ประวัตินบีฮูด (อ) เรื่องราวของนบีฮูดกับประชาชาติที่ถูกลงโทษ ประวัติศาสตร์อิสลาม ประวัติศาสดาอิสลาม
ประวัตินบีฮูด (อ.) เรื่องราวของนบีฮูดกับประชาชาติที่ถูกลงโทษ
กลุ่มชนของนบีฮูด (อ.) มีชื่อว่า ชาวอ๊าด พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า อิรอม ผู้คนในสมัยท่านนบีฮูด (อ.) สักการะเทวรูปกัน พวกเขาสร้างเทวรูปขึ้นมาเองและพวกเขายังเชื่อว่าเทวรูปเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาได้ดี พร้อมกับปกป้องพวกเขาจากมารร้าย และให้สิ่งต่างๆตามที่ขอได้
ท่านนบีฮูด (อ.)ถูกบัญชาใช้จากอัลลอฮ์ให้มากล่าวเตือนกลุ่มชนของท่านให้หันกลับไปกราบไหว้พระเจ้าองค์เดียวคืออัลลอฮ์ (ซ.บ.) และกล่าวกับพวกเขาอีกว่าอัลลอฮ์เท่านั้นเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายและพระองค์เท่านั้นที่ทำให้พวกเขาได้ดีและปกป้องพวกเขาจากมารร้ายได้
ชาว อ๊าดเป็นหมู่ชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เป็นภูเขาระหว่างเยเมนและ โอมานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ชาวอ๊าดเป็นคนที่มีร่างกายใหญ่โตและมีชื่อเสียงในเรื่องงานฝีมือ โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างอาคารสูงที่มีหอคอยตระหง่าน ชาวอ๊าดมีความเหนือกว่าชาติอื่นในเรื่องอำนาจและทรัพย์สิน แต่น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ชาวอ๊าดกลายเป็นคนยโสโอหังและโอ้อวด และอำนาจทางการเมืองของชนกลุ่มนี้อยู่ในมือของผู้ปกครองที่อธรรมต่อคนที่ไม่ กล้าจะพูดจาคัดค้าน
ชาวอ๊าดรู้ถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺและก็ มิได้ปฏิเสธที่จะเคารพสักการะพระองค์แต่สิ่งที่พวกเขาปฏิเสธก็คือการเคารพ สักการะอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น เพราะพวกเขาเคารพสักการะพระเจ้าและรูปปั้นต่างๆด้วย นี่คือบาปอย่างหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺไม่ทรงให้อภัย
อัลลอฮฺทรง ต้องการที่จะนำทางคนเหล่านี้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงให้มีนบีคนหนึ่งในหมู่พวกเขา นบีคนนี้คือฮูด บุคคลผู้ทรงเกียรติที่ทำหน้าที่ของเขาด้วยความเด็ดเดียวและอดทน
อิบนุญะรีรฺได้รายงานว่าเขาคือฮูด อิบนุชาลิค อิบนุอัรฟัคชันด์ อิบนุซาม อิบนุนูฮฺ มีรายงานว่าฮูดเป็นคนในเผ่าที่ถูกเรียกว่าอ๊าด อิบนุอูศ อิบนุซาม อิบนุนูฮฺ ซึ่งเป็นชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในอัลอะฮฺก็อฟในเยเมน ระหว่างโอมานและฮัดเราะเมาต์ บนแผ่นดินที่เรียกว่าอะชัรฺที่ยื่นลงไปในทะเล หุบเขาที่อยู่อาศัยของคนเหล่านี้ก็คือมุฆีซ
บางรายงานอ้างว่าฮูดเป็นบุคคลแรกที่พูดภาษาอาหรับ ในขณะที่บางคำบอกเล่าอ้างว่านูฮฺเป็นคนแรก แต่ก็มีบางรายงานกล่าวว่าอาดัมเป็นคนแรกที่พูดภาษาอาหรับ
นบีฮูดได้ประณามการสักการบูชารูปปั้นและได้ตักเตือนผู้คนของเขาว่า : “หมู่ชนของฉันเอ๋ย หินที่พวกท่านแกะสลักมากับมือของท่านมีประโยชน์อันใดที่ทำให้พวกท่านสักการ บูชามัน?
