นบีอิบรอฮีม (อับบราฮัม) เกิดเมื่อประมาณ 1900 ปี ก่อนคริสตกาล ในเมืองอูร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัค พ่อของท่านมีชื่อว่าอาซัรฺ เป็นหัวหน้านักบวชผู้มั่งคั่งจากการทำรูปปั้นและเทวรูปต่างๆขายให้แก่ผู้คนทั่วไป
เชื้อสายนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม พร้อมประวัติแบบย่อ
แผนภูมิเชื้อสายบนีอิสรออีล ลูกหลานนบียะกู๊บ
ประวัตินบีอิบรอฮีม (อับบราฮัม) ขอแบ่งออกเป็น 6 ตอน
ตอน 1
นบีอิบรอฮีม (อับบราฮัม) เกิดเมื่อประมาณ 1900 ปี ก่อนคริสตกาล ในเมืองอูร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัค พ่อของท่านมีชื่อว่าอาซัรฺ เป็นหัวหน้านักบวชผู้มั่งคั่งจากการทำรูปปั้นและเทวรูปต่างๆขายให้แก่ผู้คนทั่วไป
ในเวลานั้น กษัตริย์ที่ปกครองดินแดนบริเวณนั้นคือ นัมรู้ด หัวหน้าเผ่าซาริมี นัมรู้ดไม่เพียงแต่จะเป็นกษัตริย์ผู้ปฏิเสธพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังแต่งตั้งตัวเองเป็นพระเจ้าและได้แกะสลักหินเป็นรูปตัวเองส่งไปยังเมืองต่างๆ และสั่งผู้คนที่โง่เขลาให้เคารพรูปปั้นของเขาอีกด้วย
อิบรอฮีมเป็นเด็กฉลาดและช่างคิด เขาสังเกตเห็นผู้คนพากันเคารพสักการะเทวรูปหินเหล่านั้นแล้วเขาก็เริ่มสงสัยว่า เทวรูปเหล่านั้นเป็นพระเจ้าจริงหรือ
ดังนั้นอัลลอฮฺ จึงได้ทรงอิบรอฮีมสังเกตเห็นชั้นฟ้าและแผ่นดินเพื่อให้อิบรอฮีมมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาคิด
คืนหนึ่ง หลังจากที่แสงอาทิตย์หมดไปจากท้องฟ้าและทุกแห่งตกอยู่ในความมืดมิด อิบรอฮีมก็สังเกตเห็นดวงดาวมากมายอยู่ในท้องฟ้า เขาจึงกล่าวว่า “นี่คือพระเจ้าของฉัน” แต่แล้วเมื่อท้องฟ้าสว่าง ดวงดาวต่างๆก็ค่อยๆจางหายไป อิบรอฮีมจึงเหล่าว่า “ฉันไม่ชอบสิ่งใดที่จางหายไป”
คืนต่อมา อิบรอฮีมสังเกตเห็นดวงจันทร์ส่องแสงสว่างอยู่กลางท้องฟ้า เขาจึงกล่าวว่า “นี่คือพระเจ้าของฉัน” แต่พอรุ่งเช้าดวงจันทร์ก็จางหายไปจากท้องฟ้าอีก อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า “หากพระเจ้าของฉันไม่ชี้ทางให้ฉันแล้ว ฉันคงต้องเป็นผู้หลงผิดอย่างแน่นอน”
ในตอนเช้า อิบรอฮีมเห็นดวงอาทิตย์โพล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าส่องแสงสว่างให้แก่โลก เขาก็กล่าวว่า “นี่คือพระเจ้าของฉันแน่เลย เพราะมันใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด” แต่พอตกเย็น ดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป อิบรอฮีม จึงรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง ผู้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวเหล่านี้ต่างหากที่เป็นพระเจ้า
