อิสลามกับการฝังศพ
ทำไมศาสนาอิสลามถึงได้ห้ามการเผาศพ?
ตอบโดย สถาบันชี้ขาดปัญหาศาสนา ดารุลอิฟตาอฺ แห่งอียิปต์
การเผาร่างไร้วิญญาณ หรือการเผาศพนั้น ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักการอิสลาม เพื่อเป็นการให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ และเพื่อปกป้องไม่ให้ศพเกิดความเจ็บปวด เพราะแท้จริงแล้วผู้เสียชีวิตนั้น เขาจะได้รับความเจ็บปวดจาการกระทำของคนที่มีชีวิตอยู่ ดังที่ท่านรสูล(ซ.ล.) ได้เคยบอกกล่าวเอาไว้
แท้จริงแล้ว “การตาย” นั้น มิใช่หมายถึงการสูญสลายหายไป แต่มันหมายถึง การย้ายจากวิถีชีวิตรูปแบบหนึ่ง ไปสู่วิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา จะยังคงมีอยู่เหมือนกับตอนที่เขายังมีชีวิต แท้จริงท่านรสูล(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า:
كَسْرُ عَظْمِ الْمَيِّتِ كَكَسْرِهِ حَيًّا
“การหักกระดูกของผู้ตาย ก็เหมือนกับการหักกระดูกของเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่(คือ ห้ามกระทำเพราะเป็นบาป)” (บันทึกโดย ท่านอิมาม อะหฺมัด ,ท่านอะบู ดาวูด และท่านอิบนุ มาญะฮฺ)
วัลลอฮุ ตะอาลา อะลัม
ดู ตำรา سؤالات الأقليات โดย สถาบันชี้ขาดปัญหาศาสนา ดารุลอิฟตาอฺ แห่งอียิปต์ หน้าที่ 190 สำนักพิมพ์ ดารุล กุตุบ วัล วะษาอิก อัล-เกามียะฮฺ ไคโร
ในอิสลามให้เป็นเรื่องที่ง่าย เเม้กระทั่งมีการเสียชีวิตอิสลามต้องจัดการศพภายใน24.ชม.หลังจากเสียชีวิต
ใครคือผู้คิดริเริ่มวิธีการจัดการศพของแต่ละศาสนา
อิสลาม --- ฝัง (พื้นที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ -- ฝังซ้ำได้)
คริสต์ --- ฝัง (ต่างจากอิสลาม?)
พุทธ --- เผา
พราหมณ์ ฮินดู --- ???
ทำไมอิสลาม จึงจัดการกับศพ ด้วยวิธีการฝัง
อัลลอฮุอักบักร อัลลอฮฺทรงสร้างทุกอย่างเป็นระบบและสมดุลยิ่ง
จาก ดินสู่ดิน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากดิน คือ ท่านนบีอดัมมนุษย์คนเเรก
ธาตุคาร์บอน เป็นองค์ประกอบ พบในร่างกายของมนุษย์ ในสิ่งแวดล้อม ในดิน ในอาหารที่เรากินเข้าสู่ร่างกาย
เกิดการหมุนเวียน เป็น "วัฏจักรคาร์บอน"
อิสลามเป็นศาสนาเดียวเท่านั้น ที่อนุรักษ์และสร้างสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ตั้งแต่ ศพแรก ของโลกดุนยา ตราบจนวันกิยามะฮฺ
ศพเเรกที่เสียชีวิตพระองค์ทรงตรัวไว้ในกุรอาน โดยส่งอีกามาคุ้ยดินฝัง เพื่อสอนบุตรของนบีอดัม กอบิ้ล ซึ่งฆ่าน้องชายเสียชีวิต
فَبَعَثَ اللَّهُ غُرَابًا يَبْحَثُ فِي الْأَرْضِ لِيُرِيَهُ كَيْفَ يُوَارِي سَوْءَةَ أَخِيهِ قَالَ يَا وَيْلَتَا أَعَجَزْتُ أَنْ أَكُونَ مِثْلَ هَٰذَا الْغُرَابِ فَأُوَارِيَ سَوْءَةَ أَخِي فَأَصْبَحَ مِنَ النَّادِمِينَ ( 31 ) อัล-มาอิดะฮฺ - Ayaa 31
แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ส่งกาตัวหนึ่งมาคุ้ยหาในดิน เพื่อที่จะให้เขาเห็นว่าเขาจะกลบศพน้องชายของเขาอย่างไรเขากล่าวว่า โอ้ความพินาศของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นกาตัวนี้แล้วกลบศพน้องชายของฉันเชียวหรือนี่? แล้วเขาก็กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ตรอมใจ
อิสลาม ฝัง (พื้นที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ -- ฝังซ้ำได้) อิสลาม ไม่ต้องเสียเงินจองที่ดินที่จะฝังเเละไม่ต้องยุ่งยากเรื่องเรื่องทำบุญ 3 หรือ 7 หรือ10
หรือกี่วัน เพราะซุนนะฮท่านนบี ให้ทำดังนี้
ท่านนบี (ซ.ล.)ส่งเสริมให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารไปเลี้ยงครอบครัวผู้ตาย ดังที่มีรายงานว่า เมื่อได้รับข่าวการตายของยะฮฟัร ท่านนบี (ซ.ล.) สั่งแก่เหล่าเศาะหาบะฮว่า
اِصْنَعُوْا لآلِ جَعْفَرِ طَعَامًا فَقَدْ اَتَاهُمْ مَايُشْغِلُهُمْ
“พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวยะฮฟัร ความจริง สิ่งที่นำความทุกข์แก่พวกเขา ได้มาประสบกับพวกเขา” – อัตติรมิซีย์ระบุว่า เป็นหะดิษ หะซัน และอัลหากิมระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