ความจริงแล้ว มันเป็นการดูถูกสติปัญญาของท่านเอง พระเจ้าที่ควรค่าแก่ความเคารพสักการะมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น นั่นคืออัลลอฮฺ ดังนั้น เคารพสักการะพระองค์และพระองค์เท่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกท่าน พระองค์ทรงสร้างพวกท่านขึ้นมา พระองค์ทรงจัดเตรียมปัจจัยให้พวกท่าน และพระองค์ คือ ผู้ที่จะทำให้ตาย พระองค์ทรงให้พวกท่านมีรูปร่างที่มหัศจรรย์และประทานความจำเริญแก่พวกท่าน มากมาย ดังนั้น จงศรัทธาในพระองค์และอย่าได้ทำเป็นตาบอดต่อความโปรดปรานของพระองค์ มิเช่นนั้นแล้ว พวกท่านจะได้พบชะตากรรมอย่างเดียวกับผู้คนของนูฮฺ”
ด้วยการให้เหตุผลเช่นนั้น นบีฮูดหวังว่าที่จะปลูกฝังความศรัทธาขึ้นในหมู่ชนของเขา แต่หมู่ชนของเขากลับไม่ยอมรับสาส์นที่เขานำมา หมู่ชนของเขาได้ถามเขาว่า : “ท่านต้องการที่จะเป็นนายของเราด้วยการเรียกร้องของท่านกระนั้นหรือ ? ท่านต้องการจะได้อะไร?”
นบีฮูดได้พยายามที่จะทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่าเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ เขาไม่ได้เรียกร้องต้องการสิ่งใดจากพวกเขานอกไปจากต้องการที่จะให้แสงสว่างแห่งสัจธรรมสัมผัสความคิดและหัวใจของพวกเขา
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า : “และยังหมู่ชนชาวอ๊าด เราได้ส่งฮูดพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขามา เขาได้กล่าวว่า ‘หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงเคารพภักดีอัลลอฮฺ พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกพระองค์ มันมิใช่อื่นใดนอกจากความเท็จที่พวกท่านกุขึ้นมาเท่านั้น หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันมิได้เรียกร้องรางวัลตอบแทนใดๆสำหรับงานนี้รางวัลตอบแทนของ ฉันนั้นอยู่ที่พระองค์ผู้ทรงสร้างฉันขึ้นมา พวกท่านไม่ใช้สามัญสำนึกบ้างหรือ ?
หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงขอการอภัยโทษจากพระผู้อภิบาลของพวกท่านและจงหันไปหา พระองค์ในการสำนึกผิด และพระองค์จะทรงเปิดประตูแห่งชั้นฟ้าให้แก่พวกท่านและจะทรงเพิ่มความแข็ง แกร่งให้แก่พวกท่านยิ่งขึ้น และจงอย่าหันไปเป็นผู้กระทำผิด"
