สรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าสัตว์หรือพืชต่างก็ถูกสร้างให้เจริญเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับมัน หากผิดแผกไปก็ส่งผลที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับมัน ดังพืชผลบางชนิดเมื่อเปลี่ยนสถานที่ปลูก เมื่ออากาศเปลี่ยนไป อาจจะเจริญเติบโต แต่ไม่ออกดอกออกผล หรือมีบางอย่างที่บกพร่องเสียหายไป
ธรรมชาติแห่งการสร้างนี้ในคำสอนอิสลามเรียกว่า ฟิฏเราะฮฺ ซึ่งเป็นแบบแผนการสร้างของอัลลอฮฺ ดังปรากฏในอัล กุรอานว่า
ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้ เป็นฟิฏเราะฮฺ(ธรรมชาติ) ของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้ (อัล กุรอาน 30:30)
ในทรรศนะของคำสอนอิสลาม มนุษย์นั้นก็เช่นเดียวกับสิ่งถูกสร้างอื่นๆที่ถูกเกิดมาในสภาพที่บริสุทธิ์ หรือฟิฏเราะฮฺ ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวย้ำถึงธรรมชาติอันนี้เอาไว้ว่า
เด็กทุกๆคนเกิดมาบนฟิฏเราะฮฺ(ธรรมชาติ)พ่อแม่ของเขาทำให้เขาเป็นยะฮูดียฺ(ยิว) หรือนัศรอนียฺ(คริสเตียน) หรือมะญูซียฺ(พวกบูชาไฟ) (รายงานโดยอัล บุคอรียฺ)
ฟิฏเราะฮฺ ก็คืออิสลาม ที่แปลว่า การยอมจำนนต่อระบอบแห่งการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น สรรพสิ่งทั้งหลายต่างดำเนินไปตามสภาพฟิฏเราะฮฺ จึงถูกเรียกว่า “มุสลิม” หรือผู้หรือสิ่งที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ เช่นเดียวกันมนุษย์ทุกคนถือว่าเกิดมาเป็น “มุสลิม” ไม่ว่าพ่อแม่ของเขาจะนับถือศาสนาใดก็ตาม เพราะเขาเกิดมาในสภาพฟิฏเราะฮฺ
ต่อมาอิสลามได้อธิบายว่า ฟิฎเราะฮฺ นี้ถูกแปรสภาพไปตามระบอบการเลี้ยงดูอบรมของเขา กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เข้ามาทำลายและแปรเปลี่ยนฟิฏเราะฮฺของมนุษย์ก็คือ สิ่งแวดล้อมต่างๆ อันได้แก่วัฒนธรรมประเพณีของกลุ่มชนที่เขาสังกัดอยู่ หรือแนวคิดที่ส่งผ่านระบอบการศึกษาที่เขาเติบโตขึ้นมา ทำให้ฟิฏเราะฮฺของเขาเสียหาย
ผลร้ายที่ตามมาของการขาดซึ่งฟิฏเราะฮฺที่แท้จริงก็คือ การที่ไม่อาจดำรงตนให้สอดคล้องกับจักรวาลที่เคลื่อนไปตามฟิฏเราะฮฺของอัลลอฮฺได้ มนุษย์จึงกลายสภาพเป็นสิ่งที่แปลกแยกกับจักรวาลที่เขาอาศัยอยู่ (จักรวาลในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงความเข้าใจแค่วัตถุภายนอก แต่หมายถึงความกลมกลืนทั้งหมดทั้งที่มองเห็นได้และมองไม่เห็น)
ปรากฏการการณ์ดิ่งเหวของมนุษย์ทุกวันนี้จึงเกิดจากความเสียหายของฟิฏเราะฮฺในตัวมนุษย์ มนุษย์บางจำพวกฟิฏเราะฮฺของเขาถูกทำให้เสื่อมสภาพจนตกต่ำเหลือเพียง แค่เครื่องจักรที่ถูกขับเคลื่อนให้รู้จักแค่การเสพความสุขที่ไม่เคยรู้จักพอ แย่งชิงทรัพยากรกันจนสร้างความเสื่อมเสียระบาดไปบนหน้าแผ่นดิน เพียงเพื่อบำรุงบำเรอชีวิตตัวเองเท่านั้น
อิสลามไม่ได้อธิบายความเสื่อมทรามของสังคมมนุษย์ว่าเกิดมาจากความขัดแย้งทางชนชั้นที่มาจากปัจจัยทางวัตถุ และไม่ได้อธิบายผ่านภาพภายนอกแบบนักศีลธรรมนิยมที่เอาแต่โจมตีซ่องโสเภณีและพ่อค้ายาเสพติด
หากแต่คำสอนอิสลามอธิบายผ่านระบอบของจักรวาลทั้งหมดที่เรียกว่า ฟิฏเราะฮฺ นั่นคือสังคมมนุษย์สูญเสียฟิฏเราะฮฺอันเป็นลักษณะธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ในการที่จะทำให้เขาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสมดุลกับจักรวาลได้
อิสลามจึงเริ่มต้นด้วยการเรียกร้องฟิฏเราะฮฺของผู้คนที่สูญเสียมันไปให้กลับคืนมา ทุ่มเทการบำรุงรักษาฟิฏเราะฮฺในตัวมนุษย์ให้ดำรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ให้มากที่สุด คัดค้านสิ่งต่างๆที่เข้ามาทำลายและบิดเบือนฟิฏเราะฮฺของมนุษย์
จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของท่านนบีมุฮัมมัดในการฟื้นฟูสังคมมนุษย์นั้น ไม่ได้เดินเข้าไปหาพวกกรรมกรหรือทาสเพื่อต่อสู้กับนายทุนอาหรับชั้นสูงที่มักกะฮฺ เป็นไปได้หากว่าท่านทำเช่นนั้นก็จะมีชนชั้นที่ถูกกดขี่เข้าร่วมอย่างมากมาย แล้วค่อยพูดเรื่องอิสลามทีหลังก็ได้ แต่ท่านก็ไม่เลือกทางนี้
และ ท่านก็ไม่ตรงไปหาพวกนักชาตินิยมอาหรับเพื่อให้ต่อสู้รวมเผ่าอาหรับต่างๆที่ กระจัดกระจายยังไม่มีรัฐเพื่อขึ้นเทียบเคียงกับพวกเปอร์เซียนและโรมัน เป็นไปได้ว่าถ้าท่านทำเช่นนั้นพวกหัวหน้าเผ่าอาหรับที่ทรนงในชาติพันธ์ของ ตัวเองจะเอาด้วยกับท่าน แล้วค่อยใส่อิสลามให้วันหลัง แต่ท่านก็ไม่เลือกทางนี้
นอกจากนี้ท่านก็ไม่ได้หาพวกนักศีลธรรมนิยมเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านสุราและการผิดประเวณี เป็นไปได้ว่าหากท่านเลือกทางนี้จะมีนักศีลธรรมนิยมที่มีอยู่ในเมืองมักกะฮฺและเมืองอื่นๆจะเห็นพ้องกับท่าน แล้วค่อยคุยอิสลามกันวันหลัง แต่ท่านก็ไม่ได้เลือกทางนี้
เพราะวิธีการเหล่านี้ทั้งหมดไม่อาจเรียกร้องฟิฏเราะฮฺของมนุษย์กลับคืนมาได้
------------------------------------
อัล อัค เรียบเรียง
ที่มา: muslimchiangmai