นี่เป็นเรื่องราวที่ละเอียดและน่าทึ่งที่สุดในคัมภีร์กุรอาน ซึ่งแสดงให้เห็น
เรื่องราวของนบียูซฟ (โจซฟ)
นี่เป็นเรื่องราวที่ละเอียดและน่าทึ่งที่สุดในคัมภีร์กุรอาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ ความโลภ ความเกลียด ความโอหัง ความรัก การหลอกลวง การวางแผนและความโหดร้ายของมนุษย์เช่นเดียวกับคุณสมบัติอันดีงานหลายอย่าง อันได้แก่ ความอดทน ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ ความมีเกียรติและความรัก
มีคำบอกเล่าว่าเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้มีการเปิดเผยเรื่องราวนี้ ขึ้นมาก็คือ พวกยิวได้ขอให้ท่านนบีมุฮัมมัดบอกพวกเขาถึงเรื่องราวยูซุฟผู้เป็นนบีคนหนึ่ง ของพวกเขา เรื่องราวของนบียูซุฟได้ถูกบิดเบือนไปในบางส่วนและบางส่วนได้ถูกตัดหรือไม่ ก็เรื่องเสริมเข้ามา ดังนั้น เรื่องราวของท่านจึงได้ถูกประทานมาในคัมภีร์กุรอานอย่างสมบูรณ์ในทุกราย ละเอียด
อัลลอฮฺได้ทรงเล่าว่า :“เราจะเล่าเรื่องราวและความจริงแก่เจ้า (มุฮัมมัด) ในลักษณะที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้เลย” (กุรอาน 12:3)
อัลลอฮฺยังได้ทรงกล่าวอีกว่า “(โอ้ มุฮัมมัด) ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้บอกเล่าแก่เจ้าถึงเรื่องราวของเหตุการณ์ในอดีต และเราได้ประทานข้อตักเตือนแก่เจ้าจากเราเอง ใครก็ตามที่หันไปจากมัน เขาจะแบกภาระหนักในวันแห่งการฟื้นคืนชีพเขาจะเป็นผู้แบกภาระนั้นตลอดไป และมันจะเป็นภาระอันหนักหน่วงที่เขาจะต้องแบกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ” (กุรอาน 20:99-101)
เรื่องราวของนบียูซุฟดำเนินไปตลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบอย่าง เกี่ยวเนื่องกันมันทำให้ท่านเกิดความรู้สึกถึงอำนาจและความสูงส่งของอัลลอฮฺ และการบริหารการปกครองของพระองค์ ถึงแม้จะถูกการแทรกแซงของมนุษย์เข้ามาท้าทายก็ตาม “อัลลอฮฺทำสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจสิ่งนี้” (กุรอาน 12:21)
นี่คือสิ่งที่เรื่องราวของนบียูซุฟยืนยันอย่างชัดเจนเพราะมันจบลง ด้วยความสุขและความมหัศจรรย์
ยูซุฟ ได้ใช้ชีวิตโดยการเผชิญหน้ากับแผนการที่คนใกล้ชิดที่สุด ของเขาสร้างขึ้นมาๆ พี่ๆของเขาวางแผนการที่จะฆ่าเขา แต่ต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนแผนโดยการขับไล่เขาออกไปจากดินแดน เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้ถูกขายไปในตลอดค้าทาสในอียิปต์ซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกซื้อไปด้วยราคา เพียงเล็กน้อย หลังจากนั้น เขาก็ตกเป็นเหยื่อการเย้ายวนจากภรรยาของผู้มีอำนาจคนหนึ่งซึ่งเมื่อความ ปรารถนาของนางไม่เป็นไปดังหวัง เขาก็ถูกส่งไปเข้าคุกอยู่ระยะเวลาหนึ่งแต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ได้เข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งอียิปต์ และได้กลายเป็นหัวหน้าเสนาบดีของกษัตริย์ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเรียกร้องผู้คนไปสู่อัลลอฮฺโดยอาศัยตำแหน่งผู้มีอำนาจปกครอง