พวก เขากล่าวว่า "ฮูดเอ๋ย ท่านยังมิได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งใดๆมาให้แก่เราและเราก็จะไม่ ละทิ้งบรรดาเทวรูปบูชาของเราตามที่ท่านบอกและเราก็จะไม่ศรัทธาในท่าน เราอยากจะ บอกว่า ความจริงแล้ว เทวรูปของเราบางองค์ได้สิงความชั่วบางอย่างไว้ในตัวท่าน" ฮูดตอบว่า "ฉันขออัลลอฮฺให้ทรงเป็นพยานและท่านก็ยังเป็นพยานด้วยว่าฉันไม่มีอะไรเกี่ยว องกับบรรดาเทวรูปบูชาอื่นๆทั้งหลายที่พวกท่านตั้งขึ้นมาเป็นภาคีร่วมกับ อัลลอฮฺในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ดังนั้น พวกท่านทั้งหมดจะทำอะไรต่อฉันก็ได้และไม่ต้องผ่อนปรนให้แก่ฉัน แท้จริง ฉันไว้วางใจในอัลลอฮฺ
ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วย ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่พระองค์ไม่ได้ทรงยึดผมที่หน้าผากของมันไว้แท้จริงแล้ว ความเที่ยงตรงคือหนทางแห่งพระผู้อภิบาลของฉัน พวกท่านจะหันหลังให้ก็ได้ถ้าหากพวกท่านปรารถนา ตอนนี้ฉันได้นำสาส์นมายังพวกท่านตามวัตถุประสงค์ที่ฉันได้ถูกส่งมาแล้ว พระผู้อภิบาลของฉันจะยกหมู่ชนอื่นขึ้นมาแทนพวกท่าน และพวกท่านจะไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้แก่พระองค์ได้ แท้จริง พระผู้อภิบาลของฉันทรงดูแลรักษาทุกสรรพสิ่ง" (กุรอาน 11:50-57)
นบี ฮูดได้พยายามที่จะพูดกับพวกเขาและอธิบายให้พวกเขาได้รู้ถึงความโปรดปรานของ อัลลอฮฺว่าพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดต่อจากนบีนูฮฺ พระองค์ได้ประทานความเข้มแข็งและอำนาจแก่พวกเขาและพระองค์ได้ประทานฝนมาทำ ให้ผืนดินมีชีวิตสำหรับพวกเขาแต่คนของนบีฮูดมองเห็นว่าตัง เองเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดบนแผ่นดิน ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ยโสโอหังและดื้อรั้นมากขึ้นพวกเขาโต้แย้งนบีฮูดมากขึ้น พวกเขาถามว่า : “ฮูดเอ๋ย ท่านพูดว่าหลังจากที่เราตายและกลายเป็นดินไปแล้ว เราจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งกระนั้นหรือ ?” เขาตอบว่า “ใช่ พวกท่านจะกลับไปอีกครั้งหนึ่งในวันแห่งการตัดสินและพวกท่านแต่ละคนจะถูกถาม เกี่ยวกับสิ่งที่พวกท่านได้ทำไป”
พอกล่าวจบก็มี เสียงหัวเราะดังไปทั่วและมีเสียงซุบซิบกันในหมู่คนที่ได้ยินว่า “ช่างเป็นเรื่องแปลกจริงๆ”ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ตายไป แล้วร่างกายของมนุษย์ก็จะยุ่ยสลายกลายเป็นดินที่ถูกฝุ่นพัดปลิวกระจายไป ดังนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฝุ่นธุลีเหล่านั้นจะกลับมารวมกันอยู่ในสภาพเดิมอีก ? แล้ววันตัดสินมีความสำคัญอย่างไร ? ทำไมคนตายจึงกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ?
