ความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าเป็นความเชื่อที่มีมานานนับตั้งแต่
ความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า (อัลลอฮฺ)
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
ความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าเป็นความเชื่อที่มีมานานนับตั้งแต่มีมนุษย์คนแรกบนโลกใบนี้แล้ว คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวที่เป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้
เมื่อกอบีลลูกชายของอาดัมไม่พอใจในตัวหญิงสาวที่พ่อของตนจับคู่ให้แต่งงาน แต่เขากลับไปชอบผู้หญิงที่พ่อของเขาจัดให้แต่งงานกับฮาบีลน้องชายของเขา อาดัมจึงให้ลูกชายทั้งสองของเขานำสิ่งของมาถวายต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ตัดสิน
นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์คนแรกมีความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าแล้ว
การที่มนุษย์มีความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าก็เพราะมนุษย์มีวิญญาณและโลกของวิญญาณมีอยู่ก่อนโลกวัตถุใบนี้ คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าก่อนที่วิญญาณทั้งหลายจะถูกส่งมายังร่างของมนุษย์บนโลกใบนี้ พระเจ้าได้ถามดวงวิญญาณทั้งหมดว่า “ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้าใช่ไหม?” ดวงวิญญาณทั้งหมดตอบรับ
เมื่อวิญญาณมาจุติในร่างของมนุษย์และมนุษย์มองไม่เห็นพระเจ้า แต่ตาเนื้อของมนุษย์บางคนมองเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าหวาดกลัว เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มนุษย์จึงเชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง จึงสมมุติอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นมาเป็นรูปร่างตามจินตนาการของตนและวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อวัตถุตัวแทนอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น
เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความไม่รู้และเข้าใจผิดเช่นนี้ พระเจ้าจึงได้คัดเลือกมนุษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมบางคนขึ้นมาเป็นผู้สั่งสอนมนุษย์ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีทั้งผลดีและผลร้ายนั้นมาจากอำนาจและพระประสงค์ของพระเจ้าองค์เดียว ไม่ได้เกิดจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์อื่นใด พระเจ้าเท่านั้นที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะและวิงวอนขอความช่วยเหลือ
หากใครศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาโดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานจะพบว่าผู้ที่พระเจ้าคัดเลือกขึ้นมาทำหน้าที่สั่งสอนมนุษย์ทุกยุคสมัย เช่น อับราฮัม โมเสส พระเยซู จะบอกถึงความจริงดังกล่าวเป็นเบื้องแรก แต่เมื่อบุคคลที่พระเจ้าคัดเลือกมาเป็นผู้ตักเตือนจากโลกนี้ไป ความคิดความเชื่อผิดๆดังกล่าวก็วกกลับมาเกิดขึ้นอีก
หลังสมัยโมเสส ชาวยิวส่วนใหญ่ซาบซึ้งในความพยายามของเอษราที่อุตส่าห์รวบรวมคำสอนและประวัติของโมเสสที่สูญหายไปจนถึงกับยกย่องเขาว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
หลังสมัยพระเยซู ชาวคริสต์ส่วนหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้าเนื่องจากการกำเนิดอันมหัศจรรย์ของท่านที่เกิดมาโดยไม่มีพ่อ แต่ด้วยการตีความอย่างผิดๆเกี่ยวกับการกำเนิดอันมหัศจรรย์ของพระเยซูนี้เองเป็นที่มาของหลักความเชื่อ “ตรีเอกานุภาพ” ซึ่งต่อมาได้เข้าไปเป็นความเชื่อทางศาสนาคริสต์ในอาณาจักรโรมันไบแซนติน
ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามก็มีความเชื่อว่าทูตสวรรค์(มลาอิก๊ะฮฺ) เป็นบุตรสาวของพระเจ้า
การยกฐานะมนุษย์บางคนเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะดีสักปานใดก็ตามถือเป็นการลดเกียรติของพระเจ้าลงมาเท่ากับมนุษย์ เพราะถ้าพระเจ้ามีบุตร นั่นก็หมายความว่าพระเจ้าต้องมีภรรยาเหมือนมนุษย์ทั่วไป นี่คือการดึงพระเจ้ามาอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ ความเชื่อผิดๆดังกล่าวมีอยู่แล้วในคาบสมุทรอาหรับ เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มประกาศหลักความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ชาวอาหรับที่เคารพบูชาเทวรูปนับร้อยรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ และชาวคริสเตียนที่มีความเชื่อในเรื่องตรีเอกานุภาพได้ส่งคณะตัวแทนมาถามท่านเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพระเจ้าในอิสลามที่ท่านกำลังเผยแผ่
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ดลใจให้นบีมุฮัมมัดตอบคนเหล่านั้นไปว่า...
“จงบอกพวกเขาเถิด อัลลอฮฺ(พระเจ้า)มีหนึ่งเดียวเท่านั้น พระเจ้าไม่พึ่งพาสิ่งใด แต่ทุกสิ่งต้องพึงพาพระองค์ พระองค์ไม่ได้ให้กำเนิดผู้ใดและไม่ได้กำเนิดมาจากผู้ใด พระองค์ไม่เหมือนสิ่งใดและไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์” (กุรอาน บทที่ 112)