แผนการของอัลลอฮฺได้รับการปฏิบัติไปตามนั้นและเรื่องก็จบลง นี่คือเนื้อหาของเรื่อง ส่วนรูปแบบในการนำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความน่าอัศจรรย์ได้อย่างดี
เรื่องราวของยูซุฟถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องเป็นฉากๆ และการเปลี่ยนฉากก็น่าติดตาม ให้ความรู้และก่อให้เกิดจินตนาการ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีช่องศิลปะไว้ให้แก่จินตนาการของผู้อ่านเพื่อทำให้ความ หมายสมบูรณ์เช่นด้วยกับความลึกของภาพ ซึ่งไม่มีศิลปิมนุษย์คนใดสามารถจะสร้างขึ้นมาได้
เรื่อราวของยูซุฟเริ่มต้นด้วยความฝันและจบลงด้วยการทำนายความ ฝันนั้นขณะที่ดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าอาบแผ่นดินให้เรืองรองในยาม เช้า ยูซุฟบุตรของนบียะกู๊บ ตื่นขึ้นมาด้วยความสุขจากฝันที่ผ่านมาเมื่อคืน ด้วยความดีใจ เขาได้วิ่งไปหาพ่อของเขาและเล่าว่า “พ่อครับ ฉันฝันเห็นดาวสิบเอ็ดดวงและดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กราบนบนอบต่อฉัน” (กุรอาน 12:4)
พ่อของเขามีใบหน้าอิ่มเอิบขึ้มาทันที เขามอบเห็นเหตุการณ์ในวันข้างหน้าว่ายูซุฟจะเป็นผู้ที่มาทำให้คำทำนายของนบี อิบรอฮีมปู่ของเขาเป็นจริง คำทำนายนั้นก็คือลูกหลานของท่านจะทำให้แสงสว่างแห่งบ้านของอิบรอฮีมเรืองรอง ขึ้นมาและจะนำคำสอนของอัลลอฮฺไปยังมนุษยชาติ
ได้มีการบอกเล่ากันมาว่าท่านนบีมุฮัมมัดได้ถูกถามว่า “ใครเป็นผู้มีเกียรติที่สุดในหมู่ผู้คน?” ท่านได้ตอบว่า “ผู้ยำเกรงพระเจ้ามากที่สุด” จึงมีคนกล่าวว่า “เราไม่ต้องการถามท่านเกี่ยวกับสิ่งนี้” ท่านได้กล่าวว่า “คนที่มีเกียรติที่สุดคือยูซุฟนบีของอัลลอฮฺ บุตรชายของเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของอัลลอฮฺ(หมายถึงนบีอิบรอฮีม)” (บันทึกโดยบุคอรี)
อย่างไรก็ตาม พ่อของยูซุฟรู้ถึงความอิจฉาของบรรดาพี่ๆของยูซุฟ ดังนั้น เขาจึงได้เตือนยูซุฟมิให้เล่าเรื่องความฝันให้แก่พวกพี่ๆของเขาฟัง
“ลูกเอ๋ย จงอย่าบอกเรื่องความฝันนี้ให้แก่พี่ๆของเจ้ารู้เป็นอันขาดมิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะคิดแผนการร้ายต่อเจ้า จงระวังให้ดี เพราะชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ และมันจะเป็นเช่นนั้นเพื่อที่พระผู้อภิบาลของเจ้าจะทรงเลือกเจ้าและสอนให้ เจ้าทำนายฝัน (และสิ่งอื่นๆ) และจะทรงทำให้ความโปรดปรานของพระองค์ต่อเจ้าและต่อลูกหลานของยะกู๊บสมบูรณ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทำให้สมบูรณ์แก่บรรพบุรุษทั้งสองของเจ้า คืออิบรอฮีมและอิสฮาก แท้จริง พระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ปรีชาญาณ” (กุรอาน 12:5-6)
