ประเด็นเรื่องอนาชีด เป็นประเด็นเห็นต่างระหว่างบรรดานักวิชาการร่วมสมัย จึงเป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้ใช้หัวใจที่เป็นธรรมเลือกยึดทรรศนะหนึ่งทรรศนะใดได้ เเละผู้ที่มีความเข้าใจหลักการศาสนานั้น จะไม่เอาประเด็นนี้มาโจมตี
ฟัตวา อนาชีด ในหลักการอิสลาม
ประเด็นเรื่องอนาชีด เป็นประเด็นเห็นต่างระหว่างบรรดานักวิชาการร่วมสมัย จึงเป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้ใช้หัวใจที่เป็นธรรมเลือกยึดทรรศนะหนึ่งทรรศนะใดได้ เเละผู้ที่มีความเข้าใจหลักการศาสนานั้น จะไม่เอาประเด็นนี้มาโจมตี กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเปลี่ยนแปลงหุก่มศาสนาเป็นอันขาด ซึ่งข้อกล่าวหานี้ เป็นการกล่าวหาที่มีความอันตรายร้ายเเรงอย่างมากในศาสนา เว้นเสียเเต่ว่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้ที่เขลาในหลักการ ก็ขออัลลอฮฺทรงโปรดประทานความใจในศาสนาให้เเก่บุคคลจำพวกนี้ด้วยเถิด
ดังที่ได้เกริ่นไปเเล้วข้างต้นว่าเรื่องของอนาชีดนั้น เป็นประเด็นเห็นต่างระหว่างนักวิชาการสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งอนุญาตให้กระทำได้พร้อมทั้งวางเงื่อนไขเอาไว้อย่างรอบด้าน ส่วนนักวิชาการอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นทรรศนะที่มีน้ำหนักสำหรับเรา ได้มีความเห็นว่าเรื่องดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่อนุญาตให้กระทำ โดยพิจารณาในหลายๆด้านด้วยกัน ซึ่งบรรดานักวิชาการที่มีความเห็นว่าไม่อนุญาตนั้นมีมากมายหลายท่าน ดังต่อไปนี้
• ชัยคุลมุหัดดิษ มุฮัมหมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานียฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.1420) :
คำถาม : อะไรคือข้อตัดสินของสิ่งที่ถูกขนานนามว่า"อัล-อนาชีด อัล-อิสลามียะฮฺ" ?
คำตอบ : ทรรศนะของฉันเกี่ยวกับอัล-อนาชีด อัล-อิสลามียะฮฺ ที่มันถูกเรียกกันติดปากว่า"อนาชีด ดีนียะฮฺ" (อนาชีดศาสนา) นั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มันเป็นอัตลักษณ์พิเศษของกลุ่มศูฟีย์ เเละบรรดาเยาวชนผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ก็ได้ปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่ในเเนวทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเลยเถิดในการสรรเสริญท่านรอซูล (ซ.ล.) หรือการขอความช่วยเหลือต่อท่านนอกเหนือจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
หลังจากนั้นก็ได้เกิดอนาชีดใหม่ขึ้นมา ตามความเชื่อของฉันนะ ที่ได้พัฒนาการมาจากอนาชีดดั้งเดิม เเละได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนเเปลง ก็ไม่มีปัญหาเเต่อย่างใดถ้าพิจารณาในเเง่ของการทำให้ห่างไกลจากชิริกเหล่านั้น เเละการบูชาเจว็ดทั้งหลายที่มันมีอยู่ในอนาชีดดั้งเดิมนั้น