เมื่อเขาไต่ตรองถึงความจริงเช่นนี้ได้ เขาจึงไปพูดกับผู้คนและบอกว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรกับพวกท่านที่เคารพบูชาสิ่งอื่นใดควบคู่กับอัลลอฮฺ ฉันจะขอตั้งหน้าเคารพสักการะพระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันจะไม่ขอเป็นผู้เคารพบูชาสิ่งใดควบคู่ไปกับอัลลอฮฺ”
ตอน 2
หลังจากนั้นต่อมา อิบรอฮีมได้กล่าวกับบิดาว่า “ทำไมพ่อต้องไปเคารพบูชาสิ่งที่ไม่สามารถได้ยินและก็มองไม่เห็น แถมยังไม่สามารถช่วยอะไรพ่อได้อีก มันให้คุณหรือโทษแก่พ่อได้ไหม”
พ่อของเขาตอบว่า”มันทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่เราเห็นบรรพบุรุษของเราเคารพบูชากันมา เราก็ปฏิบัติตามกัน
อิบรอฮีมจึงถามว่า “พวกท่านเปิดตาพิจารณาถึงสิ่งที่พวกท่านและปูย่าตาทวดของท่านเคารพบูชากันบ้างหรือเปล่า ? พวกเทวรูปเหล่านั้นเป็นศัตรูต่อฉัน นอกจากอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ผู้ทรงสร้างฉันแล้วทรงชี้ทางให้แก่ฉัน ผู้ทรงให้อาหารและเครื่องดื่มแก่ฉัน และผู้ทรงทำให้ฉันหายป่วย ผู้ทรงทำให้ฉันตายและทำให้ฉันฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งผู้ที่จะทรงให้อภัยแก่ฉันในวันพิพากษา พ่อฉันกลัวว่าพ่อจะถูกพระเจ้าลงโทษ แล้วพ่อจะเป็นเพื่อนของชัยฏอน”
พ่อของเขาจึงตวาดออกมาว่า “อิบรอฮีม เจ้าดูหมิ่นสิ่งที่ฉันเคารพสักการะอย่างนั้นหรือ ? ถ้าหากเจ้าไม่เลิกทำเช่นนั้น ฉันจะเอาหินขว้างเจ้าให้ตาย ไปให้พ้นจากฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอลาพ่อ และฉันจะขอวิงวอนพระเจ้าของฉันให้ทรงอภัยต่อพ่อ เพราะพระองค์ทรงเมตตาต่อฉัน ฉันจะขอไปจากพวกท่านและไปจากสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายเคารพบูชาแทนอัลลอฮฺ ฉันจะวิงวอนพระเจ้าของฉันและฉันหวังว่า ฉันจะไม่ผิดหวังในการที่ฉันวิงวอนต่อพระเจ้าของฉัน”
“แล้วคอยดูเถิด วันหนึ่งฉันจะจัดการพวกเทวรูปของพวกท่านให้ดู เมื่อพวกท่านไม่อยู่”
วันหนึ่ง ขณะที่ผู้คนออกไปนอกเมือง อิบรอฮีมได้เข้าไปยังสถานที่ตั้งของเทวรูปที่ผู้คนบูชา แล้วเขาก็ใช้ขวานทำลายเทวรูปเหล่านั้นแตกลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยกเว้นเทวรูปองค์ใหญ่ที่สุดที่เขาเอาขวานไปแขวนไว้และปล่อยให้ผู้คนกลับมาเห็น
ตอน 3
เมื่อผู้คนกลับเข้ามาในเมืองและเห็นเทวรูปแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผู้คนจึงตะโกนร้องว่า "เทวรูปของเราแตกหมดแล้ว ใครทำลายเทวรูปของเรา มันต้องมีเจตนาร้ายต่อพวกเราแน่"
คนหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "อิบรอฮีมแน่นอน ฉันได้ยินเขาพูดเรื่องเทวรูปเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว"
ดังนั้นจึงมีคนเสนอขึ้นมาว่า "ถ้าเป็นเช่นนั้นไปจับตัวเขามาที่นี่เพื่อให้ผู้คนได้รู้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไป"
เมื่ออิบรอฮีมถูกนำตัวมา ผู้คนจึงได้ถามอิบรอฮีมว่าอิบรอฮีม "เจ้าทำลายเทวรูปที่เราสักการะบูชาใช่ไหม?"