ยูซุฟเชื่อฟังคำเตือนของพ่อ เขาไม่เล่าความฝันของเขาให้พวกพี่ๆฟัง เป็นที่รู้กันดีว่าพวกพี่ๆของเขาเกลียดเขามาก จนเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะรู้สึกปลอดภัยหากบอกพวกพี่ๆถึงสิ่งที่อยู่ใน หัวใจของเขาและในความฝันของเขา
ยูซุฟมีอายุ 18 ปี มีรูปร่างสง่างาม หน้าตาหล่อ มีอารมณ์อ่อนโยน เป็นคนใจดี น่าเคารพและเกรงใจคน บินยามินน้องชายของเขาก็เป็นที่มีจิตใจดีเช่นกันทั้งสองมาจากแม่เดียวกัน นั่นคือ ราเชล เนื่องจากลักษณะนิสัยอันดีงามนี้เองที่ นบียะกู๊บจึงรักลูกทั้งสองมากกว่าลูกคนอื่น และจะไม่ปล่อยให้ลูกทั้งสองคลาดสายตาไปจากเขา ดังนั้น เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกทั้งสองทำงานในสวนอยู่ตลอดเวลา
ฉากของนบียะกู๊บกับลูกๆได้ปิดลง และอีกฉากหนึ่งก็เปิดขึ้นให้เห็นถึงพวกพี่ๆของยูซุฟกำลังวางแผนร้ายต่อเขา
“ยูซุฟและน้องชายของเขาเป็นที่รักของพ่อมากกว่าพวกเราทั้งๆที่ พวกเราเป็นอุสบ๊ะฮฺ (กลุ่มที่แข็งแรง) แน่นอนเลยว่าพ่อของเราอยู่ในการหลงผิด ดังนั้น จงฆ่ายูซุฟเสีย หรือไม่ก็เอาเขาไปโยนทิ้งที่ไหนสักแห่ง ทั้งนี้เพื่อที่พ่อของพวกเราจะได้หันมาให้ความสนใจแก่พวกเราเพียงอย่างเดียว หลังจากนั้น พวกเราก็จะกลายเป็นคนดีอีกครั้งหนึ่ง (โดยการตั้งเจตนาสำนึกผิดก่อนทำบาป)” มีคนหนึ่งในหมู่พวกเขากล่าวว่า “จงอย่าฆ่ายูซุฟเลย แต่ถ้าหากจะทำก็จับเขาโยนลงไปในบ่อน้ำที่ไหนสักแห่ง บางที พวกกองคาราวานที่ผ่านมาอาจจะเอาตัวเขาขึ้นมาจากบ่อก็ได้” (กุรอาน 12:8-10)
ในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่ากล่าวว่ายูซุฟได้เล่าความฝันให้พวกพี่ๆฟังในขณะ ที่คัมภีร์กุรอานไม่ได้พูดเช่นนั้น ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกพี่ๆของเขาก็น่าจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วยตังเอง พันธสัญญาเก่าอ้างว่าพวกพี่ๆของยูซุฟต้องสูญเสียสิทธิของพวกตนเพราะยูซุฟ ดังนั้น พวกเขาจึงคิดจะฆ่ายูซุฟ ความจริงแล้ว ยูซุฟได้ทำตามคำสั่งของของพ่อและไม่ได้เล่าความฝันของเขาให้พวกพี่ฟัง
แต่กระนั้นก็ตาม พวกพี่ๆของเขาก็ร่วมกันวางแผนร้ายต่อเขา พี่คนหนึ่งถามว่า “ทำไมพ่อของเราจึงรักยูซุฟมากกว่าพวกเรา?”
อีกคนหนึ่งตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะเขามีหน้าตาดีก็ได้”
คนที่สามกล่าวว่า “ยูซุฟเป็นน้องชายของเขาชนะใจพ่อของเราได้”
คนแรกกล่าวว่า “พ่อของเราคิดผิดแล้ว”
อีกคนหนึ่งในนั้นได้แนะนำวิธีการจัดการเรื่องนี้ให้ นั่นคือ ฆ่ายูซุฟเสีย
“แต่เราฆ่าเขาที่ไหน?”
“เราควรขับเขาออกไปจากที่นี้”
“เราจะส่งเขาไปยังดินแดนที่ไกลจากที่นี้”
“ทำไมเราไม่ฆ่าเขาเสียให้เหลือแต่พวกเรา หลังจากนั้น พ่อของพวกเราก็จะได้หันมาให้ความสนใจกับพวกเราอย่างเดียว?”
