มีชายมุสลิมคนหนึ่งสงสัยว่า ผมอยากทราบว่าหากผู้หญิงตายทั้งกลม จะละหมาดญะนาซะฮ์ตามปกติมั้ย? แล้วเด็กในท้องจะทำอย่างไรครับ?
มีชายมุสลิมคนหนึ่งสงสัยว่า ผมอยากทราบว่าหากผู้หญิงตายทั้งกลม จะละหมาดญะนาซะฮ์ตามปกติมั้ย? แล้วเด็กในท้องจะทำอย่างไรครับ?
ตอบโดย อ.อาลี เสือสมิง กล่าวว่า:
ให้ปฏิบัติเหมือนญะนาซะฮฺผู้หญิงปกติ 1 คน คืออาบน้ำ กะฝั่น ละหมาด ฝัง ส่วนเด็กในท้องไม่ต้องทำอะไรเพราะตายแล้ว ปล่อยให้อยู่ในท้องแม่ และฝังไปพร้อมกัน
เพิ่อมเติม ข้อควรรู้เพิ่มเกี่ยวกับพิธีศพ ในอิสลาม
ลักษณะการแบกศพ
อนุญาตให้เฉพาะมุสลิมีนเท่านั้นที่สามารถแบกศพได้ และส่งเสริมให้มีผู้คนเดินข้างหน้าและข้างหลังของผู้ที่คอยแบกศพ ส่วนยานพาหนะนั้นให้ตามข้างหลัง กรณีที่สุสานนั้นอยู่ไกลหรือมีปัญหาในการแบกศพอนุญาตให้นำขึ้นรถได้
สถานที่สำหรับฝังศพมุสลิม
ให้ทำการฝังศพมุสลิม ณ สุสานของบรรดาชาวมุสลิม ทั้งชายและหญิง ผู้ใหญ่หรือเด็ก และห้ามทำการฝังศพที่มัสยิดหรือสุสานของบรรดาผู้ไม่ใช่มุสลิม
ลักษณะการฝังศพ
การขุดหลุมเพื่อทำการฝังศพนั้นจำเป็นจะต้องขุดให้ลึกและกว้างพอ และตกแต่งหลุมให้เรียบร้อยดี เมื่อขุดไปถึงส่วนลึกของสุสานแล้วให้ทำช่องสำหรับวางศพทางทิศของกิบลัต โดยให้ขนาดของช่องดังกล่าวมีความพอดีกับศพเพื่อที่สามารถวางศพไว้ข้างในได้ ซึ่งเรียกช่องดังกล่าวว่า ละหัด ซึ่งเป็นการดีกว่าการสร้างหลุมแบบธรรมดาไม่มีละหัด และให้ผู้ที่นำศพลงหลุมได้กล่าวดุอาอ์ว่า
«باِسْمِ الله، وَعَلَى سُنَّةِ رَسُولِ الله -وفي رواية- وَعَلَى مِلَّةِ رَسُولِ ا٬لله». أخرجه أبو داود والترمذي
คำอ่าน บิสมิลลาฮฺ วะอะลา สุนนะติ เราะสูลิลลาฮฺ อีกรายงานหนึ่งมีว่า วะอะลา มิลละติ เราะสูลิลลาฮฺ
ความว่า “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ และบนแนวทางของท่านรอซูลุลลอฮฺ – ในรายงานอื่นมีว่า และบนศาสนาของท่านรอซูลุลลอฮฺ”
(หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด หมายเลข 3213 และอัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 1046)
แล้วให้นำศพไปวางในช่องละหัด โดยให้ศพตะแคงขวาหันไปทางทิศของกิบลัต หลังจากนั้นให้วางเรียงก้อนอิฐเพื่อปิดช่องละหัด และทำการปิดช่องลมระหว่างก้อนอิฐนั้นด้วยดินเหนียว หลังจากนั้นจึงทำการกลบด้วยดินโดยให้ถมลงไปในหลุมศพและทำให้ดินพอกสูงขึ้นจากระดับพื้นประมาณหนึ่งคืบ
การก่อสร้างหรือก่อปูนบนสุสาน
ห้ามไม่ให้ทำการสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ บนหลุมศพ หรือการก่อปูน หรือการเหยียบลงบนหลุมศพ หรือทำการละหมาด ณ หลุมศพ หรือใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นมัสยิด หรือจุดตะเกียงให้ความสว่าง หรือทำการโปรยดอกไม้บนหลุมศพ หรือทำการเฏาะวาฟรอบสุสาน หรือเขียนข้อความต่างๆ ที่สุสาน หรือใช้เป็นสถานที่สำหรับอีด เป็นต้น
