วย : 

ดังนั้นจะไม่เข้าอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว  ละหมาดที่เข้าเวลาแล้วก่อนที่จะเดินทาง  และเขาได้เดินทางไปก่อนจะทำละหมาดนั้น , ดังนั้นจะไม่ยินยอม  ให้ผู้เดินทางย่อละหมาดดังกล่าว  เพราะเขายังไม่ได้เป็นผู้เดินทาง  ขณะที่ละหมาดนั้นวาญิบเหนือตัวเขาและขณะที่ละหมาดนั้นตกหนักอยู่กับตัวเขา

และไม่เข้าอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าวอีกเช่นกัน  ละหมาดที่เข้าเวลาแล้วขณะที่เขาเป็นผู้เดินทาง  แต่เขาไม่ได้ทำละหมาดนั้น  จนกระทั่งกลับสู่ภูมิลำเนาของเขา  ก็ไม่ยินยอมให้เขาย่อละหมาดนั้น  เพราะขณะที่นำละหมาดนั้นมาปฏิบัติเขาไม่ใช่เป็นผู้เดินทางแล้ว  และเพราะการย่อละหมาดนั้นยินยอมให้แก่ผู้ที่เดินทางเท่านั้น

2. เขาจะต้องพ้นเขตกำแพงเมืองที่เขาเดินทางออกไป  หือพ้นเขตชุมชน  ถ้าหากเมืองนั้นไม่มีกำแพง

เพราะถือว่าผู้ที่ยังอยู่ในกำแพงหรืออยุ่ในเขตชมชนไมใช่เป็นผู้เดินทาง  หมายความว่า  การเดินทางจะเร่มต้นตั้งแต่พ้นเขตดังกล่าว  เช่นเดียวกับการสิ้นสุดการเดินทาง  เมื่อผู้เดินทางกลับมาถึงเขตดังกล่าว  เขาก็จะย่อละหมาดไม่ได้  นอกจากละหมาดที่ตกหนักอยู่กับตัวเขา  แต่ต้องกระทำในช่วงนี้

บุคอรี ( 1039)   และมุสลิม (690)  ได้รายงานจากอะนัส (ร.ด.) ว่า : ฉันได้ละหมาดดุห์ริกับท่านนบี (ซ.ล.) ที่มะดีนะฮ์สี่รอกาอัต  และละหมาดอัสริที่ซุ้ลฮุลัยฟะห์สองรอกาอัต"  ซุ๊ลฮุลัยฟะห์อยู่นอกเขตชุมชนของมะดีนะห์

3.  ผู้เดินทางจะต้องไม่ตั้งเจตนาพำนักอยู่เป็นเวลาสี่วัน  นอกจากวันที่เดินทางเข้าและเดินทางออก  ในถิ่นที่เขาเดินทางไป

ถ้าหากเขาตั้งเจตนาเช่นนั้น  เมื่อที่เขาเดินทางไปนั้นก็จะกลายเป็นภูมิลำเนาและถิ่นพำนักของเขาที่จะไม่ยินยอมให้เขาย่อละหมาดในเมืองนั้น  สิทธิการย่อละหมาดสำหรับเขาจะคงอยู่เฉพาะขณะเดินทางเท่านั้น

สำหรับกรณีที่ผู้เดินทางตั้งเจตนาจะพำนักอยู่น้อยกว่าสี่วัน  หรือเขาไม่รู้จะพำนักอยู่ในเมืองนั้นกี่วัน  เพื่อทำงานบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำเสร็จเมื่อไหร่  ให้เขาย่อละหมาดได้ในกรณีแรกจนกว่าเขาจะกลับเข้าเขตชุมชนในถิ่นเดิมของเขา  และย่อละหมาดได้ในกรณีที่สองเป็นเวลาสิบแปดวันนอกจากวันที่เขาเดินทางเข้าและเดินทางออก

อบูดาวูด (1229)  ได้รายงาน  จากอิรอน บุน อุซอยน์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : "ข้าพเจ้าได้ออกไปทำสงครามร่วมกับท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) และได้มาปรากฏตังพร้อมกับท่นในการเข้าพิชิตมักกะห์ (อัลฟัตฮ์) ท่านได้พำนักที่มักกะห์เป็นเวลาสิบแปดคืน  โดยท่านไม่ได้ละหมาดใดนอกจากละหมาดสองรากาอัต"  เพราะท่านนบี (ซ.ล.) ได้พำนักในเวลาดังกล่าวนี้ที่มักกะฮ์ในปีที่เข้าพิชิตมักกะฮ์  เพื่อรบกับพวกฮาวาซิน  ท่านจึงย่อละหมาด  โดยท่านไม่รู้กำหนดเวลาที่จะต้องอยู่ที่มักกะห์ว่าเป็นเวลากี่วัน

