สำหรับบุคคล ที่ลำบาก เขาไม่ต้องจ่ายฟิฏเราะฮฺโดยปราศจากทัศนะใดๆ ที่ขัดแย้ง ส่วนกรณีผู้ที่มีอาหารเพียงน้อยนิด คือมีแค่อาหารที่เขาเก็บไว้ใช้บริโภค
เรียบเรียงโดย ดร.อุษมาน อัล-อัมร์
ซะกาตฟิฎเราะฮฺ (ซะกาตฟิตเราะห์) ตามมติฉันท์ของอุละมาอ์ถือเป็นฟัรฏู(จำเป็น) ดั่งรายงานจากท่านอิบนุอุมัร กล่าวว่า :
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดการจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺเป็นผลอินทผลัมจำนวน 1 ทะนาน(ศออ์) หรือ ข้าวบาเล่ย์จำนวน 1 ทะนาน จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนมิว่าจะเป็นทาส เป็นไท ชาย หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ และท่านได้สั่งใช้เรื่องดังกล่าวนี้ให้ทุกคนปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ ผู้คนทั้งหลายจะออกไปสู่การละหมาด(อีดุลฟิฏรีย์)” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
สำหรับบุคคลที่ลำบาก เขาไม่ต้องจ่ายฟิฏเราะฮฺโดยปราศจากทัศนะใดๆที่ขัดแย้ง ส่วนกรณีผู้ที่มีอาหารเพียงน้อยนิด คือมีแค่อาหารที่เขาเก็บไว้ใช้บริโภคสำหรับคืนก่อนวันอีดและวันอีด เช่นหากมีข้าวสารจำนวนเท่ากับจำนวน 1 ศออ์ขึ้นไป ย่อมถือว่าผู้นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจ่ายได้ แต่หากเขาไม่มีข้าวสารหรืออาหารใดๆเลยในเวลาดังกล่าวนั้นถือว่าเขาคือผู้ ลำบาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตในขณะนั้น เพราะไม่ครบเงื่อนไขที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตคือครบจำนวนนิศอบของซะกาต นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)ซึ่งมีเพียงนักวิชาการสายมัซ ฮับหะนะฟีย์เท่านั้นที่เห็นต่างออกไป
สรุป คือ บรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่ถือว่าหากบุคคลใดมีอาหารหรือข้าวสารไม่ครบนิศอบ(คือ 1 ศออ์ขึ้นไป) ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ ในที่นี้รวมถึงทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่ต้องจ่าย แต่หากผู้ปกครองสมัครใจจะจ่ายให้ย่อมถือเป็นซุนนะฮฺ เนื่องจากมีปรากฏการกระทำของท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ซึ่งตรงกับทัศนะของบรรดานักวิชาการสายมัซฮับหัมบะลีย์
สำหรับคนใช้มิว่าเพศหญิงหรือชาย ที่ถูกจ้างวานให้ทำงานโดยมีค่าตอบแทนเป็นรายวัน หรือรายเดือนก็ตาม กรณีนี้นายจ้างไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการจ่ายซะกาต เพราะถือเป็นผู้มีอาชีพรับจ้าง ซึ่งต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่หากนายจ้างใจบุญประสงค์จะจ่ายซะกาตแทนให้ ก็กระทำได้แต่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ลูกจ้างรับทราบด้วย เพราะการจ่ายซะกาตถือเป็นอิบาดะฮฺอย่างหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงถึงความเมตตาต่อลูกจ้างนับเป็นการกุศลที่ผู้ กระทำย่อมได้รับการตอบแทนความดีอย่างแน่นอน
อัตราของซะกาตฟิฏเราะฮฺ (ซะกาตฟิตเราะห์)
อัตราซะกาตฟิฏเราะฮฺ คือ 1 ศออ์(ทะนาน)จากชนิดอาหารหลักที่ใช้บริโภคในประเทศ จำนวน 1 ศออ์ ของท่านนบี ศ็อลฯ เท่ากับ 4 มุด (หรือ 4 กอบมือขนาดปานกลาง) นักวิชาการบางท่านให้ทัศนะว่าเท่ากับ 2.5 กิโลกรัม และบางท่านก็เทียบเท่ากับ 3 กิโลกรัม
ทั้งนี้จากรายของท่านอิบนุอุมัร ว่า : ท่านเราะซูล ได้ กำหนดซะกาตฟิฏเราะฮฺเท่ากับผลอินทผลัม 1 ศออ์ หรือข้าวบาเล่ย์ 1 ศออ์ บังคับสำหรับมุสลิมทั้งที่เป็นทาสและเป็นไท ชาย-หญิง หรือเด็กและผู้ใหญ่ โดยท่านได้สั่งให้ปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนจะเดินทางออกไปละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
สามารถจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ (ซะกาตฟิตเราะห์) ด้วยเงินแทนอาหารได้หรือไม่?