"เปล่า เทวรูปองค์ใหญ่ต่างหากที่ทำ ไม่เชื่อลองถามเทวรูปเหล่านั้นดูก็ได้ ถ้าหากว่ามันพูดได้" อิบรอฮีมตอบอย่างไม่กลัว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้คนก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเทวรูปเหล่านั้นพูดไม่ได้จริงๆ แต่เพราะความโง่เขลาและดื้อรั้น พวกเขาก็ยังดึงดันกล่าวว่า "เจ้าก็รู้ว่าเทวรูปเหล่านั้นพูดไม่ได้"
อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า "เช่นนี้แล้ว พวกท่านก็ยังละทิ้งอัลลอฮฺและหันไปเคารพสิ่งที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษอะไรแก่พวกท่านอีกกระนั้นหรือ ? พวกท่านใช้สติปัญญากันบ้างรึเปล่า ?"
ด้วยความโกรธที่เทวรูปบูชาของพวกตนถูกทำลายและยังต้องอับอายขายหน้าอิบรอฮีม ผู้คนจึงนำตัวอิบรอฮีมไปหากษัตริย์นัมรู้ดเพื่อไต่สวน
นัมรูดถามว่า "พระเจ้าของเจ้าคือใคร?"
อิบรอฮีมจึงกล่าวว่า "พระผู้อภิบาลของฉันคืออัลลอฮฺผู้ทรงให้ชีวิตและทรงให้ตาย"
"ฉันก็ได้ให้ชีวิตและให้ตายได้เหมือนกัน" นัมรู้ดกล่าว
"อัลลอฮฺทรงนำดวงอาทิตย์มาทางตะวันออก ดังนั้น ถ้าท่านแน่จริงขอให้ท่านนำมันขึ้นทางทิศตะวันตก"
ด้วยความโกรธเพราะเสียหน้า ทั้งนัมรู้ดและผู้คนของเขาจึงกล่าวว่า "จับเขาเผาทั้งเป็นเพื่อแก้แค้นให้เทวรูปของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านต้องการ"
ดังนั้นผู้คนจึงได้จับอิบรอฮีมมัดและนำเขาไปวางไว้บนกองฟืนเมื่อผู้คนเริ่มจุดไฟเผา อัลลอฮฺก็ได้มีบัญชาว่า "โอ้ไฟจงเย็นลงและอย่าทำอันตรายอิบรอฮีม" แผนการของผู้คนจึงไม่มีผลใดๆต่ออิบรอฮีม
หลังจากที่ไฟเผาจนท่วมร่างอิบรอฮีมแล้ว ผู้คนจึงต่างแยกย้ายกันกลับบ้านโดยคิดว่าอิบรอฮีมคงจะถูกเผาจนมอดไหม้ไปหมดแล้ว
มาถึงตอนนี้ อิบรอฮีมรู้แล้วว่าพ่อของเขาเป็นศัตรูต่ออัลลอฮฺอย่างชัดเจน เขาจึงเลิกวิงวอนขอพรใดๆต่ออัลลอฮฺให้แก่พ่อของเขาโดยสิ้นเชิง
ตอนที่ 4
หลังจากได้รับความช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากการถูกเผาแล้ว อิบรอฮีมกับลูฏหลานชายของเขา ก็ออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนไปยังปาเลสไตน์และได้แต่งงานกับนางซาเราะฮฺ แต่ต่อมา ทั้งสามก็ได้พากันออกเดินทางต่อไปยังแผ่นดินอียิปต์
นบีอิบรอฮีมแต่งงานมาหลายปีแล้วก็ยังไม่มีลูก ท่านจึงได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ทรงประทานลูกชายที่ดีแก่ท่านคนหนึ่ง ต่อมาท่านก็ได้แต่งงานกับนางฮาญัรโดยที่นางซาเราะฮฺให้คำอนุญาต และได้ลูกชายน่ารักคนหนึ่งมีชื่อว่าอิสมาอีล ซึ่งมีความหมายว่าเป็นที่ได้ยิน นั่นคืออัลลอฮฺได้ยินคำวิงวอนของท่านนั่นเอง
หลังจากอิสมาอีลเกิดได้ไม่นาน อัลลอฮฺก็มีบัญชาให้ท่านนำนางฮารญัรและอิสมาอีล ไปยังหุบเขาบักก๊ะฮฺในทะเลทรายอารเบียและอาศัยอยู่ที่นั่น
เมื่ออิสมาอีลโตขึ้นจนถึงวัยหนุ่ม วันหนึ่ง นบีอิบรอฮีมก็ได้เรียกอิสมาอีลมาหาและได้กล่าวว่า "ลูกรักพ่อเห็นในความฝันว่าพ่อกำลังเชือดเจ้าพลีถวายต่ออัลลอฮฺ ลูกคิดว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ?"