นบีฮูดรับฟังคำ ถามเหล่านี้ด้วยความอดทนหลังจากนั้นเขาก็อธิบายให้ผู้คนได้รู้ถึงวันแห่งการ ตัดสินว่าความเชื่อในวันแห่งการตัดสินเป็นสิ่งจำเป็นต่อความยุติธรรมของอัล ลอฮฺ โดยสอนถึงสิ่งเดียวกับที่ทุกนบีได้เคยสอน
นบีฮูดได้อธิบายว่าความยุติธรรมต้องการให้มีวันแห่งการตัดสิน เพราะความดีไม่ได้ชนะเสมอไปในชีวิต บางครั้งความชั่วก็มีอำนาจเหนือความดี อาชญากรรมเช่นนั้นจะไม่ถูกลงโทษกระนั้นหรือ ? ถ้าหากเราคิดว่าไม่มีวันแห่งการตัดสินแล้ว ความ อยุติธรรมอันยิ่งใหญ่ก็จะแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน แต่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามมิให้ความอธรรมเกิดขึ้นจากพระองค์เองและบ่าวของพระองค์ ดังนั้น การเกิดขึ้นของวันตัดสินซึ่งเป็นวันแห่งการชำระบัญชีการกระทำและการตอบแทน หรือการลงโทษสำหรับพวกเขาจึงแสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมของอัลลอฮฺ นบีฮูดได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาฟัง แต่ไม่เชื่อ
อัลลอฮฺได้ทรงบอกให้รู้ถึงท่าทีของผู้คนเหล่านี้ต่อวันแห่งการตัดสิน :“บรรดาหัวหน้าหมู่ชนของเขาที่ปฏิเสธสาส์นและปฏิเสธชีวิตในโลกหน้าและผู้ที่ เราได้ให้ความเจริญมั่งคั่งในชีวิตโลกนี้แก่เขาได้กล่าวว่า "คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกไปจากมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกเจ้า เพราะเขาก็กินเหมือนกับที่พวกเจ้ากิน และดื่มเหมืนกับที่พวกเจ้าดื่ม ถ้าหากพวกเจ้ายอมปฏิบัติตามมนุษย์เหมือนอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะเป็นผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน อะไรนะ เขาบอกพวกเจ้าหรือว่าหลังจากที่พวกเจ้าตายกลายเป็นผุยผงและเป็นกระดูกไปแล้ว พวกเจ้าจะถูกนำออกมาอีกครั้งหนึ่ง ? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ในเรื่องที่พวกเจ้าถูกขู่ไว้ไม่มีชีวิตอื่นใดอีกนอกจากชีวิต แห่งโลกนี้ เราจะอยู่ที่นี่และตายที่นี่และเราจะไม่ถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คนผู้นี้เป็นแค่เพียงคนโกหกที่กำลังสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาในนามของอัลลอฮฺ" (กุรอาน 23:33-38)
พวกหัวหน้าหมู่ชนของนบีฮูดได้ถามว่า : “มันไม่แปลกหรือที่อัลลอฮฺทรงเลือกใครคนหนึ่งในหมู่พวกเราให้มานำสาส์นของพระองค์?”
นบีฮูดได้ตอบว่า “มันจะแปลกอะไรกันซิ? อัลลอฮฺทรงต้องการที่จะนำทางพวกท่านไปสู่หนทางแห่งชีวิตที่ถูกต้อง ดังนั้น พระองค์จึงได้ส่งฉันมาตักเตือนพวกท่านน้ำท่วมในสมัยของนูฮฺและเรื่องราวของ เขาก็เกิดขึ้นมาไม่ห่างไกลจากพวกท่าน ดังนั้น จงอย่าลืมสิ่งที่ได้เกิดขึ้น บรรดาผู้ไม่ศรัทธาได้ถูกทำลายไปแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเข้มแข็งอย่างไรก็ตาม” ใครที่จะมาทำลายเรา ฮูด ?” พวกหัวหน้าถาม“อัลลอฮฺ” นบีฮูดตอบบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในหมู่ชนของเขาได้ตอบว่า “เทพเจ้าของเราจะช่วยให้เราปลอดภัย”