ทุกๆคนที่ค้นคว้าในอัล-กุรอาน เเละหะดีษของท่านรอซูล (ซ.ล.) รวมทั้งสิ่งที่บรรดาสะลัฟเคยดำรงอยู่นั้น เขาจะไม่พบอย่างเด็ดขาดเลยสำหรับสิ่งที่ถูกเรียกว่า"อนาชีด ดีนียะฮฺ" เเละถ้าหากว่ามันถูกเปลี่ยนแปลงจากอนาชีดดั้งเดิมที่มีความเลยเถิดในการยกย่องสรรเสริญท่านรอซูลเเล้วก็ตาม ก็เป็นที่เพียงพอเเล้วสำหรับเราในการที่เราจะยึดเพียงเเค่หลักฐานเดียวในการปฏิเสธอนาชีดชนิดนี้ ที่มันเริ่มแพร่กระจายในบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาว โดยอ้างว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนหลักการศาสนาเเต่อย่างใด
เพียงพอแล้วสำหรับเราในการยกหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สองประการต่อไปนี้ :
หนึ่ง : แท้จริงอนาชีดที่ว่านี้ ไม่ได้มีอยู่ในเเนวทางของบรรพชนที่ดีของเรา รอฎิยัลลอฮุอันฮุม
สอง : คือในความเป็นจริงเเล้ว สิ่งที่ฉันได้สัมผัสเเละได้เห็นนั้น มันก็มีความอันตรายเหมือนกัน เราจะเห็นว่าบรรดาเยาวชนมุสลิมต่างเพลิดเพลินอยู่กับอนาชีดดีนียะฮฺพวกนี้ และก็ขับร้องกันเหมือนที่เคยมีการขับร้องกันมาก่อนหน้านี้ เเละเบี่ยงเบนพวกเขาออกจากการเอาใจใส่กับการอ่านอัล-กุรอาน รำลึกถึงอัลลอฮฺ เเละการศอลาวาตแด่ท่านนบี ﷺ ดังที่มีรายงานในบรรดาหะดีษศอฮีหฺว่า : "จงขับร้อง(อ่าน)ด้วยกับอัล-กุรอาน และจงให้ความสำคัญกับมันเถิด ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมุฮัมหมัดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริงเเล้ว(อัล-กุรอาน)นั้น จะหลุดออกจากหัวอกของมนุษย์ รุนเเรงกว่าการหลุดของอูฐออกจากเชือกที่ล่ามมันไว้เสียอีก"
[البيان المفيد عن حكم التمثيل والأناشيد]
• ชัยคฺ ดร.ศอลิหฺ บิน เฟาซาน อัล-เฟาซาน หะฟิซอฮุลลอฮฺ/อุลามาอฺอาวุโสแห่งซาอุดิอารเบีย :
คำถาม : มีคำพูดมากมายเกี่ยวกับอนาชีดอิสลามียะฮฺ อีกทั้งมีผู้ที่ออกฟัตวาว่ามันเป็นสิ่งที่อนุญาต เเละมีผู้ที่บอกว่ามันเป็นสิ่งที่จะมาทดเเทนเพลง ท่านมีความเห็นอย่างไรครับ ?
คำตอบ : การเรียกชื่ออย่างนี้(อะนาชีดอิสลามียะฮฺ) เป็นการเรียกที่ไม่ถูกต้อง มันเป็นการเรียกที่เกิดขึ้นใหม่ เพราะฉนั้นจึงไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าอะนาชีดอิสลามียะฮฺในตำหรับตำราของชาวสะลัฟ ตลอดจนบรรดานักวิชาการที่คำพูดของพวกเขาเป็นที่ยึดถือ เเละอีกอย่างเป็นที่ทราบกันดีว่าพวกศูฟียฺนั้น ยึดเอาอนาชีดเป็นเรื่องศาสนาของพวกเขา เเละมันเป็นสิ่งที่พวกเขาให้การเรียกมันว่า"ซิมาอฺ"
เเละยิ่งในยุคสมัยของเรา เมื่อกลุ่มก้อนต่างๆมันมีจำนวนมากขึ้น มันจึงกลายเป็นว่าทุกๆกลุ่มจะมีอนาชีดปลุกใจเป็นของตัวเอง บางที่พวกเขาก็เรียกมันว่า"อนาชีดอิสลามียะฮฺ" เเละการเรียกชื่ออย่างนี้นั้น ไม่ถูกต้องสำหรับมัน เเละไม่อนุญาตให้ยึดเอาอนาชีดนี้ รวมทั้งห้ามส่งเสริมมันให้แก่ผู้คนด้วย
[مجلة الدعوة / العدد 1632]
• ชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ อาลุชชัยคฺ หะฟิซอฮุลลอฮฺ/มุฟตีสูงสุดแห่งซาอุดิอารเบียคนปัจจุบัน :
คำถาม : อะไรคือหุก่มของการปรบมือของผู้หญิงในงานเเต่งงาน ในขณะที่มีการขับร้องอนาชีดอิสลามียะฮฺร่วมด้วย ?