การสร้างมัสยิดบนกุบูรฺหรือหลุมศพ
ห้ามทำการสร้างมัสยิดบนสุสานอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกันนี้ ห้ามทำการฝังศพในบริเวณมัสยิด และหากมัสยิดดังกล่าวสร้างขึ้นมาก่อนจะมีกุบูรฺนั้นให้ทำการปรับเกลี่ยพื้นที่กุบูรฺนั้นออกไป หรือกรณีที่ศพเพิ่งถูกฝังใหม่ๆ ให้ทำการขุดนำศพออกเพื่อย้ายไปฝังที่สุสาน กรณีที่มีการสร้างมัสยิดบนกุบูรฺที่มีอยู่ก่อนแล้ว ให้เลือกระหว่างการรื้อถอนมัสยิดหรือรื้อถอนรูปลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นกุบูรฺนั้นออกไปเสีย และทุกๆ มัสยิดที่สร้างขึ้นเหนือกุบูรฺห้ามไม่ให้ทำการละหมาดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการละหมาดฟัรฎูหรือสุนัตก็ตาม
* ส่งเสริมให้ทำการขุดหลุมฝังศพให้ลึกพอที่มิให้ศพส่งกลิ่นออกมาได้ และลึกพอที่จะไม่ให้สัตว์มาขุดคุ้ยศพได้ ให้ทำช่องสำหรับวางศพทางด้านฝั่งของกิบลัตซึ่งเรียกว่าช่องละหัด ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งดีกว่าการทำช่องแบบชักก์หรือการขุดช่องให้ลึกลงไปกลางหลุมศพแบบปกติให้พอดีกับร่างของศพ จากนั้นให้ทำการปิดช่องดังกล่าวด้วยก้อนอิฐ(หรือแผ่นไม้)แล้วจึงทำการกลบด้วยดิน
* ส่งเสริมให้ทำการฝังศพในเวลากลางวัน และอนุญาตให้ทำการฝังศพในเวลากลางคืนได้
ลักษณะการฝังศพของผู้เสียชีวิต
ไม่อนุญาตให้ทำการฝังศพในหลุมฝังศพมากกว่าหนึ่งศพ นอกเสียจากกรณีจำเป็นเท่านั้น เช่นกรณีที่มีการตายหมู่และผู้ที่จะทำการขุดหลุมและฝังศพนั้นมีไม่เพียงพอ ซึ่งวิธีการก็คือนำศพของผู้เสียชีวิตที่คิดว่าเป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาผู้เสียชีวิตทั้งหมดวางไว้ในช่องละหัดสำหรับวางศพที่อยู่ทางฝั่งกิบลัต และไม่อนุญาตให้ใครก็ตามทำการขุดหลุมฝังศพเตรียมไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต หรือทำการเตรียมผ้าขาวเพื่อใช้ห่อศพตัวเองก่อนที่จะเสียชีวิต
การย้ายศพจากสุสานเดิม
อนุญาตให้ทำการย้ายศพจากสุสานเดิมไปยังสุสานอื่น กรณีที่การย้ายนั้นเป็นผลดีต่อศพเอง เช่น สุสานเดิมเกิดมีน้ำท่วม หรือ สุสานเดิมอยู่บริเวณสุสานของกาฟิร เป็นต้น เนื่องจากสุสานนั้นเป็นถิ่นที่อยู่ของผู้เสียชีวิตและเป็นที่สำหรับการไปเยี่ยมเยียนพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้จากไปและอยู่ ณ ที่สุสานดังกล่าวก่อน ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้ทำการย้ายจากสุสานเดิมของพวกเขา นอกจากในกรณีที่เป็นผลดีต่อตัวผู้ตายเท่านั้น
ใครจะเป็นผู้ที่นำศพลงในสุสาน
การนำศพลงในสุสานนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ชายเท่านั้น และบรรดาผู้ปกครองและเครือญาติของผู้เสียชีวิตมีสิทธิมากที่สุดในการทำหน้าที่นี้ และสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่นำศพของผู้หญิงลงในหลุมศพจะต้องเป็นผู้ที่มิได้ทำการร่วมเสพกับภรรยาของเขาในคืนก่อนวันทำการฝังศพ และส่งเสริมให้นำศพลงในสุสานจากทางท้ายของหลุม โดยให้ค่อยๆ นำส่วนที่เป็นศรีษะของศพลงไปก่อน และอนุญาตให้นำศพลงในสุสานจากด้านไหนก็ได้ และห้ามไม่ให้ทำการหักกระดูกของศพ
การเดินตามญะนาซะฮฺสำหรับผู้หญิง
ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเดินตามญะนาซะฮฺ เนื่องจากความอ่อนแอ ความอ่อนไหว การไม่อดกลั้นที่มีในพวกเธอทั้งหลาย และไม่สามารถแบกรับและกลั้นความรู้สึกทุกข์ได้ ซึ่งจะทำให้คำพูดและการกระทำต้องห้ามต่างๆ หลุดออกจากพวกเธอ ซึ่งขัดแย้งกับความอดทนที่จำเป็นต้องมี
การทำเครื่องหมายที่หลุมศพ
ส่งเสริมบรรดาวะลีของผู้เสียชีวิตให้ทำเครื่องหมายที่หลุมศพด้วยก้อนหินหรืออื่นๆ ที่คล้ายกัน เพื่อทำการฝังศพญาติในครอบครัวของเขาไว้ใกล้ๆ ที่ดังกล่าวต่อไป และสามารถรู้ตำแหน่งของหลุมศพดังกล่าวได้
* กรณีที่มีการเสียชีวิตท่ามกลางทะเลและกลัวว่าศพจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ทำการอาบน้ำให้กับศพแล้วทำการห่อและละหมาดให้กับศพ หลังจากนั้นให้ปล่อยศพดังกล่าวให้จมลงไปในทะเล และหากสามารถเก็บศพดังกล่าวไว้โดยที่ศพไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้รอจนกระทั่งถึงฝั่งแล้วให้นำศพไปฝังในสุสานต่อไป
* อวัยวะที่ขาดวิ่นของมุสลิมที่ยังมีชีวิตนั้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ ไม่อนุญาตให้ทำการเผา และไม่ต้องทำการอาบน้ำให้หรือละหมาดให้แต่อย่างใด หากแต่ให้ทำการห่อด้วยชิ้นผ้าแล้วทำการฝังที่สุสาน
* ส่งเสริมให้มุสลิมยืนขึ้นให้เกียรติแก่ศพเมื่อมีขบวนญะนาซะฮฺผ่านมา หรือหากจะนั่งอยู่ก็ถือว่าไม่เป็นไรทั้งสิ้น
การตักเตือนหรือการให้โอวาท ณ สุสาน
ส่งเสริมให้นั่งเมื่อมีการวางศพและขณะที่ทำการฝังศพ และบางครั้งก็ให้มีการตักเตือนและกล่าวโอวาทแก่ผู้คนเพื่อให้รำลึกเกี่ยวกับการตายและชีวิตหลังความตาย โดยผู้อาวุโสและผู้รู้ในบรรดาผู้คนที่มาด้วยทั้งหลาย
มุสลิมควรทำอะไรหลังการฝังศพ
ส่งเสริมให้ผู้คนที่มาหลังจากทำการฝังศพเรียบร้อยแล้วนั้นยืนอยู่ ณ หลุมศพเพื่อขอดุอาอ์ให้กับผู้เสียชีวิตดังกล่าวได้ยืนหยัดมั่นคงต่อการทดสอบในกุบูรฺ และขออภัยโทษให้กับเขา พร้อมกับสั่งผู้ที่อยู่ร่วมด้วยนั้นขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร)ให้กับผู้ตาย และขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺให้เขายืนหยัดมั่นคงต่อการทดสอบ และห้ามทำการตัลกีนหลังจากการฝัง เนื่องจากตัลกีนนั้นให้กระทำขณะที่กำลังจะเสียชีวิตก่อนที่ผู้ตายจะสิ้นลม