นบีฮูดได้อธิบายให้คนเหล่า นั้นได้ทราบว่าเทพเจ้าที่พวกเขาสักการบูชานั้นคือเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาถูก ทำลาย อัลลอฮฺเท่านั้นที่จะช่วยเหลือผู้คน ไม่มีอำนาจอื่นใดบนหน้าแผ่นดินนี้ที่จะยังคุณหรือให้โทษแก่ผู้ใดได้
ความขัดแย้งระหว่างนบีฮูดกับคนของเขายังดำเนินต่อไป หลายปีผ่านไปหมู่ชนเหล่านั้นก็ยิ่งมีความโอหังมากขึ้น ดื้อรั้นมากขึ้น กดขี่ข่มเหงมากขึ้นและฝ่าฝืนต่อคำสอนของนบีมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเริ่มกล่าวหาว่านบีฮูดเป็นคนบ้าด้วย วันหนึ่ง พวกเขาได้บอกฮูดว่า “ตอนนี้ เราเข้าใจความลับที่ทำให้ท่านเป็นบ้าแล้ว พวกท่านดูถูกเทพเจ้าของเรา ดังนั้น เทพเจ้าเหล่านั้นจึงทำลายท่าน นั่นเหตุผลที่ว่าทำไมท่านถึงได้เสียสติ”
อัลลอฮฺได้ทรงเปิดเผยไว้ในคัมภีร์กุรอานว่า : พวกเขากล่าวว่า "ฮูดเอ๋ยท่านยังมิได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งใดๆมาให้แก่เรา และเราก็จะไม่ละทิ้งบรรดาเทวรูปของเราตามที่ท่านบอกและเราก็จะไม่ศรัทธาใน ท่าน เราอยากจะบอกว่า ความจริงแล้ว เทวรูปของเราบางองค์ได้สิงความชั่วบางอย่างไว้ในตัวท่าน" (กุรอาน 11:53-54)
นบีฮูดต้องหันกลับมายังการท้าทายของพวกเขาเหล่า นั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกลับไปยังอัลลอฮฺ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยื่นคำขาดที่เป็นการขู่ไว้เขาได้ประกาศว่า : “ฉันขออัลลอฮฺให้ทรงเป็นพยานและพวกท่านก็ยังเป็นพยานด้วยว่าฉันไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกับบรรดาเทวรูปบูชาอื่นๆ ทั้งหลายที่พวกท่านตั้งขึ้นมาเป็นภาคีร่วมอัลลอฮฺในความเป็นพระเจ้าของ พระองค์ ดังนั้น พวกท่านทั้งหมดจะทำอะไรต่อฉันก็ทำได้และไม่ต้องผ่อนปรนให้แก่ฉัน แท้จริง ฉันไว้วางใจในอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านด้วย ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่พระองค์ไม่ได้ทรงยึดผมที่หน้าผากของมันไว้ แท้จริงแล้ว ความเที่ยงตรงคือหนทางแห่งพระผู้อภิบาลของฉัน พวกท่านจะหันหลังให้ก็ได้ถ้าหากพวกท่านปรารถนา ตอนนี้ฉันได้นำสาส์นมายังพวกท่านตามวัตถุประสงค์ที่ฉันได้ถูกส่งมาแล้ว พระผู้อภิบาลของฉันจะยกหมู่ชนอื่นขึ้นมาแทนพวกท่านและพวกท่านจะไม่สามารถ สร้างความเสียหายใดๆให้แก่พระองค์ได้ แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันทรงดูแลรักษาทุกสรรพสิ่ง” (กุรอาน 11:54-57)
ดังนั้น นบีฮูดจึงได้ตำหนิคนเหล่านั้นและสิ่งที่คนเหล่านั้นสักการบูชา นบีฮูดยืนยังว่าเขาขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างเขาขึ้นมา เขาตระหนักว่าการลงโทษจะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ปฏิเสธในหมู่ชนของเขา มันเป็นหนึ่งในกฎของชีวิต อัลลอฮฺจะทรงลงโทษผู้ไม่ศรัทธาว่าจะร่ำรวยยิ่งใหญ่หรือเผด็จการเพียงใดก็ตาม
นบีฮูดและคนของเขารอคอยคำสัญญาของอัลลอฮฺ ไม่นานนัก ความแห้งแล้งก็แพร่ระบาดไปทั่วแผ่นดินเพราะท้องฟ้าไม่ส่งฝนลงมา ดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงแรงกล้าเผาไหม้ผืนทะเลทรายจนดูเหมือนกับจานไฟที่วางอยู่ บนหัวของผู้คน