4.  จะต้องไม่ละหมาดตามผู้ที่ไม่ได้เดินทาง

ดังนั้น ถ้าหากผู้ที่เดินทางละหมาดตามผู้ไม่ได้เดินทาง  เขาก็จำเป็นจะต้องละหมาดให้ครอบสมบูรณ์จะย่อละหมาดไม่ได้

ส่วนในกรณีกลับกัน  ไม่มีข้อห้ามที่เขาจะย่อละหมาด  คือผู้เดินทางเป็นอิมามนำละหมาดผู้ไม่ได้เดินทาง ยินยอมให้ผู้เดินทางย่อละหมาดได้และสุนัตให้ผู้เดินทางที่เป็นอิหม่าม  เมื่อได้สลามในรอกาอัตที่สองแล้ว  รีบบอกแก่ผู้ที่ตามโดยกล่าวแก่พวกเขาว่า : "พวกท่านจงละหมาดให้ครบสมบูรณ์เถิด  เพราะฉันเป็นคนเดินทาง"  

หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือฮะดิษที่อะห์มัด  ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์  จากอิบนุอับบาส (ร.ด.) ว่าเขาถูกถามว่า : "ทำไมคนเดินทางจึงละหมาดสองรอกาอัต  เมื่อละหมาดคนเดียวและสี่รอกาอัตเมื่อละหมาดตามผู้ที่ไม่ได้เดินทาง? เขาตอบว่า : "นั่นคือซุนนะห์" 

และได้ปรากฏในฮะดิษ  อิมรอน (ร.ด.) ที่ผ่านมาแล้ว  และท่านนบีจะกล่าวว่า : "ชาวเมืองเอ๋ย  พวกท่านจงละหมาดสี่รอกาอัตเถิด  เพราะพวกเราเป็นพวกที่เดินทาง"

สอง :  รวมละหมาด

ซึ่งความหมายของการรวมละหมาดได้กล่าวมาแล้ว

บุคอรี (1056)  ได้รายงานจาก  อิบนิอับบาส (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้รวมละหมาดดุห์ริ  กับละหมาดอัสริเมื่อท่านอยู่ระหว่างเดินทาง  และรวมละหมาดมัฆริบกับอิชาอฺ" 

และมุสลิม (705) ได้รายงานจากเขา (อิบนุอับบาส) ว่า :  ท่านนบี (ซ.ล.) ได้รวมละหมาดในการเดินทางครั้งที่พวกเราได้เดินทางในสงครามตะบูก  และท่านได้รวมละหมาดดุห์ริกับละหมาดอัสริ , และมัฆริบกับอีชาอ์ ,  สะอีด บุตร ญุบัยร์  รอฮิมะฮุ้ลลลอฮ์ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าได้ถามอิบนุอับบาสว่า : อะไรทำให้ท่านกระทำเช่นนั้น? เขาตอบว่า "ท่านนบีปรารถนา  ไม่ให้เกิดความคับแคบกับประชากรของท่าน" 

การละหมาดแบ่งออกเป็นสองแผนก : 

รวมก่อน คือ นำละหมาดที่อยู่ในเวลาถัดไปมารวมไว้ในเวลาแรก

และรวมหลัง  คือ  นำละหมาดที่อยู่ในเวลาแรกไปรวมละหมาดไว้ในเวลาที่สอง

อบูดาวูด (1208) ติรมีซี (553)  และผู้อื่น  ได้รายงาน  จากมุอ๊าซ (ร.ด.) ว่า :  ท่านนบี (ซ.ล.) ขณะอยู่ในสงครามตะบูก , เมื่อท่านออกเดินทางก่อนตะวันขึ้น  ท่นาจะร่นละหมาดดุห์ริออกไป  จนนำไปรวมกันกับละหมาดอัสริ  และท่านได้ละหมาดทั้งอัสริรวมในเวลาเดียวกัน  และเมื่อท่านจะออกเดินทางหลังจากตะวันคล้อย  ท่านได้ละหมาดดุห์ริและอัสริรวมในเวลาเดียวกัน  แล้วจึงออกเดินทาง  และเมื่อท่านจะเดินทางก่อนมัฆริบ  ท่านจะร่วมมัฆริบออกไปจนนำไปละหมาดรวมกับละหมาดอิชาอฺ  และเมื่อได้เดินทางหลังละหมาดมัฆริบ  ท่านได้รีบนำละหมาดอิชาอฺมา  และได้นำอิชาอฺมาละหมาดรวมในเวลามัฆริบ

ละหมาดที่นำมารวมในเวลาเดียวกันได้ :  