และ ญะรีร บุตร อับดุลลอฮ อัล-บะญะลี ซึ่งมีฐานะเป็นเศาะหาบะฮ กล่าวว่า
كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنِيعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ النِّيَاحَةِ
พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกันที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกัน หลังจากที่ฝังมัยยิต เป็นส่วนหนึ่งของการนิยาหะฮ(ที่ต้องห้าม)- รายงานโดย อะหมัด อัลบานียได้ระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเหียะ ในหนังสือ อะหกามุ้ลญะนาอิซ หน้า 167
อัลมะนาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า
قال القرطبي: الاجتماع إلى أهل الميت وصنعهم الطعام والمبيت عندهم كل ذلك من فعل الجاهلية، قال: ونحو منه الطعام الذي يصطنعه أهل الميت في اليوم السابع، ويجتمع له الناس يريدون به القربة والترحم عليه، وهذا لم يكن فيما تقدم، ولا ينبغي للمسلمين أن يقتدوا بأهل الكفر
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์( ปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านตัฟสีร) กล่าวว่า:
การชุมนุม ที่ครอบครัวผู้ตาย ,การที่พวกเขาทำอาหารกินกันและพักแรมคืน ณ ที่พวกเขา ,ทั้งหมดดังกล่าวนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากการกระทำของพวกญาฮิลียะฮ ,เขา(อิหม่ามกุรฏุบีย) กล่าวว่า เช่น อาหารที่ครอบครัวผู้ตายทำ ในวันที่เจ็ด(ของการตาย) และ ให้บรรดาผู้คนมาร่วมชุมนุมกันสำหรับมัน ด้วยการกระทำนั้น เพื่อจุดประสงค์ที่จะทำความใกล้ชิด(อิบาดะฮต่ออัลลอฮ) และ เป็นการแสดงความสงสารต่อเขา(ผู้ตาย) และการกระทำแบบนี้ ไม่ปรากฏในยุคก่อนๆ ที่ผ่านมา และไม่สมควรแก่บรรดามุสลิม ที่จะตาม (แบบอย่าง)ชาวกาเฟร ....ฟัยฎุลเกาะดีร เล่ม 1 หน้า 534
มาดูอัลบะฮูตีย์ (ปราชณ์มัซฮับอิหม่ามอะหมัด) เขากล่าวว่า:
وَيُسَنُّ أَنْ يُصْنَعَ لِأَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامٌ يُبْعَثُ بِهِ إلَيْهِمْ ثَلَاثًا) أَيْ: ثَلَاثَةَ أَيَّامٍ، لِقَوْلِهِ: صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ;اصْنَعُوا لِآلِ جَعْفَرَ طَعَامًا فَقَدْ أَتَاهُمْ مَا يَشْغَلُهُمْ; رَوَاهُ الشَّافِعِيُّ وَأَحْمَدُ وَالتِّرْمِذِيُّ وَحَسَّنَهُ
และสุนัตให้ ทำอาหารสำหรับครอบครัวผู้ตายและส่งมันไปให้พวกเขา สามวัน) หมายถึงสามวัน เพราะนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า “ พวกท่านจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวยะอฟัร เพราะแท้จริง สิ่ง(ความทุกข์เนื่องจากการตาย)ทำให้พวกเขาสาละวนได้ประสบกับพวกเขา รายงานโดย ชาฟิอี ,อะหมัดและอัตติรมิซีย์ และเขาระบุว่ามันเป็นหะดิษหะซัน (กัชชาฟุลกินาอฺ ของอัลบะฮูตีย์ เล่ม 2 กิตาบุลญะนาอิซ)
เข้าใจให้ถูกต้องนะ ทำไปให้บ้านผู้ตาย ไม่ใช่ให้บ้านผู้ตายทำเลี้ยง อิสลามไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เรียบง่าย เเม้กระทั่งการเสียชีวิต
การตายคือ จุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ ด่านเเรก คือ หลุมฝังศพ สิ่งที่จะติดตัวเราไป คือ การละหมาด ความดีเเละความชั่ว
ส่วนผลบุญที่จะไหลถึงคนตายมีดังนี้
โดยท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า:
"มีความดีเจ็ดประการ ที่ผลบุญของมันจะยังคงต่อเนื่องไม่ขาดสายแม้ผู้เป็นบ่าวจะสิ้นลมหายใจอยู่ในหลุมศพไปแล้ว คือ:
การที่คนคนหนึ่งได้สั่งสอนเผยแผ่ความรู้, หรือขุดแม่น้ำลำธาร, ขุดบ่อน้ำ, ปลูกต้นอินทผลัม, สร้างมัสยิด, แจกจ่ายมุศหัฟ หรือ มีลูกที่ดีคอยวิงวอนขออภัยโทษให้แก่เขาหลังจากที่เขาตายไป"
(บันทึกโดยอัล-บัซซารฺ ในกัชฟุลอัสตารฺ หะดีษเลขที่ 149 โดยเชคอัล-อัลบานีย์ระบุว่าเป็นหะดีษที่อยู่ในระดับหะสัน)
ที่มา: www.sunnahstudent.com