คนของฮูดรีบมาหาเขาพร้อมกับถามว่า ความแห้งแล้งนี้คืออะไร ฮูด ?” นบีฮูดได้ตอบว่า “อัลลอฮฺได้ทรงกริ้วพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านศรัทธาในพระองค์ พระองค์ก็จะทรงรับพวกท่านและฝนก็จะตกลงมาและพวกท่านก็จะกลายเป็นผู้มีความ เข้มแข็งยิ่งกว่าเก่า” พวกเขาหัวเราะเยาะนบีฮูดและกลับดื้อรั้น เย้ยหยันและดันทุรังในความไม่ศรัทธายิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ความแห้งแล้งก็มากขึ้นจนต้นไม้ทั้งหลายได้แห้งเหี่ยวตาย
แล้ววันหนึ่งก็มาถึงเมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนาทึบ หมู่ชนของนบีฮูดต่างดีใจและพากันออกมาร้องแสดงยินดีว่า “นั่นเป็นเมฆที่นำฝนมาให้เรา” แต่สภาวะอากาศได้เปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใดจากความแห้งแล้งที่ร้อนระอุกลาย เป็นความหนาวเหน็บพร้อมกับลมที่กระโชกใส่ทุกสิ่งจนสั่นหวั่นไหวไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ พืช กระโจม ผู้ชายและผู้หญิง ลมยิ่งพัดรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาหลายวันดังนั้น หมู่ชนของนบีฮูดจึงเริ่มที่จะหนี พวกเขาวิ่งไปยังกระโจมเพื่อหลบพายุแต่ลมพายุนั้นรุนแรงจนกระโจมของพวกเขา ปลิวว่อน พวกเขาจึงเอาผ้ามาคลุมกายเพื่อป้องกัน แต่ลมพายุยังคงพัดแรงยิ่งขึ้นจนเหมือนกับแซ่ที่ฟาดลงไปบนเสื้อผ้าและผิวหนัง ของเขา มันแทรกเข้าไปทุกร่องรูของร่างกายและทำลายทุกสิ่งในร่างกายของมนุษย์ พายุพัดกระหนำอยู่เช่นนี้เป็นเวลา 8 วันกับ 7 คืน
อัลลอฮฺได้ ทรงเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า : “ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นเมฆดำเคลื่อนมายังหุบเขาของพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า "นี่คือเมฆที่กำลังจะนำฝนมาให้เรา" เปล่าเลยแต่นี่เป็นสิ่งที่สู่เจ้าเร่งเร้าที่จะให้เกิดขึ้นต่างหาก นี่คือลมพายุที่กำลังนำการลงโทษอันเจ็บปวดมา มันจะทำลายทุกสิ่งตามคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของมัน หลังจากนั้น มันก็จะไม่มีอะไรหลงเหลือให้เห็นนอกไปจากสถานที่พักอันว่างเปล่าของพวกเขา นั่นแหละที่เราตอบแทนผู้ทำความผิด” (กุรอาน 46:24-25)
หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า : “ส่วนพวกอ๊าดนั้นถูกทำลายโดยพายุรุนแรงโหมกระหน่ำ อัลลอฮฺได้ทรงทำให้มันพัดกระหนำใส่พวกเขาเป็นเวลาเจ็ดคือแปดวันต่อเนื่องกัน ซึ่งเจ้าก็จะเห็นพวกเขานอนตายเกลื่อนกลาดเหมือนกับลำต้นอินทผลัมกลวง” (กุรอาน 69:6-7)
พายุร้ายได้พัดกระหน่ำโดยไม่หยุดจนกระทั่ง บริเวรนั้นทั้งหมดได้ถูกทำลายจนราบและคนชั่วได้ถูกทรายดูดกลืนจมหายไปคงเหลือแต่นบีฮูดและผู้เชื่อฟังเขาเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้อพยพไปยังฮัดเราะเมาต์และอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบด้วยการเคารพ สักการะอัลลอฮฺพระเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา