มนุษย์เกิดมาท่ามกลางคำถามที่ทุกข์ทรมานที่สุด นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นต่อ‘การมีอยู่’ของตัวของเขาเอง และยิ่งทรมานยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อต้องเกิดคำถามต่อการมีอยู่ของ ‘สิ่งอื่น’ ที่มิใช่ตัวของเขา
ปริศนาของ ‘การมีอยู่’ กับคำตอบของชายที่เดินลงมาจากถ้ำ
มนุษย์เกิดมาท่ามกลางคำถามที่ทุกข์ทรมานที่สุด นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นต่อ‘การมีอยู่’ของตัวของเขาเอง และยิ่งทรมานยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อต้องเกิดคำถามต่อการมีอยู่ของ ‘สิ่งอื่น’ ที่มิใช่ตัวของเขา...
ชีวิตของมนุษย์เองและปรากฏการณ์หลากหลายที่รายล้อมเขาอยู่ ก่อให้เกิดคำถามที่เข้ามาสู่ชีวิตมนุษย์อยู่ตลอดเวลาว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าชีวิตของเขา? ทำไมชีวิตของเขาต้องมาปรากฏในรูปแบบนี้? เขาไม่มีตัวตนอยู่มิได้หรือ? เมื่อเขามีตัวตนอยู่ แล้วทำไมต้องเป็นอยู่ในสภาพที่เขาเลือกไม่ได้? แล้วชีวิตของมนุษย์คนอื่นๆเล่ามีความรู้สึกแบบเขารู้สึกหรือไม่? สิ่งอื่นๆที่มิใช่มนุษย์เล่า มีภาวะที่แท้จริงอย่างไร? ทำไมสิ่งอื่นจึงมีอยู่ มันไม่มีอยู่มิได้หรือ? อะไรคือความลับของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้?
เมื่อมนุษย์ได้คิดถึงภาวะ ‘การมีอยู่’ ของเขาไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้คำถามเหล่านี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คำถามขยายตัวไปอย่างไม่สิ้นสุด ดังที่เรามักได้ยินเด็กๆตั้งคำถามต่อโลกใหม่ที่พวกเขาสัมผัส ประเภทคำถามที่ว่า ท้องฟ้ามีที่สิ้นสุดหรือไม่? ดวงดาวบนท้องฟ้ามีจำนวนเท่าใด? อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุด? อะไรคือสิ่งที่เล็กที่สุด?
เมื่อมนุษย์ย้อนประวัติศาสตร์ตัวพวกเขาเอง ก็มีอายุไม่กี่พันปี แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ มันหมายความว่าอย่างไร? มนุษย์กลายเป็นตัวประหลาดที่ลอยล่องไปอย่างไร้จุดหมายในจักรวาลนี้อย่างนั้นหรือ? เราทุกคนเป็นเพียงอุบัติการณ์ที่อธิบายไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่มนุษย์ทุกคนมิอาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือ ‘ความตาย’ ซึ่งทำให้มนุษย์คิดไปถึง‘การมีอยู่’ของชีวิตของเขาหลังจากนั้น
‘ความตาย’ ทำให้มนุษย์หันไปเปรียบเทียบชีวิตของเขากับจักรวาลที่ห้อมล้อมเขาอยู่ กับโลกที่เขาอาศัยอยู่ มนุษย์เสมือนผงธุลีที่ปลิวว่อนไร้คุณค่าใดๆ ช่วงเวลาของเขาบนโลกนี้สั้นยิ่งนักเมื่อเทียบกับความยาวนานของสิ่งที่ปรากฏอยู่รอบตัวเขา นั่นหมายความว่าชีวิตเขาจะไร้ค่าอย่างนั้นหรือ?
