เมื่อมุฮัมมัดแต่งงานในวัย 25 ปี กับคอดีญะฮ์เศรษฐินีวัย 40 ปี เขาได้รับ
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
เมื่อมุฮัมมัดแต่งงานในวัย 25 ปี กับคอดีญะฮ์เศรษฐินีวัย 40 ปี เขาได้รับของขวัญเป็นทาสเด็กคนหนึ่งชื่อเซด บินฮาริซะฮ์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการให้ทาสเป็นของขวัญในคาบสมุทรอาหรับเมื่อประมาณ 1,500 ปี ที่แล้ว เพราะถึงแม้ทาสจะเป็นมนุษย์ แต่ทาสคือมนุษย์ที่ถูกถือว่าไม่ต่างอะไรไปจากสินค้าที่สามารถไล่ล่า ลักพา กักขัง ซื้อขายและยกให้แก่ใครเหมือนสัตว์ก็ได้ การปฏิบัติเช่นนี้มีอยู่ก่อนแล้วแม้แต่ในอียิปต์โบราณและอาณาจักรโรมันที่โลกยกย่องว่าเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก
แต่สิ่งที่แปลกสำหรับชาวอาหรับทั่วไปในเวลานั้นก็คือ เมื่อมุฮัมมัดได้รับทาสวัยเด็กคนนี้เป็นของขวัญได้ไม่นาน เขาได้ปล่อยทาสเด็กคนนี้ให้เป็นอิสระ เซดจึงเป็นทาสคนแรกที่มุฮัมมัดปลดปล่อยก่อนมุฮัมมัดจะเป็นศาสนทูตผู้นำอิสลามมาเผยแผ่แก่ชาวอาหรับ
หลังจากเซดถูกจับตัวมาเป็นทาส พ่อของเขาร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าเซดเป็นตายร้ายดีอย่างไรและได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเซดจะกลับมาหาเขา พ่อของเซดได้บรรยายความรู้สึกของตนเองที่ต้องสูญเสียลูกชายเป็นภาษาอาหรับที่ใครได้ยินแล้วต้องขมขื่นไปกับเขาด้วย
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น คนในเผ่าของเซดบางคนได้เดินทางมายังมักก๊ะฮฺเพื่อทำพิธีฮัจญ์และมีบางคนจำเซดได้ คนเหล่านั้นจึงเล่าเรื่องความเป็นห่วงของพ่อของเขาให้ฟัง เซดได้บอกคนในเผ่าของเขาให้กลับไปบอกพ่อของเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง “ฝากบอกพ่อด้วยว่าฉันอยู่ใกล้ก๊ะอฺบ๊ะฮฺและสถานที่ทำพิธีฮัจญ์ พ่อไม่ต้องโศกเศร้าและห่วงใยใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องรีบมาหาฉัน เพราะฉันอยู่กับครอบครัวที่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนกับลูกชายของเขา”
เมื่อได้รับข่าวเช่นนั้น พ่อของเซดและลุงของเขาได้มุ่งหน้ามายังมักก๊ะฮฺทันที พ่อของเซดได้มาพบมุฮัมมัดและให้สัญญาว่าจะขอไถ่ตัวลูกชายไปด้วยเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ที่ต้องการ ดังนั้น มุฮัมมัดจึงเรียกตัวเซดมาและบอกพ่อของเขาว่า “เซดเป็นอิสระชน เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกอนาคตของเขาเอง ถ้าหากเขาต้องการกลับไปหาครอบครัวของเขา มุฮัมมัดก็จะปล่อยให้เขากลับไปโดยไม่รับเงินใดๆทั้งสิ้น”
หลังจากนั้น เซดได้ถูกเรียกตัวออกมาและเขาจำพ่อของเขาได้ แต่เขาบอกพ่อว่าเขาจะไม่กลับไปโดยให้เหตุผลว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวของมุฮัมมัดที่ทำให้เขารักคนผู้นี้มากกว่าคนอื่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุฮัมมัดจึงจูงมือเซดไปยังบันไดขึ้นก๊ะอฺบ๊ะฮฺที่ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการทำสัญญาและการเป็นพยาน หลังจากนั้น เขาได้ประกาศต่อผู้คนว่า “พวกท่านทั้งหลาย โปรดเป็นพยานด้วยว่านับแต่นี้ไป เซดคือลูกชายของฉันและเขามีสิทธิ์รับมรดกจากฉัน”