คำตอบ : ประการเเรก สิ่งที่ถูกเรียกกันว่าอนาชีดอิสลามียะฮฺ เเละการเอามันไปใช้ในงานเเต่งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ ศาสนาอิสลามนั้น เป็นศาสนาแห่งความพากเพียรเเละการปฏิบัติ เเละสิ่งที่ถูกเรียกกันว่าอนาชีดอิสลามียะฮฺนั้น เป็นการเอาบทรำลึกมาใช้อย่างไม่ถูกกาลเทศะ เเละไม่สมควรที่มนุษย์จะนำเอาสิ่งที่ถูกเรียกว่าอนาชีดมาใช้ เพราะว่าในอนาชีดนั้นมีสิ่งต่างๆที่เป็นการรำลึกถึงอัลลอฮฺอยู่ในการเลี้ยงนี้ หรือว่าสิ่งที่อยู่ร่วมกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการปรบมือ หรืออื่นๆก็ตาม เเละเเท้จริงอนาชีด เเละการปรบมือ หรือสิ่งที่อยู่ร่วมกับของพวกนี้นั้น มันเป็นนิสัยของพวกศูฟีย์ เเละอัลลอฮฺ อัซซ่าวะญัล ทรงตรัสว่า :
وَمَا كَانَ صَلَاتُهُمْ عِندَ ٱلْبَيْتِ إِلَّا مُكَآءً وَتَصْدِيَةً ۚ
ความว่า : มิปรากฏว่า การละหมาดของพวกเขา ณ บ้านของอัลลอฮฺ นั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากการเป่าเสียงหวัด และการตบมือเท่านั้น (อัล-อันฟาล : 35)
เพราะฉนั้น การปรบมือคลอการบรรเลงอนาชีดอิสลามียะฮฺนั้น ไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ เพราะจริงๆเเล้วมันก็คือการร้องรำทำเพลง(ที่ไร้สาระ)นั่นแหละ เพียงเเต่มันถูกพาดพิงไปหาอิสลาม ดังนั้นสิ่งนี้จึงไม่ถูกต้อง
[مجلة الدعوة / العدد : 1706]
• ชัยคฺ ศอลิหฺ บิน อับดุลอะซีซ อาลุชชัยคฺ หะฟิซอฮุลลอฮฺ/รัฐมนตรีกระทรวงการศาสนาเเละศาสนสมบัติแห่งซาอุดิอารเบีย :
คำถาม : ในยุคปัจจุบันนี้ สื่อในการเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺมีอย่างเเพร่หลาย เเต่บางสิ่งบางอย่างเป็นความคลุมเคลือสำหรับฉัน เช่น การเเสดงละคร เเละอนาชีด สิ่งเหล่านี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?
คำตอบ : สำหรับอนาชีด สิ่งที่ฉันรู้มาจากนักวิชาการของเราที่คำพูดของพวกเขาได้ระบุเนื้อหาในฟัตวาว่าพวกเขาไม่อนุญาตสิ่งดังกล่าว เพราะอนาชีดมาจากเเนวทางของพวกอิควาน อัล-มุสลิมีน (หนึ่งในกลุ่มหลงผิดในยุคปัจจุบัน)และอิควาน อัล-มุสลิมีนนั้น ชนิดหนึ่งของการดะอฺวะฮฺของพวกเขา ก็คืออนาชีด
เเละอนาชีดตามเเนวปฏิบัติของพวกศูฟีย์เเล้ว ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้อบรมบรรดาสานุศิษย์ เเละได้เข้ามาเหมือนสื่อหนึ่งในสื่อต่างๆ
เเละในเเง่ของการนำไปใช้หรือการถ่ายทอดสื่อ จะพบว่ามีการนำไปใช้ในประเทศต่างๆ รวมถึงยังถูกนำไปขับร้องในโอกาสต่างๆอีกด้วย ด้วยกับลักษณะต่างๆที่ปรากฏชัดนี้ บรรดานักวิชาการจึงมีความเห็นว่าอนาชีดไม่เป็นที่อนุญาต
เเละท่านอิหม่ามอะหมัด รอหิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง"ตัฆบีร"(คือการรำลึกถึงอัลลอฮฺโดยมีการเข้าจังหวะ)ที่พวกศูฟีย์ได้อุตริขึ้นมา เเละมันก็ใกล้เคียงกับอนาชีดที่มีอยู่ตอนนี้ว่า :
"แท้จริงมันเป็นสิ่งใหม่ เเละเป็นอุตริกรรม โดยจุดประสงค์ของสิ่งนี้คือการผินหลังให้อัล-กุรอาน"
นี่คือคำพูดของท่านอิหม่ามอะหมัดนะ !
เเละพวกเขาได้เรียกมันว่าการฟังที่น่าสรรเสริญ เเต่จริงๆเเล้วมันไม่ใช่การฟังที่น่าสรรญเสริญเลย หากเเต่ว่ามันถูกตำหนิมากกว่า นี่คือเกี่ยวกับอนาชีด...
[شريط بعنوان : فتاوى العلماء فيما يسمى بالأناشيد الإسلامية]
• ชัยคฺ อับดุลมุหฺซิน อัล-อับบาด อัล-บัดรฺ หะฟิซอฮุลลอฮฺ/อุลามาอฺอาวุโสแห่งเมืองมะดีนะฮฺ :
คำถาม : อะไรคือหุก่มของอนาชีดอิสลามียะฮฺ ?
คำตอบ : มนุษย์นั้น จำเป็นที่เขาจะต้องใช้เวลาของเขาไปในสิ่งที่เกิดประโยชน์เเละเป็นความดีงามต่อตัวเขาในดุนยาเเละอาคิเราะฮฺ กล่าวคือ ให้ใส่ใจอยู่กับการรำลึกถึงอัลลอฮฺเเละอ่านอัล-กุรอาน อ่านตำหรับตำราที่มีประโยชน์ หรือจะเป็นการอ่านโคลงกลอนที่ดีๆ ที่ชี้นำสู่มารยาทที่งดงาม เเละจรรยาที่ดี
ส่วนอนาชีดที่มันปรากฏในช่วงหลังๆนี้ ที่มีคนรวมตัวกันเเล้วทำการบรรเลงเป็นเสียงเดียวกัน เเล้วก็บันทึกเสียงกัน หลังจากนั้นก็ทำการเผยเเพร่มัน เเล้วผู้คนก็ใจจดใจจ่ออยู่กับมัน ดังกล่าวนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะเรื่องสำคัญอยู่ที่ความหมายที่ดี(ไม่ใช่การขับร้อง) เเละการเอาใจใส่ต่อการทำความรู้จักความหมายที่ดี เเละการฟังเรื่องที่ดีๆ ส่วนการดื่มด่ำอยู่กับน้ำเสียง เเละเอาจริงเอาจังในการฟังน้ำเสียงนั้น เป็นสิ่งที่ไม่คู่ควร เเละไม่สมควรจะยุ่งเกี่ยว
[القول المفيد في حكم الأناشيد / ص:70]
เเละทั้งหมดนี้คือบรรดานักวิชาการซุนนะฮฺร่วมสมัยที่มีทรรศนะว่าไม่อนุญาตในเรื่องของอนาชีด
ส่วนนักวิชาการที่มีความเห็นว่า อนาชีดเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้นั้นก็มีอยู่ เเต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ท่านผู้มีเกียรติเหล่านั้นไม่ได้เปิดกว้างเรื่องของอนาชีดโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆไว้เลย แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดได้วางกฏเกณฑ์เเละเงื่อนไขต่างๆที่จำเป็นต้องมีในการขับร้องอนาชีด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ สภาพของอนาชีดก็ได้มีการพัฒนาการไปจนเกือบเหมือนกับเพลงทั่วๆไปของนักร้องที่ชั่วช้าทั้งหลายขึ้นทุกที ซึ่งในประเด็นนี้ท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หะฟิซอฮุลลอฮฺ นักวิชาการประเทศซาอุดิอารเบียได้กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของท่านว่า :
"เราเสียใจอย่างที่สุด ที่สภาพของอนาชีดและนักร้องอนาชีดได้มาถึงจุดๆนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงอนาชีดที่มีความหมายในด้านการศรัทธา การญิฮาด หรือการปฏิบัติการงาน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ส่วนมากของอนาชีดได้มีพัฒนาการจนเหมือนกับเพลงของคนชั่วๆทั้งหลาย โดยได้มีการทำเสียงอ่อนหวาน และใส่รูปนักร้องที่หน้าปกแผ่นเสียง อีกทั้งมีการถ่ายทำมิวสิควิดีโอ รวมทั้งสิ่งที่เป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนหลักการ อาทิ มีบรรดาสตรี เเละบรรดาคนเลวๆร่วมอยู่ด้วย เเละถ้ามองในด้านการใช้เครื่องดนตรีหรืออุปกรณ์ดนตรีต่างๆเเล้วนั้น สภาพที่คิดว่าเบาที่สุดเเล้วของพวกเขา ก็คือผู้ที่ใช้สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงที่เหมือนกับเสียงของเครื่องดนตรีจริงๆ รวมไปถึง(การฟัง)อนาชีด ไม่ได้มีการพิจารณาถึงเรื่องของความหมายเลย แต่กลับไปยุ่งวุ่นวายอยู่กับจังหวะ ท่วงทำนอง เเละสิ่งที่จะสร้างความเคลิบเคลิ้มเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ก็จงบอกฉันสิว่า นักร้องที่ร้องอนาชีดเป็นภาษาอังกฤษ เเล้วก็ขับร้องไปตามท่วงทำนองของเขานั้น เขาจะผลิตอนาชีดของเขาออกมาอย่างไร ในเมื่อคนฟังไม่เข้าใจเลยเเม้เเต่ตัวอักษรเดียว !?"
เเละชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด ได้กล่าวอีกว่า :
"ด้วยเหตุนี้เอง บรรดานักวิชาการผู้มีเกียรติที่ได้อนุมัติเรื่องของอนาชีดในตอนเเรก เเล้วหลังจากนั้นสภาพของอนาชีดเเละนักร้องอนาชีดได้สร้างความไม่สบายออกไม่สบายใจให้เเก่พวกท่านเหล่านั้น -นี่ก่อนที่เขาจะรู้เรื่องมิวสิควิดีโออีกนะ- พวกเขาก็เลยยุติทรรศนะที่เคยอนุญาตไป หรือบางท่านก็ได้วางเงื่อนไขเอาไว้ เเละในบรรดานักวิชาการกลุ่มดังกล่าว คือ ท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน รอหิมาฮุลลอฮฺ"(และท่านก็ได้ยกฟัตวาของบรรดาอุลามาอฺ)
และในบรรดานักวิชาการที่ได้มีทรรศนะในลักษณะดังกล่าว มีดังต่อไปนี้ :
• ท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน รอหิมาฮุลลอฮฺ(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.1421) :
"อนาชีดอิสลามียะฮฺนั้น มีหลากหลายทรรศนะในเรื่องนี้ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ฟังมันมาตั้งนานเเล้ว เเละตอนที่มันปรากฏออกมาในช่วงเเรกๆก็ยังไม่มีปัญหาอะไรนะ มันยังปราศจากเครื่องกลอง เเละไม่มีสิ่งที่จะก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ เเละไม่มีการใส่ท่วงทำนองเพลงที่ต้องห้ามใดๆ เเต่ว่ามันได้พัฒนาการไปเรื่อยๆตามวันเวลา จนกระทั่งมันมีเครื่องเคาะเข้ามา อาจจะเป็นดุฟ(กลองหน้าเดียว)หรือสิ่งอื่นๆที่นอกเหนือจากดุฟ เเละมันก็ได้มีการคัดเลือกคนที่มีน้ำเสียงไพเราะเเละมีเสน่ห์เข้ามา จนกระทั่งในที่สุดมันได้เปลี่ยนแปลงไปจนเหมือนกับเพลงที่ต้องห้าม จนกระทั่งมันมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลใจ เเต่อย่างไรก็ตาม ไม่อนุญาตแก่ผู้ใดที่จะออกฟัตวาว่าอนุญาตในทุกๆสภาพ หรือต้องห้ามในทุกๆสภาพ เเต่ทว่าถ้าหากอนาชีดมันปราศจากสิ่งที่ฉันได้ชี้เเนะไปข้างต้น มันก็เป็นที่อนุญาต แต่ถ้าหากมันมีดุฟเข้ามา หรือมีการคัดเลือกคนที่มีเสียงดี ฟังดูเเล้วมีเสน่ห์ หรือมีการใช้ท่วงทำนองเพลง ถ้าเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่เป็นที่อนุญาตที่จะฟังมัน"
[الصحوة الإسلامية / ص : 185]
• ท่านชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ รอหิมาฮุลลอฮฺ(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.1420) :
คำถาม : อะไรคือหุกุ่มการฟังเทปนะชีดอิสลาม ?
คำตอบ : อะนาชีดอิสลามนั้น(มีหุก่มที่)แตกต่างกันไป หากนะชีดนั้นถูกต้อง ไม่มีอะไรนอกจากการเชิญชวนไปสู่สิ่งดีงาม และตักเตือนในเรื่องความดีและการเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูล รวมถึงเชิญชวนไปสู่การปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดจากอุบายของศัตรูและการเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับพวกเขา เป็นต้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าในนะชีดไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีการเชิญชวนไปสู่การฝ่าฝืน การปะปนกันระหว่างชาย-หญิง หรือมีผู้หญิงเปิดเผยเอาเราะฮฺ หรือความเสียหายอื่นๆ ก็ไม่อนุญาตให้ฟัง
[مجموع الفتاوى ومقالات متنوعة 3/437]
และท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด ได้รวบรวมเงื่อนไขต่างๆสำหรับทรรศนะที่อนุญาตในเรื่องของอนาชีด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ได้มาจากคำฟัตวาของบรรดานักวิชาการที่ได้วางเอาไว้อย่างรัดกุม ดังนี้ :
1.เนื้อหาของอนาชีดต้องไม่มีคำที่ต้องห้าม เเละไร้สาระ
2.ต้องไม่มีเครื่องดนตรี หรืออุปกรณ์ดนตรีใดๆ ซึ่งเครื่องดนตรีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกอนุมัติยกเว้นกลองดุฟสำหรับหรับสตรีในบางโอกาสเท่านั้น(วันอีด , งานเเต่งงาน)
3.ต้องไม่มีสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงที่เหมือนกับเสียงของเครื่องดนตรี เพราะว่าการพิจารณานั้น จะพิจารณากันที่สิ่งที่ปรากฏชัดเเละร่องรอย เพราะฉนั้นการเลียนเสียงดนตรีที่ต้องห้าม จึงเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยที่ไม่ดีของมัน(หมายถึงเสียงที่ได้จากการเลียนเสียงดนตรี)นั้น มันก็คือเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรีจริงๆนั่นเอง
4.อนาชีดจะต้องไม่เกิดเป็นความเคยชินแก่ผู้ฟัง เเละจะต้องไม่เป็นการทำลายเวลาของเขา หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็น(วาญิบ)เเละสิ่งที่เป็นที่ส่งเสริม(มุซตะฮับ) เช่นส่งผลกระทบต่อการอ่านอัล-กุรอาน เเละการดะอฺวะฮฺไปสู่อัลลอฮฺ
5.ผู้ที่ขับร้องจะต้องไม่ใช่ผู้หญิงที่มาร้องต่อหน้าผู้ชาย หรือผู้ชายที่รูปร่างหน้าตา เเละน้ำเสียงเป็นที่ดึงดูดความสนใจมาขับร้องต่อหน้าผู้หญิง
6.ออกห่างจากการฟังคนที่มีเสียงอ่อนหวาน และคนที่ทำร่างกายพลิ้วไปมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นฟิตนะฮฺ และเป็นการประพฤติเหมือนกับคนชั่ว
7.ออกห่างรูปภาพหน้าปกแผ่นเสียง เเละสมควรยิ่งกว่าที่จะต้องออกห่างการปรากฏตัวในมิวสิควิดีโอ เเละโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกิดจากพวกเขาบางคน อย่างการเคลื่อนไหวที่เป็นการยั่วยวน เเละการกระทำเหมือนนักร้องที่ชั่วช้าทั้งหลาย
8.จุดประสงค์ของอนาชีดนั้น อยู่ที่เนื้อหาของมัน ไม่ใช่ที่จังหวะหรือท่วงทำนอง เเละการขับร้องของมัน [3]
