ฉันอยากทราบจากท่านเชค ให้ช่วยเตือนบรรดามุสลิม เกี่ยวกับฮุกุมของการอ่านอัลกุรอานให้แก่คนตาย มันเป็นที่อนุญาตหรือเป็นที่ต้องห้าม และมีฮุกุมว่าอย่างไรเกี่ยวกับหะดีษที่มีปรากฏในเรื่องนี้ ?
การอ่านอัลกุรอานให้แก่คนตาย มีบทบัญญัติไว้อย่างไร?
โดย...เชค บินบาส รอฮิมาอุลลอฮ์
คำถาม: ฉันอยากทราบจากท่านเชค ให้ช่วยเตือนบรรดามุสลิม เกี่ยวกับฮุกุมของการอ่านอัลกุรอานให้แก่คนตาย มันเป็นที่อนุญาตหรือเป็นที่ต้องห้าม และมีฮุกุมว่าอย่างไรเกี่ยวกับหะดีษที่มีปรากฏในเรื่องนี้ ?
คำตอบ: การอ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตายนั้น ไม่มีหลักฐานที่มายืนยันและก็ไม่มีบทบัญญัติในเรื่องนี้ด้วย แต่การอ่านอัลกุรอานมีบทบัญญติให้อ่านในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์และจะได้ใช่สติปัญญาใคร่ครวญต่ออัลกุรอาน
สำหรับการอ่านให้แก่ผู้ตายที่หลุมฝังศพของเขานั้น หรืออ่านหลังจากที่มีใครเสียชีวิตก่อนที่จะนำไปฝัง หรืออ่านในสถานที่อื่นๆ โดยมีเจตนาเป็นการอ่านมอบให้แก่ผู้ตายนั้น สำหรับประเด็นนี้เราไม่ทราบถึงหลักฐานที่มา
บรรดานักวิชาการได้แต่งตำราในเรื่องดังกล่าว และมีข้อเขียนต่างๆมากมาย โดยที่นักวิชาการบางท่านอนุญาตให้ทำการอ่านให้แก่ผู้ตาย โดยมีการส่งเสริมให้อ่านให้แก่ผู้ตายหลายๆจบ และถือว่าการอ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตายเหมือนกับการทำซอดาเกาะให้แก่ผู้ตาย
แต่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้มันเตาฟีกียะห์ หมายถึง แท้จริงการอ่านอัลกุรอานมันเป็นหนึ่งจากการทำอิบาดะห์ ดังนั้นไม่อนุญาตให้กระทำในเรื่องของอิบาดะห์เว้นแต่มีบทบัญญัติและได้รับการยอมรับจากท่านนบี โดยที่ท่านได้กล่าวว่า
"ใครที่ได้กระทำการงานหนึ่งขึ้นมา โดยที่มันไม่ได้เป็นกิจการงานของเรา(ไม่ได้มีระบุไว้ในบทบัญญัติ) ดังนั้นการงานนั้นก็ถูกปฏิเสธ"
และเราก็ไม่พบบทบัญญัติที่เป็นคำสั่งใช้ให้อ่านอัลกุรอานให้แก่ผู้ตาย
ฉะนั้นสมควรที่จะปฏิบัติตามตามรากฐานเดิมที่มีมา คือการประกอบอิบาดะห์ต้องเป็นการกระทำที่ตั้งอยู่บนหลักฐาน ดังนั้นอย่าได้อ่านอัลกุรอานให้แก่บรรดาผู้ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งแตกต่างกับการทำซอดาเกาะห์(บริจาค) การขอดุอา การทำอัจญ์ทำอุมเราะห์ และชดเชยหนี้สินให้แก่พวกเขา ซึ่งการงานต่างๆเหล่านี้จะยังประโยชน์ให้แก่พวกเขา และได้มีหลักฐานยืนยันจากท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า
"เมื่อมนุษย์ได้เสียชีวิตลง การงานของเขาก็จบสิ้น เว้นแต่สามประการ คือ การบริจาคที่ยังคงให้ประโยชน์ ความรู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ และลูกที่ดี วิงวอนขอดุอาให้แก่เขา"
อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ ความว่า
"บรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขา (หมายถึงหลังจากบรรดาศอหาบะห์) โดยที่พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเราทรงโปรดอภัยให้แก่เรา และพี่น้องของเราผู้ซึ่งได้ศรัทธาก่อนหน้าเรา และขอพระองค์อย่าได้ให้มีการเคียดแค้นเกิดขึ้นในหัวใจของเราต่อบรรดาผู้ศรัทธา ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ"
(ซูเราะห์อัลหัชรฺ อายะที่ 10)
อัลลอฮฺ ได้ชมเชยแก่บรรดาผู้ที่มาที่หลัง ด้วยการขอดุอาให้แก่ผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเขา มันเป็นหลักฐานชี้ถึงบทบัญญัติในการขอดุอาให้แก่บรรดาคนตายที่เป็นมุสลิม และการขอดุอาจะยังประโยชน์แก่พวกเขา และเช่นเดียวกันการบริจาคจะยังประโยชน์แก่พวกเขาด้วยเหมือน หะดีษที่กล่าวไว้นั้นและสามารถกระทำได้โดยการนำเงินที่จะไปจ้างให้คนที่อ่านอัลกุรอานให้แก่คนตาย เอาไปบริจาคให้แก่คนยากจน คนยากไร้ โดยมีเจตนาว่าทำแทนให้แก่ผู้ตาย แน่นอนเงินที่บริจาคจะยังประโยชน์แก่ผู้ตาย และยังเป็นการใช้จ่ายไปในหนทางที่ปลอดภัยจากการอุตริ
สำหรับเรื่องการบริจาคนี้มีหลักฐานยืนยันในซอเอียะอัลบุคอรีย์
แท้จริงชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ แท้จริงมารดาของฉันได้เสียยชีวิตไปแล้ว และนางไม่ได้สั่งเสียอะไร หากนางได้กล่าวไว้ แน่นอนฉันจะบริจาค และนางจะได้รับผลบุญหรือไม่หากฉันได้ทำการบริจาคหาแก่นาง ?
ท่านนบี (ซ.ล.) ตอบว่า ได้
ดังนั้นท่านรอซูล ได้กล่าวว่า แท้จริงการบริจาคแทนผู้ที่เสียชีวิตนั้น การบริจาคนั้นจะยังประโยชน์แก่ผู้ตาย เช่นเดียวกัน การทำอุมเราะและทำฮัจญ์แทนผู้ตาย และมีหะดีษที่ได้ระบุในเรื่องนี้ เช่นเดียวกันการชดใช้หนี้สินแทนผู้ตายก็ยังประโยขน์แก่เขาด้วย
สำหรับการอ่านอัลกุรอานให้แก่เขาและคิดจะส่งผลบุญให้แก่เขานั้น หรือการละหมาด หรือ การถือศีลอดที่เป็นการสมัครใจให้แก่เขานั้น ไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้ และที่ถูกต้องการกระทำดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใช้
จากหนังสือ มัจมัวะฟาตาวา วามากอลาต มูตาเนาวิอะ เล่มที่ 4
แปลโดย... อิสมาอีล กอเซ็ม