ข้อปฏิบัติในการฝังศพ
ท่านอุกบะฮฺ บินอามิร เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้กล่าวว่า
«ثَلاثَ سَاعَاتٍ كَانَ رَسُوْلُ اللهﷺ يَنْهَانَا أَنْ نُصَلِّيَ فِيْهِنَّ أَوْ نَقْبر فِيْهِنَّ مَوْتَانَا: حِيْنَ تَطْلَع الشّمْس بَازِغَة حَتّى تَرْتَفِعَ، وَحِيْن يَقُوْم قَائِم الظَهِيْرة حَتّى تَمِيْلَ الشّمْس، وَحِيْن تضيف الشّمس لِلْغُروب (أي: تَمِيل) حَتّى تَغْرُب» [أخرجه مسلم]
“สามเวลาที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ห้ามไม่ให้เราละหมาด และไม่ให้เราฝังคนตายของเรา (คือ) ตอนตะวันกำลังโผล่ออกมาจนมันลอยขึ้นไปแล้ว และตอนที่มันอยู่ตรงกลางของกลางวันจนมันคล้อยไป และตอนตะวันเริ่มโพล้เพล้จนมันตกดินไปแล้ว” บันทึกโดยมุสลิม
ท่านอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา ได้กล่าวว่า«أَنّ النبيَّﷺ كَانَ إِذا أَدْخَلَ المَيِّتَ القَبْرَ قَالَ: بِسْمِ اللهِ وَبِاللهِ وَعَلى مِلّةِ رَسُوْلِ اللهِ» [أخرجه الترمذي]
“ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ขณะหย่อนคนตายเข้าในไปหลุม ท่านกล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ วะบิลลาฮฺ วะอะลา มิลละติ เราะสูลิลลาฮฺ” (ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ และด้วยพระองค์อัลลอฮฺ และขอให้(คนตายนี้)อยู่บนแนวทางของรซูลของอัลลอฮฺ)” บันทึกโดยอัต-ติรมิซียฺ
ท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้กล่าวว่า
«شَهِدْنَا بِنْتَ رَسُوْلِ اللهِﷺ - وَرَسُوْل اللهﷺ جَالِسٌ عَلىَ القَبْر - فَرَأَيْتُ عَيْنَيْهِ تَدْمَعَان، فَقَالَ: هَلْ فِيْكُم أَحَدٌ لَم يُقَارِف الْلَيْلَة؟ (أي: يُجَامِع أَهْلَه) فَقَالَ أَبُوْ طَلْحَة: أَنَا، قَالَ: فَانْزِلْ فِيْ قَبْرِهَا، فَنَزَلَ فِيْ قَبْرِهَا فَقَبَرَهَا» [أخرجه البخاري]
“เราได้อยู่ตอนฝังบุตรีของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ขณะที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺนั่งอยู่บนหลุม –ฉันเห็นที่ตาทั้งสองข้างของท่านมีน้ำตาไหล แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “มีพวกท่านคนใดที่ยังไม่ได้ร่วมหลับนอนกับภรรยาของเขาในคืนนี้บ้างไหม?” แล้วท่านอบู ฏ็อลหะฮฺ ได้กล่าวว่า “ฉันเอง” เขาเล่าต่อไปว่า แล้วท่านก็ให้เขาลงไปในหลุม และท่านก็ลงไปด้วย แล้วก็จัดการฝังนาง” บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ
islammore.com, alisuasaming.org