อิสมาอีลตอบว่า "คุณพ่อครับ อะไรก็ตามที่พ่อถูกบัญชาให้ทำพ่อจงทำ หากเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ แล้วพ่อจะเห็นว่าฉันเป็นผู้อดทน"
ดังนั้น นบีอิบรอฮีมจึงตัดสินใจทำตามที่ท่านเห็นในความฝัน เมื่อนบีอิบรอฮีมพาอิสมาอีลไปยังสถานที่ที่จะเชือดพลีอิสมาอีล ระหว่างทางมารร้ายได้พยายามชักชวนนบีอิบรอฮีมไม่ให้ปฏิบัติตามที่ท่านฝัน แต่เมื่อท่านนึกถึงอัลลอฮฺขึ้นมาได้ ท่านก็เอาหินขว้างมันจนหนีไป แต่สักครู่หนึ่งมันก็กลับมาชักชวนท่านอีก ท่านก็เอาหินขว้างมันอีก มันจึงได้หลบหนีไป แต่ไม่นาน มันก็มาอีกเป็นครั้งที่สามและท่านก็ได้ขว้างมันอีก หลังจากนั้นมันก็ไม่กลับมาหลอกลวงนบีอิบรออีมอีกต่อไป (เป็นที่มาของการขว้างเสาหินในขั้นตอนการประกอบพิธีฮัจย์ด้วย เพิ่มเติมโดย annisaa.com)
เมื่อมาถึงสถานที่ที่จะใช้เป็นที่เชือด นบีอิบรอฮีมได้ให้อิสมาอีลนอนลง แต่ก่อนที่จะลงมือเชือด อัลลอฮฺก็ได้ทรงกล่าวแก่ท่านว่า
"อิบรอฮีม เจ้าได้แสดงเจตนาที่จะปฏิบัติตามความฝันแล้ว ดังนั้นเราจะตอบแทนความดีงามให้ ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงการทดสอบเจ้าต่างหาก "
หลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ได้ให้ท่านเอาแกะมาเชือดแทนการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของท่าน
การที่อิบรอฮีมได้ถูกทดสอบจิตใจอย่างหนักกน่วงมาโดยตลอด และท่านสามารถผ่านการทดสอบได้นี้เอง ที่ทำให้อัลลอฮฺได้รับนบีอิบรอฮีมไว้เป็นเพื่อนของพระองค์ และได้กล่าวว่า "ฉันจะตั้งให้เจ้าเป็นผู้นำของมนุษยชาติ"
นบีอิบรอฮีมจึงได้ถามว่า "และลุกหลานของฉันด้วยหรือเปล่า"
อัลลอฮฺจึงได้ทรงกล่าวว่า "สัญญาของฉันไม่รวมถึงเหล่าชนผู้อธรรม"
[อัศศ็อฟฟาต 37.100] ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงประทานบุตรที่มาจากหมู่คนดีให้แก่ข้าพระองค์ด้วย
[อัศศ็อฟฟาต 37:101] ดังนั้น เราจึงแจ้งข่าวดีแก่เขา (ว่าจะได้) ลูกคนหนึ่ง ที่มีความอดทนขันติ (คือ อิสมาอีล)
[อัศศ็อฟฟาต 37:102] ครั้นเมื่อเขา (อิสมาอีล) เติบโตขึ้นไปไหนมาไหนกับเขา (อิบรอฮีม) ได้แล้ว อิบรอฮีมได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ลูกเอ๋ย ! แท้จริงพ่อได้เห็นในขณะฝันว่า พ่อได้เชือดเจ้า จงคิดดูซิว่าเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร? เขากล่าวว่า โอ่พ่อจ๋า! พ่อจงปฏิบัติตามที่พ่อได้ถูกบัญชามาเถิด หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พ่อจะเห็นฉันว่า ฉันอยู่ในหมู่ผู้มีความอดทน
[อัศศ็อฟฟาต 37:103] ครั้นเมื่อทั้งสอง (พ่อและลูก) ได้ยอมมอบตน (แด่อัลลอฮ์) อิบรอฮีมได้ให้อีสมาอีลคว่ำหน้าลงกับพื้น
[อัศศ็อฟฟาต 37:104] และเราได้เรียกเขาว่า โอ้ อิบรอฮีม เอ๋ย
[อัศศ็อฟฟาต 37:105] แน่นอน เจ้าได้ปฏิบัติถูกต้องตามฝันแล้ว แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย
[อัศศ็อฟฟาต 37:106] แท้จริง นั่นคือ การทดสอบที่ชัดแจ้งแน่นอน
[อัศศ็อฟฟาต 37:107] และเราได้ให้ค่าไถ่ตัวเขาด้วยสัตว์เชือดพลีอันใหญ่หลวง
[อัศศ็อฟฟาต 37:108] และเราได้ปล่อยทิ้งไว้ (เกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลัง ๆ
[อัศศ็อฟฟาต 37:109] ศานติจงมีแต่อิบรอฮีม
[อัศศ็อฟฟาต 37:110] เช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย
[อัศศ็อฟฟาต 37:111] แท้จริง เขา (อิบรอฮีม) เป็นคนหนึ่งในปวงบ่าวของเราผู้ศรัทธา
[อัศศ็อฟฟาต 37:112] เราได้แจ้งข่าวดีแก่เขาว่า จะได้(ลูกคนหนึ่ง)อิสฮาก เป็นนบี (จะเป็นหนึ่ง) ในหมู่คนดีทั้งหลาย
ตอนที่ 5
ต่อมาวันหนึ่ง อัลลอฮฺได้มีบัญชาให้นบีอิบรอฮีมสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะพระองค์และอัลลอฮฺได้ทรงชี้บริเวณที่จะสร้างให้ บ้านหลังนี้จึงเรียกว่าบัยตุลลอฮฺ(บ้านของอัลลอฮฺ) พระองค์ได้บัญชาอิบรอฮีมอีกว่าให้รักษาบ้านของพระองค์ให้สะอาดหมดจดสำหรับคนที่จะมาทำฮัจย์หรือละหมาด และจะต้องไม่ให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
ดังนั้นอิบรอฮีมและอิสมาอีลจึงช่วยกันสร้างอาคารขึ้นมาหลังหนึ่งโดยนำเอาหินในบริเวณนั้น มาก่อเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ก่อนลงมือสร้างอิบรอฮีมได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺว่า
"โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอได้ทรงโปรดทำให้เมืองนี้ให้เป็นที่ปลอดภัย และได้ทรงโปรดประทานผลไม้นานาชนิด แก่ชาวเมืองผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายด้วยเถิด"
พระองค์จึงได้ตอบว่า
"สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ฉันก็จะให้สิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในโลกนี้แก่พวกเขา แต่ในโลกหน้า ฉันจะส่งเขาไปสู่การลงโทษในไฟนรก"
หลังจากนั้น นบีอิบรอฮีมกับอิสมาอีลก็ช่วยกันสร้างบัยตุลลอฮฺ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็วิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า
"โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ขอได้ทรงโปรดรับงานนี้จากเราด้วยเถิด แน่นอน พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์ และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานเรา รู้ถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงอภัยโทษแก่เรา แน่แท้พระองค์ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ขอได้ทรงโปรดให้หมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่ง มาอธิบายคำสอนของพระองค์แก่พวกเขา สอนความรู้ให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาดด้วยเถิด แน่เท้ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ"
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวกับอิบรอฮีมว่า
"เจ้าจงประกาศแก่มวลมนุษย์เรื่องการทำฮัจย์ พวกเขาจะมายังเจ้าโดยทางเท้าและโดยขี่อูฐมาจากทุกหนทุกแห่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นคุณประโยชน์มากมายที่พวกเขาจะได้รับและเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวคำรำลึกถึงอัลลอฮฺในวันที่ถูกกำหนดไว้"
ดังนั้น การทำฮัจย์จึงเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกที่บัยตุลลอฮฺในสมัยของนบีอิบรอฮีมเป็นต้นมา
ตัวอย่างบางส่วนของกุรอาน ที่กล่าวถึงนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม (อับบราฮัม)
[2:128]
พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานของเราเป็นชนชาติที่นอบน้อมต่อพระองค์ ขอได้ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงโปรดนิรโทษแก่เราโดยปรานี แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2:127]
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของ พวกข้าพระองค์โปรดรับ (งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยิน และทรงรอบรู้
