“อานี มีเรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่จะคุยด้วย” นี้ถือเป็นมูกอดดีมะห์ ของการพูดคุยกันของคน 3 คน ในครอบครัวฉันในวันหนึ่ง
แม่นั่งนิ่งคอยสังเกตอากัปกริยาของฉัน โดยให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “อานี ทั้งพ่อและแม่ได้ตอบรับการสู่ขอจากชายคนหนึ่งสำหรับลูก”
“อะไรน่ะ !” ฉันอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง กับสิ่งที่พ่อได้พูดมา เพราะฉันยังไม่คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวในเวลานี้ ฉันยังคำนึงถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉัน ที่ฉันต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ผ่านการศึกษาที่ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดๆ มาเป็นอุปสรรคสำหรับความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันนี้
และแน่นอนการมีครอบครัวก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ฉันจึงไม่คิดที่จะมีพันธะหรือภาระผูกมัดกับใครทั้งสิ้น
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกับอานีก่อน ๆ ที่จะตกลงอะไร” ฉันเถียงกับพ่อ เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใด ๆ กับฉัน ฉันคิดว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอนาคตและชีวิตของฉัน ๆ จะต้องร่วมตัดสินใจด้วย
พ่อนั่งนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าพ่อกับแม่ปรึกษากับอานีก่อน เราก็รู้ว่าอานีจะตอบอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าอานี จะต้องตอบว่ายังไม่พร้อม ถ้าเช่นนี้แล้วเมื่อไรเล่า ที่อานีจะพร้อม อานีจะมีชีวิตอยู่เช่นนี้อีกนานแค่ไหน ?”
ฉันนิ่งเงียบ แล้วแม่ก็พูดต่อ “ในฐานะผู้ใหญ่ เราก็คาดหวังว่า ลูกซึ่งเรารักและหวงมากๆ นี้ จะต้องมีสามีที่พร้อมจะปกป้องและคุ้มครองชีวิตลูก”
“เราไม่ได้ต้องการจะปล่อยลูกและทิ้งภาระให้กับคนอื่น แต่ลูกต้องเข้าใจว่า นี้คือความรับผิดชอบของพ่อกับแม่ในการหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวของตนเอง” เสียงของแม่เต็มไปด้วยความใส่ใจ แต่ฉันยังไม่ยอมเข้าใจและรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น
“อานี! ” พ่อเรียกชื่อฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากที่เห็นฉันนิ่งเงียบมานาน แล้วพูดว่า“จงมั่นใจเถิดว่า การที่พ่อและแม่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพื่อสิ่งดีๆ สำหรับตัวของอานี เราหวงอานีเหลือเกิน”
เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จากฉัน แม่ก็พูดตัดบทออกไปว่า “นี้แหวนของเขา จงสวมเถิดลูก” แม่วางกล่องกลมสีแดงเล็กๆ หน้าฉัน แล้วก็เดินออกไป
ชีวิตฉันในตอนนี้ เป็นไปด้วยความสับสนอลหม่าน หลากหลายคำถามเวียนว่ายอยู่ในห้วงคำนึงของฉัน ถ้าฉันตอบตกลงตามการตัดสินใจของพ่อแม่ นั้นก็หมายถึงฉันต้องละทิ้งอนาคตและความฝันของฉันเอง แต่ถ้าฉันปฎิเสธิ ก็ต้องหมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำให้กับพ่อแม่ ผู้ซึ่งมีบุญคุณอย่างล้นเหลือต่อชีวิตฉัน ปราศจากท่านทั้งสอง ฉันคงไม่อาจจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้ฉันตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน
ภาวะทางจิตใจของฉันกำลังห้ำหั่นและต่อสู้กันเอง ฉันจะต้องเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก คือการปฎิเสธิการแต่งงาน หรือฉันจะต้องตามการตัดสินใจของพ่อแม่ ถ้าฉันเอาตัวเองเป็นหลัก นั้นก็หมายถึงการสร้างความเจ็บช้ำกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ช้ำใจกับฉัน ชีวิตฉันต่อไปจะมีบัรกัตอย่างไร ?
กาลเวลาผั่นผ่านไปหลายวัน กับห้วงคำนึงอันอยากที่จะได้บทสรุปที่ลงตัว... เป็นไปได้อย่างไรกันที่ฉันจะตอบรับแต่งงานกับคนที่ฉันยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตามาก่อน การแต่งงานไม่ไช่การตอบโจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่มีสูตรสำเร็จตายตัวอยู่แล้ว
เรื่องของชีวิตคู่ที่จำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนตลอดทั้งชีวิต ปราศจากความเข้าใจและการโอนอ่อนผ่อนปรนต่อกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งสองชีวิต สองจิตใจ จะมาหลอมรวมเป็นหนึ่งในฐานะสามีภรรยาได้เรื่องของชีวิตครอบครัวหลายต่อหลายคู่ที่ผ่านหูและผ่านตาฉันเป็นจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบลงด้วยการแตกแยก ทั้งสองคนประคับประคองชีวิตคู่ได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น หลังจากนั้นครอบครัวก็ต้องล้มสลาย ประดุจเรือที่แล่นผ่านท้องทะเลลึก ต้องเผชิญกับภาวะอากาศและคลื่นลมที่แปรปรวน และในที่สุดเรือก็อับปางลง เศษชิ้นส่วนพังกระจายระเนระนาดปลิ่วว่อนตามแต่คลื่นลมจะพัดพาไป
และถ้ามีลูก ลูกก็ต้องเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ต้องผจญกับความทุกข์จากการพลัดพราก
“ยาอัลเลาะห์ โปรดช่วยฉันในการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับชีวิตนี้ จงชี้แนะทางออกสำหรับชีวิตฉันด้วย ขอพระองค์จงอย่าให้ฉันต้องเดียวดายในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของชีวิตนี้โอ้อัลเลาะห์ ชีวิตฉันในตอนนี้ต้องเผชิญกับความบีบคั้นอย่างสุดแสนทรมาน ระหว่างความต้องการของฉันเอง กับความประสงค์ของพ่อแม่โอ้อัลเลาะห์ โปรดชี้แนวทางให้กับฉันด้วย....”
ที่มา: http://yuwita.blogspot.com/2006/11/1.html