คำถามต่างๆต่อการมีอยู่ของมนุษย์ที่ได้ประดังเข้ามา ทำให้มนุษย์อยู่ในสภาพที่แทบ‘เสียสติ’
คำถามที่เกิดขึ้นต่อ‘การมีอยู่’ของตัวมนุษย์เอง เป็นสาระที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องหาคำตอบ ว่าไปแล้ว มนุษย์ต้องจริงจังกับคำถามนี้ จนไม่สามารถสูญเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระใดๆได้อีกแล้ว มนุษย์ต้องหันมาจับมือกันเพื่อร่วมหาคำตอบต่อคำถามนี้
ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ถูกบีบคั้นให้หาคำตอบต่อคำถามนี้ ชีวิตมนุษย์ที่ ‘ปรากฏ’ อยู่ ชี้ให้เห็นว่า มันต้องมีคำตอบ ไม่ว่าจะเลือกตอบหรือไม่ตอบก็ตาม ดังบางคนเห็นว่าไม่ต้องตอบ เพราะปวดหัว มีชีวิตไปตามที่เราอยากจะเป็น เกิดมาแล้วก็ตายไป คนที่คิดเช่นนี้นั้น ความจริงเขาได้ให้คำตอบไปแล้วในแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกเราทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มักจะให้คำตอบต่อ‘การมีอยู่’ของชีวิตแล้ว ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ไม่ระบอบใดก็ระบอบหนึ่ง
เมื่อประมาณพันสี่ร้อยปีก่อนหน้านี้ได้มีชายคนหนึ่งชื่อว่า มุฮัมมัด ชาวอาหรับ เผ่ากุรอยชฺ ได้ปลีกตัวเองไปนั่งใคร่ครวญชีวิตในถ้ำฮิรออ์ บนภูเขา บริเวณเมืองมักกะฮฺ ในคาบสมุทรอาหรับ ชายผู้นี้ได้อุทิศตัวเองเพื่อทำความเข้าใจต่อ‘การมีอยู่’ของชีวิต แล้ววันหนึ่งท่านได้เดินลงมาจากถ้ำ แล้วประกาศว่า ท่านได้รับการติดต่อจากพระผู้สร้าง ซึ่งได้เปิดเผยความลับแห่ง‘การมีอยู่’ให้แก่ท่าน
เนื้อหาต่างๆที่ถูกเปิดเผยผ่านชายชาวอาหรับคนนี้ ได้อธิบายรูปแบบชีวิตของมนุษย์ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่ง อธิบายการมีอยู่ของตัวมนุษย์และจักรวาล นอกจากนี้ ยังได้เสนอแบบแผนการดำเนินชีวิตให้แก่มนุษย์ในทุกแง่ทุกมุมอีกด้วย
ความหมายของ‘การมีอยู่’ ที่ชายที่ชื่อมุฮัมมัดนำเสนอนั้นถูกเรียกว่า ‘อิสลาม’ ซึ่งมีความหมายสำคัญสองด้าน ด้านที่หนึ่งคือ ‘การยอมจำนนโดยสิ้นเชิงต่อพระผู้สร้าง’ และด้วยการยอมจำนนเช่นนี้เองที่ทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายต่างดำเนินไปท่ามกลางความกลมกลืน เรียกว่า‘สันติภาพ’ นี่คือความหมายด้านที่สองที่ตามมา
การให้ความหมายเช่นนี้เป็นการอธิบายทุกสรรพสิ่งว่าเป็นเอกภาพเดียวกัน โดยก่อเกิดมาจากปฐมเหตุเดียวกัน มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหมดจึงมิอาจปฏิเสธแบบแผนสากลนี้ได้
มุฮัมมัด ยังได้ย้ำอีกว่า การติดต่อจากพระผู้สร้างเพื่อยืนยันถึงสัจธรรมข้อนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับท่านเป็นคนแรก แต่ได้เกิดกับมนุษย์ก่อนหน้าท่านมากมาย ท่านได้กล่าวถึงพระเยซู โมเสส อับราฮัมและท่านอื่นๆอีกจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม มุฮัมมัดได้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า ตัวคำสอนที่ปรากฏในท่านทั้งหลายเหล่านั้นถูกดัดแปลง ตัดต่อเพิ่มเติม ดังนั้น ตัวของท่านจึงปรากฏตัวพร้อมกับย้ำฐานะของผู้ที่ได้รับการติดต่อจากพระเจ้าคนสุดท้ายของโลก เพื่อปกป้องคำสอนนี้ให้พ้นจากการถูกบิดเบือน
ในวันนั้นมุฮัมมัด ได้นำ‘อิสลาม’ เข้าไปจัดการแปรเปลี่ยนชีวิตในทุกๆด้าน ทุกแง่ทุกมุม หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือการเข้าไปพลิกสังคมมนุษย์โดยสิ้นเชิง
จากมุฮัมมัด คนเดียว กลายเป็นชุมนุมของผู้ศรัทธาที่มักกะฮฺ จนสามารถสถาปนารัฐอิสลามที่นครมะดีนะฮฺ จนกระทั่งได้นำคาบสมุทรอาหรับทั้งหมดสู่ร่มเงาอิสลามได้ หลังจากท่านเสียชีวิตไปอิสลามก็ก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
‘อิสลาม’ถูกนำไปจัดการกับปัญหาการกดขี่ข่มเหง ความอยุติธรรม และปัญหาสังคมชนิดต่างๆ ด้วยการใช้แนวคิด ‘การยอมจำนนโดยสิ้นเชิงต่อพระผู้สร้าง’ เพื่อสถาปนาสังคมแห่ง ‘สันติภาพ’ ที่แท้จริงขึ้นมา
การประกาศ‘อิสลาม’ ได้กลายเป็นจุดสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เนื่องจากได้มีผู้ยอมรับ ‘อิสลาม’ ในฐานะคำอธิบายชีวิต ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ด้วยจำนวนมหาศาล อีกทั้งส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างกว้างขวาง
ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อต่อคำอธิบายต่อ‘การมีอยู่’ ที่นำเสนอผ่านชายผู้นี้ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติถึงอิทธิพลของชายผู้นี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ช่างดึงดูดจิตใจให้ผู้แสวงหาทั้งหลายกระหายศึกษาและเรียนรู้เป็นที่สุด ถ้าหากเขายังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อยู่
มนุษย์ที่ต้องร่วมรับรู้ต่อปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนอันเดียวกัน คือปัญหาของ‘การมีอยู่’
..................
โดย อัล อัค
ที่มา: gotoknow