[2:125]
"และจงรำลึกถึงขณะที่เรา ได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์ และเป็นที่ปลอดภัยและพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่ละหมาดเภิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และ อิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้า เพื่อบรรดาผู้ทำการเฏาะวาป และบรรดาผู้ทำการ เอียติกาฟ และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด"
[22:26]
และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานอัลบัยต์แก่อิบรอฮีมว่า เจ้าอย่าตั้งภาคีต่อข้าแต่อย่างใดและจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกัวะ และผู้สุญูด
[2:126]
"และจงรำลึกถึงยณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพ แก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือ ผุ้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง"
[3:97]
"ในบ้านนั้น มีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง (ส่วนหนึ่งนั้น) คือมะกอมอิบรอฮีม และผู้ใดได้เข้าไปในบ้านนั้น เขาก็เป็นผู้ปลอดภัยและสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้น อันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้และผู้ใดปฏิเสธ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย"
ตอนที่ 6
ต่อมา นบีรอฮีมได้เดินทางกลับไปหานางซาเราะฮฺอีกครั้งหนึ่งและได้อยู่กับนางจนกระทั้งถึงวัยชราโดยที่ทั้งองไม่มีลูกด้วยกัน
แต่แล้ววันหนึ่ง... ขณะที่นบีอิบรอฮีมย่างลูกวัวเป็นอาหารอยู่หน้าบ้าน มีชายหนุ่มรูปงามสามคนเดินผ่านมายังนบีอิบรอฮีม
"อัสลามมุอะลัยกุม"ชายหนุ่มทั้งสามกล่าวทักทายนบีอิบรอฮีม
"วะอะลัยกุมุสลาม" นบีอิบรอฮีมกล่าวตอบ
เมื่อรู้ว่ามีแขกมา นบีอิบรอฮีมจึงเชิญแขกทั้งสามแวะที่บ้านและเอาเนื้อลูกวัวย่างมาเลี้ยงตามธรรมเนียม นบีอิบรอฮีมยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มรูปงามทั้งสามคนนั้นคือมลาอิก๊ะฮฺที่อัลลอฮฺส่งมาในร่างของมนุษย์ ยังผู้คนของนบีลูฏ แต่เนื่องจากมลาอิก๊ะไม่กินและไม่ดื่ม นบีอิบรอฮีมจึงไม่สบายใจและกลัวว่าแขกทั้งสามจะมีเจตนาไม่ดี เพราะไม่ยอมกินอาหารที่ท่านนำมาเลี้ยง
เมื่อเห็นนบีอิบรอฮีมมีท่าทางตกใจ ชายหนุ่มทั้งสามจึงได้บอกนบีอิบรอฮีมว่า
"อย่าได้ตกใจเลย เรามาแจ้งข่าวดีว่าท่านจะมีลูก"
ขณะนั้น นางซาเราะฮฺภรรยาของท่านได้ยืนอยู่ที่นั่นด้วย นางจึงได้หัวเราะและเอามือตบหน้าผากของนางเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มลาอิก๊ะฮฺจึงได้กล่าวว่า "อัลลอฮฺได้ทรงให้เราบอกข่าวดีแก่นางว่า นางจะได้บุตรที่มีชื่อว่า อิสฮาก และจะมีหลานจากอิสฮากชื่อ ยะกู๊บ"
"อะไรกัน ฉันนะเหรอจะมีลูก ฉันเป็นหมันนะ แล้วตอนนี้ฉันก็แก่แล้วด้วย สามีของฉันก็แก่แล้วเช่นกัน นี่เป็นเรื่องประหลาดแท้ๆ" นางซาเราะฮฺอุทานออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มลาอิกะห์จึงได้บอกว่า “มันแปลกหรือถ้าอัลลอฮฺจะทรงทำ? นี่คือความเมตตาและความจำเริญของอัลลอฮฺที่ทรงมีต่อนาง จงอย่าสิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ เพราะการทำเช่นนั้นคือการหลงผิด อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้แล้ว พระองค์ทรงรู้ดี”
นบีอิบรอฮีมจึงถามว่า "ท่านมีธุระอันใดถึงได้มาที่นี่?"