มัซฮับชาฟิอีย์เห็นว่าไม่อนุญาติให้จ่ายเป็นอย่างอื่นนอกจากอาหาร ซึ่งใช้บริโภคประจำวันในประเทศเท่านั้น
มัซฮับมาลิกีย์เห็นตรงกับมัซฮับชาฟิอีย์เช่นกัน คือ ให้จ่ายได้เป็นอาหารเท่านั้น
สำหรับนักวิชาการในสายมัซฮับหัมบะลีย์ เช่นอิบนุกุดามะฮฺกล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-มุฆ์นีย์” ว่า “หาก ผู้ใดสามารถจ่ายเป็นผลอิมทผลัม ผลองุ่นแห้ง ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ย์หรือเนยแข็งได้ แต่ใช้สิ่งอื่นแทน การกระทำเช่นนั้นย่อมไม่ถูกอนุญาติ”
กล่าวอีกว่า “สำหรับเราแล้ว คือตามที่ท่านนบี ได้ กำหนดเป็นทานฟิฏเราะฮฺด้วยชนิด(อาหาร)ที่เจาะจงเฉพาะ มิอาจเทียบเป็นสิ่งอื่นได้ รวมทั้งการออกเป็นราคาอาหารก็เช่นกัน เพราะการที่เอ่ยถึงชนิดอาหาร หลังจากกล่าวถึงบทบัญญัติ เท่ากับเป็นการอธิบายได้อย่างดีถึงสิ่งที่พึงปฏิบัติ”
สำหรับทัศนะที่แตกต่างไปจากนี้ เช่นท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (เราะหิมะฮุลลอฮฺ) ถือว่าสามารถเทียบค่าของอาหาร(ซะกาตฟิฏเราะฮฺ)นั้นและจ่ายเป็นตัวเงินได้ ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่าหากเป็นผลประโยชน์สำหรับบรรดาคนยากจนเอง ดังปรากฏในตำราของท่าน คือ “อัล-ฟะตาวา อัลกุบรอ”
ส่วนทัศนะของมัซฮับหะนาฟียะฮฺ ถือว่า สามารถจ่ายเป็นเงินได้ในทุกกรณี
เวลา และสถานที่จ่ายซะกาตฟิฎเราะฮฺ
คือให้จ่ายในช่วงเวลาก่อนการละหมาดอีด สำหรับอุละมาอ์สายมัซฮับมาลิกียะฮฺ และหะนาบีละฮฺอนุญาติให้จ่ายล่วงหน้าก่อนวันอีดสัก 2-3 วันได้
ส่วนอุละมาอ์สายชาฟิอียะฮฺมีทัศนะว่าสามารถจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเดือนรอมฏอน แต่ที่ดีที่สุดควรจ่ายก่อนการละหมาดอีด
เช่นกันตามทัศนะของอุละมาอ์สานหะนาฟียะฮฺ อนุญาติให้จ่ายในเวลาก่อนเดือนรอมฏอนได้ ดังนั้นหากใครไม่จ่ายกระทั่งเวลาล่วงเลยจนหมดรอมฏอนไปแล้ว ถือว่าบุคคลนั้นยังมีภาระและบาปติดค้างคาอยู่กับตัวที่เขาจำเป็นต้องสะสาง คือหากชดใช้เมื่อความผิดบาปก็หมดไปเมื่อนั้น
สำหรับเรื่องสถานที่จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺนั้น มีปรากฏในตำรา “อัล-มุเดาวะนะฮฺ” ถามว่า หากบุคคลผู้นั้นเป็นชาวแอฟริกา และเขาเดินทางมายังประเทศอียิปต์ในช่วงที่ต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺพอดี เขาจะต้องจ่ายซะกาตที่ไหน ? อิม่ามมาลิกตอบว่า “เขาอยู่ที่ไหน ก็ให้จ่ายที่นั้น แต่หากครอบครัวของเขาที่แอฟริกาจะจ่ายแทนให้แก่เขา ก็ถือว่าสามารถทำได้”
เช่นกันท่านอิบนุกุดามะฮฺ (เราะหิมะฮุลลอฮฺ)ให้ทัศนะว่า “ในกรณีของซะกาตฟิฏเราะฮฺนั้นจำเป็นต้องแจกจ่ายไปในประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ เท่านั้น ไม่ว่าสมบัติของเขาจะมีอยู่ในประเทศนั้นหรือไม่ก็ตาม”
ซึ่งทัศนะที่หนักแน่นที่สุดของอุละมาอ์สานชาฟิอียะฮฺ คือซะกาต(ฟิฏเราะฮฺ)มิสามารถเคลื่อนย้าย(ไปจ่ายในอีกท้องที่หนึ่งได้) ส่วนทัศนะรองถือว่าอนุญาติทำได้ทั้งนี้เพื่อให้ถึงแก่บรรดาคนยากจน(ฟุกอ รออ์)เป็นสำคัญตามที่ปรากฏในอายะฮฺ ซึ่งเป็นทัศนะของบรรดาอุละมาอ์มากมายหลายท่านด้วยกัน เช่นคำกล่าวของท่านอัร-รูยานีย์ในหนังสือ “อัล-บะห์รุ” ว่า : อนุญาติให้เคลื่อนย้ายได้แน่นอน สำหรับบุคคลที่ประสงค์จะจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺของเขาให้แก่ญาติซึ่งอยู่ต่าง ถิ่น ทั้งที่ในประเทศที่เขาอาศัยอยู่นั้นก็มีคนยากจนอยู่ โดยมีเงื่อนไขว่าประเทศที่เขาอาศัยอยู่ขณะนั้นต้องไม่เดือดร้อนหรือจำ เป็น(ต่อซะกาต)มากกว่า แต่หากความจำเป็นเท่าๆกันระหว่างญาติของเขากับคนยากจนในท้องที่นั้น ก็ให้เขาแบ่งครึ่งและแจกจ่ายไปทั้งสองฝ่ายนั้นได้ – อัลลอฮุอะอ์ลัม .