เป็นที่ทราบก่อนแล้วว่า  ละหมาดที่จะนำมารวมในเวลาเดียวกันได้ก็คือ  ละหมาดดุห์ริกับอัสริ , มัฆริบกับอิชาอฺ   ดังนั้นจะนำละหมาดซุบฮิไปรวมกับละหมาดที่อยู่ก่อน (คืออิชาอฺ) หรือกับละหมาดที่อยู่หลัง (คือละหมาดดุห์ริ)  ไม่ได้  เช่นเดียวกับที่จะรวมละหมาด  อัสริกับมัฆริบไม่ได้  

ในการละหมาดรวม  ไม่ว่าจะเป็นรวมก่อน  และรวมหลัง  มีเงื่อนไขหลายประการที่จะต้องรักษาดังต่อไปนี้

เงื่อนไขของรวมก่อน : 

หนึ่ง : ต้องเรียบเรียงระหว่างละหมาดทั้งสองตามลำดับ : 

โดยต้องเริ่มที่ละหมาดประจำเวลาก่อน , แล้วจึงนำอีกละหมาดหนึ่งมารวม

สอง : ต้องรวมละหมาดที่สองกับละหมาดแรกก่อนละหมาดแรกเสร็จ  แต่สุนัติให้เหนียตรวมพร้อมกับตักบีรร่อตุ้ลเอียะห์รอม

สาม :  ต้องปฏิบัติละหมาดทั้งสองติดต่อกัน

โดยต้องรีบละหมาดที่สองทันทีที่ละหมากแรกเสร็จ  และสลามจากละหมาดแรกแล้ว , จะต้องไม่ให้มีสิ่งใด  ไม่ว่าจะเป็นซิเกร  หรือละหมาดสุนัต  หรืออื่น ๆ มาคั่นระหว่างละหมาดทั้งสอง  และถ้าหากมีสิ่งหนึ่งที่ยาวนานตามประเพณีมาคั่นระหว่างละหมาดทั้งสอง  หรือร่นละหมาดที่สองออกไป  โดยตัวเองไม่ได้ยุ่งพะวงอยู่กับสิ่งใดก็ถือว่าเสียการรวมนั้น  และจำเป็นต้องร่นละหมาดที่สองไปปฏิบัติในเวลาของมัน  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นการปฏิบัติตามท่านนบี (ซ.ล.) 

บุคอรี (1041)  ได้รายงาน  จากอิบนุอุมัร (ร.ด.) ได้กล่าวว่า :  ฉันเห็นท่านนบี (ซ.ล.) ขณะที่ท่านต้องเร่งรีบในการเดินทาง  ท่านร่นละหมาดมัฆริบออกไป  และนำไปละหมาดสามรอกาอัต  หลังจากนั้นท่านจะสะลาม , นิ่งอยู่ไม่นานท่านจะหยุด  แต่จะอิกอมะห์ละหมาดอิชาอฺ  และท่นาก็จะละหมาดอชาอฺสองรอกาอัต  แล้วท่านจึงให้สลาม

สี่ :  การเดินทางจะต้องยังคงมีอยู่  จนกว่าจะได้ปฏิบัติละหมาดที่สอง , หมายความว่า จะไม่มีผลเสียถ้าหากเขาเข้าเขตเมือง  ขณะที่กำลังละหมาดที่สองอยู่

เงื่อนไขการรวมหลัง :  

หนึ่ง :  จะต้องเหนียตเอาละหมาดแรกไปรวมไปเวลาหลัง  โดยการเหนียตนั้นจะต้องอยู่ในเวลาแรก   ถ้าหากหมดเวลาดุห์ริโดยที่เขาไม่ได้เหนียตเอาละหมาดดุห์ริไปรวมกับละหมาดอิสริในเวลาอิสริแล้ว   ละหมาดดุห์ริก็จะตกหนักอยู่บนเขา  และต้องนำมาปฏิบัติเป็นละหมาดกอดออฺ  และมีบาปที่ทำให้ละหมาดออกนอกเวลาของมัน

สอง : การเดินทางจะต้องยังมีอยู่จนกว่าจะเสร็จละหมาดทั้งสองโดยสมบูรณ์  ถ้าหากเขาหมดสภาพการเป็นคนเดินทางก่อนเสร็จละหมาดทั้งสอง  ละหมาดที่สองนั้นตกเป็นละหมาดกอดออฺ

สำหรับในกรณีของการรวมหลังนี้  ไม่มีเงื่อนไขว่าจะต้องปฏิบัติเรียบเรียงกันไป  แต่เขาจะเริ่มด้วยละหมาดใดก่อนก็ได้  และเช่นเดียวกับการกระทำอย่างต่อเนื่อง - ในที่นี้ - ก็ถือว่าเป็นสุนัต  ไม่ใช่เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้การรวมละหมาดใช้ได้