มลาอิกะห์จึงได้ตอบว่า"จงอย่าตกใจไปเลย เราถูกส่งไปยังผู้คนซึ่งกำลังประกอบความชั่วช้าสามานย์อยู่"
นบีอิบรอฮีมรู้ทันทีเมืองที่มลาอิกะห์พูดถึงคือเมืองโซดอม เมืองที่ผู้คนกำลังประกอบความชั่วด้วยการมีความสัมพันธ์ทางเพศในหมู่ผู้ชายด้วยกัน และท่านได้สั่งให้ลูฏหลานชายของท่านไปตักเตือน "โอ้ พวกท่าน ในเมืองนั้นมีลูฏอยู่ด้วย" นบีอิบรอฮีมกล่าวด้วยความวิตก
มลาอิกะห์จึงกล่าวว่า "เรารู้ว่ามีใครอยู่ที่นั่น แต่เราจะป้องกันเขาและครอบครอบของเขา ยกเว้นภรรยาของเขาที่ไม่ยอมออกจากเมือง"
หลังจากนั้นไม่นาน นางซาเราะฮฺก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งชื่ออิสฮาก แก่นบีอิบรอฮีมดังที่มลาอิก๊ะฮฺได้กล่าวไว้ ขณะที่นบีอิบรอฮีมอยู่ในวัยชราและอ่อนแอมากแล้ว
วันหนึ่งมลาอิกะฮฺอิซรออีลได้มาปรากฏต่อหน้าท่าน
"อัลลอฮฺได้ทรงมีบัญชาให้ฉันมาเอาชีวิตท่าน" อิซรออีลกล่าวแก่นบีอิบรอฮีม
"ท่านช่วยถามอัลลอฮฺหน่อยได้ไหมว่า เพื่อนต้องเอาชีวิตเพื่อนด้วยหรือ?" นบีอิบรอฮีมเอ่ย
อัลลอฮฺจึงได้ทรงบอกผ่านมลาอิก๊ะฮฺว่า "เพื่อนจะไม่ยอมพบเพื่อนกระนั้นหรือ?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นบีอิบรอฮีมจึงได้กล่าวแก่มลาอิกะห์ว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านจงปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮฺเถิด"
นบีอิบรอฮีมเสียชีวิตตอนท่านมีอายุได้ 175 ปี หลังจากนั้น ลูกหลานของท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นนบีคนสำคัญหลายคน เช่น อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บ ยูซุฟ เป็นต้น
ตัวอย่างบางส่วนของกุรอาน ที่กล่าวถึงนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม (อับบราฮัม)
[11:69]
"และแน่นอนบรรดาทูตของเราได้มายังอิบรอฮีมพร้อมทั้งข่าวดี พวกเขากล่าวว่า ขอความศานติจงมีแด่ท่าน เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า ขอความศานติจงมีแด่พวกท่าน ดังนั้นเขามิได้รีรอที่จะนำลูกวัวย่างออกมา"
[11:74]
"ครั้นเมื่อความตระหนกได้คลายไปจากอิบรอฮีมแล้ว และข่าวดีได้มายังเขาเขาก็โต้เถียงเราในเรื่องของกลุ่มชนลูฏ"
[29:31]
"และครั้นเมื่อฑูตของเรา (มลาอิกะฮ์) ได้มาหาอิบรอฮีมพร้อมด้วยข่าวดี พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราเป็นผู้ทำลายชาวเมืองนี้ เพราะว่าชาวเมืองของมันเป็นผู้อธรรม"
[29:32]
"เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า แท้จริงในเมืองนั้นมีลูฏอยู่ด้วย พวกเขากล่าวว่า เรารู้ดีว่ามีใครอยู่ในนั้น แน่นอนเราจะช่วยเขาและบริวารของเขาให้รอดพ้น เว้นแต่ภริยาของเขาเพราะนางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย"