คำประกาศยืนยันดังกล่าวของมุฮัมมัดทำให้พ่อของเซดกลับไปด้วยความสบายใจ
เมื่อมุฮัมมัดได้รับสาส์นจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่เผยแผ่อิสลามเมื่ออายุ 40 ปี เซดเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่หันมารับอิสลามและติดตามรับใช้นบีมุฮัมมัดอย่างใกล้ชิด ในขณะที่เผยแผ่สั่งสอนอิสลาม สิ่งหนึ่งที่นบีมุฮัมมัดทำก็คือการปลดปล่อยทาสโดยอาศัยเงินจากภรรยา เพื่อนและบรรดาสาวกผู้ศรัทธาไปซื้อหรือไถ่ตัว ทาสหลายคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระและคนเหล่านี้เองที่ติดตามรับใช้การปฏิบัติภารกิจของนบีมุฮัมมัดอย่างยอมพลีชีวิตโดยไม่เสียดาย
ชะตาชีวิตของเซดถูกพระเจ้าลิขิตมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้อิสลามลบล้างประเพณีเดิมหลายอย่างของชาวอาหรับ นบีมุฮัมมัดจัดให้เขาแต่งงานกับหญิงสาวในตระกูลที่มีเกียรติเพื่อให้ผู้คนในเวลานั้นได้เห็นว่าแม้มนุษย์จะมีสถานะภาพทางครอบครัวที่ต่างกัน แต่ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน กระนั้นก็ตาม เซดก็มีชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่นนัก
เมื่อพระเจ้าต้องการยกเลิกประเพณีอาหรับโบราณที่ถือว่าบุตรบุญธรรมมีสถานะเหมือนบุตรแท้ๆ และพ่อบุญธรรมไม่สามารถแต่งงานกับภรรยาของบุตรบุญธรรมได้ นบีมุฮัมมัดได้สั่งเซดให้หย่าภรรยาที่กำลังระหองระแหงกัน และเมื่อครบกำหนดเวลารอคอยหลังการหย่าแล้ว นบีมุฮัมมัดได้แต่งงานกับภรรยาของเซดให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวอาหรับได้รู้ว่านับแต่นี้ต่อไป อิสลามได้ยกเลิกประเพณีดังกล่าวของชาวอาหรับแล้ว
หลังจากนั้น ประเพณีการรับบุตรบุญธรรมแบบดั้งเดิมของชาวอาหรับก็ถูกยกเลิก โดยอิสลามเมื่อมีคำบัญชาจากพระเจ้าลงมาว่า “มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาของผู้ใดในหมู่บุรุษของสูเจ้า แต่เขาเป็นศาสนทูตของพระเจ้าและเป็นนบีคนสุดท้าย”
ด้วยเหตุนี้ ประเพณีเดิมของชาวอาหรับที่ถือว่าบุตรบุญธรรมมีสถานะภาพเหมือนบุตรโดยสายเลือดที่สืบทอดมรดกกันได้จึงถูกยกเลิก และเมื่อมีคำบัญชาจากพระเจ้าลงมาอีกว่า “จงเรียกเขาเหล่านั้นตามชื่อพ่อของเขา....” เซดจึงกลับไปใช้ชื่อเดิมของเขาว่าเซด บินฮาริซะฮ์ มิใช่เซด บินมุฮัมมัดและมิได้ถูกถือว่าเป็นบุตรตามกฎหมายของมุฮัมมัดอีกต่อไป
หลังจากเซดถูกกำหนดบทบาทชีวิตให้มาช่วยนบีมุฮัมมัดในการสถาปนาบทบัญญัติแห่งอิสลามแล้ว พระเจ้าได้รับวิญญาณของเซดกลับไปอย่างมีเกียรติในสภาพของผู้พลีชีพในการประจัญบานกับกองทัพอันเกรียงไกรของอาณาจักรโรมันไบแซนตินในเดือนกันยายน ค.ศ.629