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจเเละรับรู้เเล้วว่าประเด็นอนาชีด เป็นประเด็นเห็นต่างในหมู่นักวิชาการ ซึ่งมีทั้งผู้ไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด หรือบางท่านก็อยู่ในระดับที่ไม่สมควรกระทำพร้อมทั้งส่งเสริมให้ออกห่าง ดังที่เราได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น และมีนักวิชาการอีกฝ่ายที่ได้อนุญาตพร้อมทั้งวางเงื่อนไขเอาไว้ ดังที่ได้เสนอไปแล้วเช่นเดียวกัน เเต่สิ่งที่เป็นที่น่าสังเกตคือ ในบรรดานักวิชาการทุกท่านที่อนุญาต ขอบข่ายการอนุญาตของเขาอยู่เเค่ระดับ"ไม่มีปัญหา" หรือ"เเค่อนุญาต"เท่านั้น ซึ่งไม่ทีนักวิชาการท่านใดเลยที่ฟัตวาในเชิงรณรงค์ส่งเสริมให้เอาเป็นเอาตายกับอนาชีด เลยเถิดไปจนถึงการมีวงอนาชีด ตระเวนบรรเลงอนาชีดตามงานอีเว้นท์ต่างๆ หรือการอัดเเผ่นซีดีออกอัลบั้ม วางจำหน่ายตามท้องตลาดอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อีกทั้งมันยังทำให้ผู้คนเคยชินอยู่เเละหัวใจถวินหาเเต่การฟังอนาชีด เเละที่ร้ายเเรงยิ่งกว่านั้น คือมันทำให้ผู้คนผินหลังให้กับอัล-กุรอานเเละการรำลึกถึงอัลลอฮฺ รวมทั้งออกห่างจากการงานที่ดีๆทั้งหลายที่บรรดาบรรพชนยุคต้นได้ส่งเสริมให้กระทำอีกด้วย และในบางฟัตวาของท่านชัยคฺ มุฮัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน รอหิมาฮุลลอฮฺ ท่านได้ตอบคำถามเกี่ยวกับอนาชีดเอาไว้อย่างสั้นๆเเต่ชัดเจนว่ามันเป็นการขับร้องที่เป็นอุตริกรรม ดังฟัตวาต่อไปนี้ :
คำถาม : อนุญาตให้ผู้ชายขับร้องอนาชีดกันเป็นกลุ่มได้หรือไม่ ? เเละอนุญาตให้ขับร้องพร้อมกับมีการตีกลองดุฟหรือไม่ ? เเละการขับร้องเป็นที่อนุญาตในโอกาสอื่นที่นอกเหนือจากวันอีดเเละงานเเต่งเป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?
คำตอบ : การขับร้องอนาชีดอิสลาม เป็นการขับร้องที่ถูกอุตริขึ้นมา เเละด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่สมควรที่จะไปให้ความสำคัญกับข้อเตือนใจจากอัล-กุรอานเเละซุนนะฮฺดีกว่า ยกเว้นในประเทศที่มีสงคราม เพื่อจะช่วยให้ผู้คนมีความฮึกเหิม เเละออกไปสู่การญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ดี เเต่ยิ่งมันมีกลองดุฟเข้ามาร่วมด้วย ก็ยิ่งออกห่างจากความถูกต้องเข้าไปอีก
[فتاوى العقيدة / ص : 651 / رقم : 369]
เเละสุดท้ายนี้เราขอย้ำว่าทรรศนะที่มีน้ำหนักที่สุดสำหรับเราคือทรรศนะที่ไม่อนุญาต ดังเหตุผลที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น อาทิ มันเป็นอุตริกรรมที่พวกศูฟีย์อุตริขึ้นมา เป็นอุตริกรรมในการดะอฺวะฮฺ อีกทั้งชนชาวสะลัฟไม่เคยใช้วิธีการนี้ในการดะอฺวะฮฺของพวกเขา และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย
เเต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม เราก็ให้ความเป็นธรรมกับอีกทรรศนะหนึ่งที่อนุญาตในเรื่องนี้ เเต่เราก็ขอเรียกร้องให้คนที่อ้างฟัตวาตามทรรศนะดังกล่าว ได้มีความซื่อสัตย์ต่อศาสนาเเละวิชาการ โดยให้ทำตามเงื่อนไขที่บรรดานักวิชาการได้วางเอาไว้ให้ครบถ้วน ไม่ใช่เป็นการตัดทอนเนื้อหาฟัตวาเฉพาะที่สบกับอารมณ์ของตน เพื่อสนองผลประโยชน์หรือปกป้องพวกพ้องของตนเพียงอย่างเดียว ถ้ามิเช่นนั้น เราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจในความรอบรู้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เเละพระองค์คือผู้ทรงยุติธรรมยิ่งในการพิพากษาบ่าวของพระองค์
ที่มา: islamqa.info , อิสลามตามแบบฉบับ
www.muslimthaipost.com