นบีอิบรอฮีมเกิดที่อิรัค หลังจากถูกเผาทั้งเป็นด้วยกษัตริย์นัมรู้ด เพราะนบีอิบรอฮีมศรัทธาในอัลลอฮฺ แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์จึงผ่านพ้นมาได้ จากนั้นจึงเดินทางมายังปาเลสไตน์ (ดินแดนคานาอัน ที่เรียกตามคำภีร์ไบเบิ้ล ) และจากปาเลสไตน์ ก็เดินทางไปยังมักก๊ะฮฺด้วยคำสั่งของอัลลอฮฺซุบบะฮานะฮูวะตะอาลา และก่อสร้างก๊ะบ๊ะฮฺ
ดินแดนคานาอัน หรือปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
ปาเลสไตน์ถูกเรียกว่า "กันอาน" หรือ "คานาอัน"(canaan) เพราะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกคะนาไนท์ หลังจากนั้น เมื่อชนเผ่าฟิลิสตินอพยพกันเข้ามายึดครอง ดินแดนนี้จึงถูกเรียกว่าปาเลสไตน์
ปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่มีความผูกพันกับประวัติศาสตร์ของ 3 ศาสนาสำคัญของโลก คือ ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ และอิสลาม ศาสนฑูตหรือนบีของทั้งสามศาสนาน ี้มีบรรพบุรุษร่วมกันคืออิบรอฮีมหรืออับราฮัม
แต่ยิวและคริสต์จะเข้าใจว่า อิบรอฮีม มีเชื้อสายมาจากยิว หรือยูดาย ซึ่งในความเป็นจริง ยิวนั้นเป็นเชื้อสายมาจากบนีอิสรออีล ซึ่งเป็นเหลนของ นบีอิบรอฮีมด้วยซ้ำไป
นบีอิบรอฮีม > นบีอิสฮาก >นบียะกู๊บ >ลูกหลานนบียะกู๊บ(เรียกว่าบนีอิสรออีล)
[3:66]
"พวกเจ้านี้แหละ (คือพวกยิวและพวกคริสต์) ได้โต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในสิ่งนั้นแล้ว แล้วก็เหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ (คือไม่มีความรู้เกี่ยวกับท่านนบีอิบรอฮีม เพราะท่านมาก่อนพวกเขาเป็นเวลาช้านาน และมิได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ของพวกเขาด้วยว่าท่านเป็นยิวหรือเป็นคริสต์ แล้วพวกเขาไปทึกทักเอามาจากไหนที่ต่างฝ่ายอ้างว่าท่านตั้งอยู่ในศาสนาของตน) และอัลลอฮ์ นั้นทรง รู้แต่พวกเจ้าไม่รู้"
เมือง เออร์ แห่งแคลเดียร์นั้น อยู่ในบริเวณเมโสโปเตเมีย คืออิรัค ดังนั้น เมื่อท่านนบีอิบรอฮีมเกิดที่นี่
แสดงว่า ท่านนบีอิบรอฮีมไม่ใช่ยิวในดินแดนคานาอันแต่ดั้งเดิม เพราะเกิดก่อนยิวและถึงจะย้ายไปที่คานาอัน คือ ดินแดนปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
และอิสลามมีวัตถุพยานเป็นมะกอมอิบรอฮีมมีกะบะฮฺ ในขณะที่อีกฝ่าย ไม่มีหลักฐานอะไรนอกจากคัมภีร์ที่ถูกแก้ไขด้วยมนุษย์
จากหนังสือ ประวัตินบีในคัมภีร์กุรอาน โดยอาจารย์ บรรจง บินกาซัน
www.annisaa.com