 
เงื่อนไขการเดินทางที่อนุญาตให้ย่อและรวมละหมาด :

เงื่อนไขที่หนึ่ง : 

การเดินทางจะต้องเป็นการเดินทางไกลถึงระยะทาง  81 กิโลเมตร  หรือเกินกว่านั้นจะไม่พิจารณาระยะทางที่ต่ำกว่านั้น  
บุคคอรีได้รายงานเป็นหะดิษ  มุอัลลัก (ในเรื่องการย่อละหมาด , ในบทที่ว่าด้วย : ระยะทางเท่าไหร่จึงย่อละหมาด) ว่า : อิบนุอุมัร  และอิบนุอับบาส (ร.ด.) ได้ย่อละหมาดและได้ละศีลอด  ในระยะทางสี่บะรีด  คือสิบหกฟัรซัค  ซึ่งเท่ากับ  81  กิโลเมตร  โดยประมาณ  และการกระทำของบุคคลเช่นคนทั้งสองนั้น  เป็นการกระทำตามความรู้ที่ได้รับมาจากท่านนบี (ซ.ล.)

เงื่อนไขที่สอง : 

การเดินทางนั้นจะต้องมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน   ดังนั้นจะไม่พิจารณาการเดินทางของคนที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง  และไม่พิจารณาการเดินทางของผู้ที่ติดตามผู้นำ  ซึ่งไม่รู้ว่าผู้นำจะไปที่ใหน
และที่กล่าวนี้หมายความว่า  ก่อนที่เขาจะเดินทางในระยะทางที่ไกล  แต่ถ้าหากเขาเดินทางได้ระยะทางที่ไกลแล้ว  เขาก็ย่อละหมาดได้  เพราะมั่นใจแล้วว่าเป็นการเดินทางไกล

เงื่อนไขที่สาม : 

การเดินทางนั้นจะต้องไม่มีเป้าหมายในทางที่เป็นความชั่ว  ถ้าหากเป็นการเดินทางเพื่อเป้าหมายดังกล่าว  ก็ไม่ถือเป็นการเดินทางที่อนุญาตให้รวมและย่อละหมาด  เช่น  คนที่เดินทางเพื่อค้าขายสุรา  หรือเพื่อกิจการที่มีดอกเบี้ย (ริบา) หรือเพื่อปล้นสดมภ์ตามทาง  เพราะการย่อละหมาดนั้นเป็นข้อผ่อนผันและข้อผ่อนผันนั้นบัญญัติขึ้นมาเพื่อการภักดี  ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับความชั่วต่าง ๆ 

การรวมละหมาดในขณะฝนตก

ยินยอมให้รวมสองละหมาด  กระทำในเวลาแรก  ในขณะฝนตก

บุคอรี (518) และมุสลิม (705) ได้รายงาน   จากอิบนุอับบาส (ร.ด.) ว่า : ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ละหมาดที่มะดีนะฮ์  เจ็ดและแปด : ดุห์ริกับอัสริ , และมัฆริบ  กับอิชาอฺ  มุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า  โดยไม่อยู่ในยามหวาดกลัว  และไม่ใช่อยู่ในการเดินทาง  และที่บุคอรี : อัยยูบ  ผู้รายงานคนหนึ่ง  ได้กล่าวว่า  อาจเป็นไปได้ว่าเป็นคืนที่มีฝนตก?  เขาตอบว่าเป็นไปได้  และที่มุสลิม : อิบนุอับบาส (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ท่านประสงค์ไม่ให้คนใดจากประชากรของท่านตกอยู่ในความคับแค้น

และไม่ยินยอมให้การรวมละหมาดในเวลาของละหมาดที่สอง  เพราะฝนอาจจะหยุดตกก็ได้  ก็จะเป็นว่าเขาทำให้ละหมาดนอกเวลาโดยไม่มีความจำเป็นใด ๆ 

และเงื่อนไขในการรวมละหมาด  มีดังต่อไปนี้

1.  ต้องเเป็นละหมาดญะมาอะฮ์  ในมัสยิดที่อยู่ห่างไกลตามประเพณีที่มุสลิมจะต้องได้รับความเดือนร้อน  ด้วยน้ำฝนขณะเดินตามทางไปมัสยิด

2.  ฝนจะต้องตกอยู่ในตอนเริ่มต้นของละหมาดทั้งสอง  และขณะที่สลามจากละหมาดแรก


อ้างอิงจากหนังสือ อัลฟิกห์ อัลมันฮะญีย์  แปลโดย ท่านอาจารย์อรุณ บุญชม

บทความที่น่าสนใจ

อัพเดทล่าสุด