บรรดาอุละมาอ์สายหะนาฟียะฮฺกล่าวว่า : อนุญาติให้ปฏิบัติได้หากประเทศที่เขาส่งซะกาตไปนั้นมีความจำเป็นมากกว่า โดยเฉพาะในประเทศดังกล่าวนั้นมีญาติอาศัยอยู่ และญาติก็มีฐานะลำบากด้วย
แต่ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าซะกาตนั้นจะต้องถึงไปยังคนยากจนก่อนเวลาละหมาดเป็นสำคัญ
บุคคลผู้มีสิทธิได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺ (ซะกาตฟิตเราะห์)
ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายไปให้แก่บุคคลทั้ง 8 ประเภทเช่นเดียวกับในกรณีของซะกาตุลมาล นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)
ขณะที่อุละมาอ์สายมาลิกียะฮฺมีทัศนะตามสายรายงานของอิม่ามอะห์มัด คือการแจกจ่ายซะกาตเจาะจงเฉพาะบุคคลที่ยากจน(ฟุเกาะรออ์)และขัดสน(มะซากีน)
ส่วนอิม่ามอัช-ชาฟิอีย์เห็นว่า ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายให้แก่บุคคลประเภทต่างๆเหมือนเช่นซะกาตุลมา ลนั้นได้ และไม่อนุญาตแก่บุคคลประเภทอื่น
ท่านอิม่ามมาลิกกล่าวว่า ไม่มีข้อห้ามอันใดที่บุคลลหนึ่งๆจะมอบซะกาตของตัวเอง และซะกาตของครอบครัวของเขาให้แก่คนยากจนคนเดียวกัน
และมีระบุว่าอิม่ามอะหมัดอนุญาติให้แจกจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺจำนวนศออ์หนึ่งให้ แก่บุคคลหลายคน หรือจะจ่ายฟิฏเราะฮฺจำนวนหลายศออ์ให้แก่บุคคลคนเดียวก็ได้
สำหรับบุคคลที่มิพึงได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺมี 5 ประเภทด้วยกัน คือ
1. คนร่ำรวย หรือบุคคลที่ไม่มีความเดือดร้อนเกี่ยวกับเงิน หรือการทำงานหาปัจจัยใดๆอีกแล้ว เนื่องปรากฏหะดีษหนึ่งที่ท่านนบี กล่าวว่า "การบริจาคทานมิอาจให้แก่คนร่ำรวย และบุคคลที่มีความเข้มแข็งสมบูรณ์อยู่แล้ว” (หะดีษหะซัน บันทึกโดยอะหมัด อบูดาวุด อัต-ติรมิซีย์ และอัด-ดารอมีย์)
2. ทาส หรือทาสี เนื่องเขาอยู่ภายใต้การดูแลและรับผิดชอบของผู้เป็นนายอยู่แล้ว และสภาพของตัวเขาเองก็มิอาจถือครองทรัพย์สินใดๆได้ด้วย
3. บุคคลในตระกูลบนูฮาชิม หรือบนูอัล-มุฏเฏาะลิบ เนื่องคำกล่าวของท่านนบี กล่าวว่า “แท้จริงทานบริจาค(เศาะดะเกาะฮฺ)ไม่สมควรได้แก่ลูกหลานของมุฮัมมัด เพราะแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องด่างพร้อย” (บันทึกโดยมุสลิม)
4. บุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้เลี้ยงดูของผู้จ่ายซะกาต หมายถึงเขาจะจ่ายซะกาตนั้นให้แก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครองในนามของคนยากจน(ฟุ เกาะรออ์)หรือคนขัดสน(มิสกีน)มิได้
5. บุคคลผู้ปฏิเสธ(หรือกาฟิร) เนื่องหะดีษหนึ่งท่านนบี กล่าวว่า
“...ดัง นั้นพึงบอกให้พวกเขาทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้พวกเขาบริจาคประเภทหนึ่ง ซึ่งรับมาจากบรรดาผู้ร่ำรวยของพวกเขา เพื่อแจกจ่ายในระหว่างบรรดาคนยากจนของพวกเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)