อย่างไรก็ตาม ยูดาห์ (ยะฮูด) พี่ชายคนโตและคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องก็กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาหรอกถ้าพวกเราต้องการจะกำจัดเขา ดูนี่เราโยนเขาลงในบ่อน้ำที่ไหนสักแห่งและหลังจากนั้นก็จะมีกองคาราวานที่ ผ่านมาเอาตัวเขาไปเอง คนพวกนั้นจะเอาตัวเขาไปยังดินแดนที่ห่างไกล เขาจะหากไปจากสายตาของพ่อ เท่านี้ก็ถือว่าเราได้ทำสำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เราจะสำนึกผิดสำหรับสิ่งที่เราได้ทำไปและจะเป็นคนดีอีกครั้งหนึ่ง”
ด้วยเหตุนี้ พวกพี่ๆของยูซุฟจึงได้พูดกันถึงเรื่องที่จะเอายูซุฟไปโยนลงในบ่อน้ำเพราะทุก คนเห็นว่านี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ปลอดภัยที่สุด แผนการที่จะฆ่ายูซุฟได้ถูกยกเลิกไป และทุกคนยอมรับแผนการลักพาตัวเพราะมันเป็นวิธีการที่ฉลาดที่สุด
การเคลื่อนไหวของพวกพี่ๆของยูซุฟได้เปิดฉากขึ้นโดยมีพวกเขากับ นบียะกู๊บอยู่ในฉาก พวกเขากล่าวว่า“พ่อครับ ทำไมพ่อไม่ไว้วางใจพวกเรากับยูซุฟทั้งๆที่พวกเราเป็นผู้หวังดีต่อเขา? พรุ่งนี้ให้เขาไปกับเราเถิดเพื่อที่เขาจะได้เที่ยวเล่นสนุกสนานพวกเราจะดูแล เขาเอง”
พ่อของเขากล่าวว่า “มันทำให้ฉันไม่สบายใจที่จะให้เขาไปกับพวกเจ้า เพราะฉันกลัวว่าหมาป่าจะกินเขาเมื่อพวกเจ้าไม่เฝ้าระวัง”
พวกเขาตอบว่า “ถ้าหากหมาป่าจะกินเขาในกลุ่มของพวกเราที่กลมเกลียวกัน พวกเราก็เป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลย” (กุรอาน 12:11-14)
นบียะกู๊บได้พูดถึงเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขา เขากลัวว่าหมาป่าทะเลทรายจะกินลูกชายของเขาหรือ? การที่เขาพูดคิดเรื่องนี้ เขาหมายถึงหมาในหมู่พวกเขาหรือเขาหมายถึงหมาป่าจริงๆ? ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น พวกลูกๆของนบียะกู๊บได้เกลี้ยกล่อมพ่อของเขาให้ส่งยูซุฟไปกับพวกเขาจน กระทั่งในที่สุดนบียะกู๊บก็ต้องยอมตาม
พวกพี่ๆของยูซุฟตื่นเต้นมากที่จะได้กำจัดยูซุฟเพราะหลังจากนี้ แล้ว พวกเขาจะมีโอกาสได้รับความสนใจจากพ่อของตนเองบ้าง เมื่อออกจากบ้านแล้ว พวกเขาได้ตรงไปยังบ่อน้ำดังที่ได้วางแผนไว้โดยอ้างว่าจะดื่มน้ำ พี่ชายคนหนึ่งได้ใช้แขนโอบตัวยูซุฟไว้แน่น ด้วยความตกใจในพฤติกรรมผิดปกติของพี่ๆ ยูซุฟจึงได้พยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่พี่คนอื่นๆก็กรูกันเข้ามาจับตัวเขาไว้ พี่คนหนึ่งถอดเสื้อของออกส่วนที่เหลือก็มาช่วยกันรุมจับตัวยูซุฟยกขึ้นแล้ว โยนเขาลงไปในบ่อน้ำ ถึงแม้ยูซุฟจะวิงวอนอย่างน่าสงสารเพียงใดก็ไม่ทำให้หัวใจที่เหี้ยมโหดของพวก พี่ๆเปลี่ยนแปลงได้
หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้บอกให้ยูซุฟได้รู้ว่า เขาจะปลอดภัยและไม่ต้องกลัว เพราะเขาจะพบกับ พวกพี่ๆ อีกในวันหนึ่ง เพื่อเตือนให้พวกพี่ๆ ของเขา จำถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้
ในบ่อน้ำนั้นมีน้ำมากพอที่จะรับแรงกระแทกตัวของยูซุฟไว้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เขานั่งอยู่ตามลำพังในน้ำสักพักหนึ่ง และพยายามหาทางที่จะปีกขึ้นไปข้างบน ส่วนพี่ๆของพวกเขา ได้พากันออกไปจากบริเวณนั้น โดยทิ้งเขาไว้อยู่ในบ่อน้ำที่ห่างไกล
หลังจากนั้น พวกเขาก็ฆ่าแกะตัวหนึ่ง และเอาเสื้อของยูซุฟไปชุบเลือดแกะ พี่ชายคนหนึ่งได้ กล่าวว่าพวกเขาจะต้องร่วมกันสาบานว่า จะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด และทั้งหมดก็สาบาน พอตกค่ำ พวกเขาก็กลับมาหาพ่อของตนพลางร้องไห้คร่ำครวญ (กุรอาน 12:16)
ฉากของเรื่องราวตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่เต็มไปด้วยเสียง ร้องไห้ของผู้ชายสิบคน ส่วนพ่อนั้นกำลังนั่งอยู่ในบ้านเมื่อพวกลูกๆเข้ามา ความมืดของกลางคืนปกคลุมความมืดแห่งหัวใจของพวกเขา และความมืดแห่งการโกหกของพวกเขาก็กำลังจะโผล่ออกมา นบียะกู๊บประหลาดใจมาก จึงถามด้วยเสียงดังว่า “ทำไมต้องมาร้องไห้กัน? มีอะไรเกิดขึ้นกับฝูงแกะหรือ? พวกเขาตอบขณะที่กำลังร้องไห้ว่า “พ่อครับเรากำลังสนุกอยู่กับการวิ่งแข่งกันและเราทิ้งยูซุฟไว้กับสิ่งของพวก เราหมาป่าได้มากินเขา แต่พ่อคงจะไม่เชื่อเราถึงแม้เราจะพูดความจริงก็ตาม” (กุรอาน 12:17)
“หลังจากที่พวกเรากลับมาจากการวิ่งแข่ง พวกเราตกใจที่พบว่ายูซุฟได้ถูกหมาป่ากินไปแล้ว”
“พวกเราไม่เห็นเขา”
“พ่ออาจไม่เชื่อเราถึงแม้เราจะพูดความจริงก็ตาม แต่เรากำลังบอกพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น”
“นี่ไง เสื้อของยูซุฟ เราได้พบว่าชุ่มโชกไปด้วยเลือดและไม่พบยูซุฟ”
“และพวกเขาก็ได้นำเสื้อของเขาที่มีเลือดปลอมติดอยู่มาให้ดูด้วย” (กุรอาน 12:18)
นบียะกู๊บรู้อยู่ในใจลึกๆของเขาว่าลูกชายสุดที่รักของเขายังคง มีชีวิตอยู่และรู้ว่าพวกลูกๆเหล่านี้กำลังโกหก เขาเอาเสื้อที่เปื้อนเลือดมาคลี่ออกและกล่าวว่า “ช่างเป็นหมาป่าที่ใจดีอะไรเช่นนี้ มันกินลูกรักของฉันโดยไม่ฉีกเสื้อของเขาเลย” เมื่อถูกถามขึ้นมา พวกลูกๆของเขาก็หน้าแดง แต่ทุกคนก็ยังสาบานด้วยอัลลอฮฺว่าพวกตนพูดความจริง เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น พ่อผู้หัวใจแตกสลายก็หลั่งน้ำตาออกมา : “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก จิตใจชั่วของพวกเจ้าต่างหากที่ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา ดังนั้น (สำหรับฉัน) การอดทนเป็นสิ่งที่เหมาะสมสุด และอัลลอฮฺเท่านั้นที่ฉันจะขอความช่วยเหลือต่อสิ่งที่พวกเจ้ากุขึ้นมา”
(กุรอาน 12:18)
ที่มา: www.piwdee.net
islamhouse.muslimthaipost.com