หนึ่งในพรหมลิขิต คือ การกำหนดกฎเกิด แก่ เจ็บ ตายไว้สำหรับมนุษย์ทุก คน กฎนี้ไม่มีมนุษย์คนใด
โดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน
หนึ่งในพรหมลิขิต คือ การกำหนดกฎเกิด แก่ เจ็บ ตายไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน กฎนี้ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหลีกเลี่ยงได้
การเกิดเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดเตรียมไว้ แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตายรอมนุษย์อยู่ข้างหน้า ทุกคนจึงต้องเตรียมตัว
ด้วยความจริงของชีวิตดังกล่าวมา จึงมีบริษัทประกันมาทำหน้าที่ช่วยมนุษย์เตรียมตัวสำหรับเคราะห์กรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและหนักหนาสาหัสแค่ไหน การทำประกันชีวิตไว้อาจได้รับการชดใช้ค่าเสียหายหรืออาจมีเงิน ใช้ในยามชรา หรือทำให้ตัวเองสบายใจที่ลูกหลานผู้รับประโยชน์จะได้มีเงินใช้เมื่อตัวเองตายจากไป
แต่ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลงตรงความตาย วิญญาณต้องเดินทางต่อและชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์จะเป็นอย่างไรหลังความตาย ไม่มีบริษัทประกันแห่งใดสามารถประกันสวรรค์ให้ผู้ถือกรมธรรม์ได้ ดังนั้น ถ้าใครอยากจะได้ความสุขสบายหลังความตาย คนผู้นั้นต้องเตรียมตัวเอง
ความจริงของชีวิตในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ตระหนักมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ดังนั้น มนุษย์จึงมีการเตรียมตัวสำหรับชีวิตหลังความตายไว้ในลักษณะที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของตน
ฟาโรห์เชื่อว่าโลกหลังความตายมีจริง แต่เขาคิดผิดว่าเมื่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตตายจากโลกนี้ไป วิญญาณของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตจะกลับมาสู่ร่างของมนุษย์ในโลกนี้อีก ดังนั้น เขาจึงสั่งให้เก็บศพของเขาและสัตว์เลี้ยงแสนรัก ของเขา เช่น สุนัข จระเข้ไว้ในรูปมัมมี่ และยังสะสมทรัพย์สินไว้มากมาย เพื่อใช้ในโลกหลังความตายเมื่อวิญญาณของเขากลับมาจุติในร่างของเขาอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยความเชื่อเช่นนี้ จึงทำให้ฟาโรห์ต้องสะสมทรัพย์สมบัติไว้ด้วยความโลภและหวงแหนเพื่อชีวิตในโลกหน้า ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสั่งให้เก็บมัมมี่และทรัพย์สมบัติของเขาไว้ในปีรามิดเพราะกลัวว่าจะมีคนมาขโมยไป แต่จน
ทุกวันนี้กว่าสามพันปีแล้ว วิญญาณของฟาโรห์ก็ยังไม่กลับมาสู่ร่างของเขา เพื่อใช้ชีวิตและเสพสุขจากทรัพย์สินอันมากมายมหาศาลที่เขาสะสมไว้
ชาวจีนซึ่งเป็นชนชาติที่มีอารยะธรรมเก่าแก่ก็มีความเชื่อคล้ายกับฟาโรห์ ระหว่างมีชีวิตชาวจีนจะเตรียมตัวสำหรับความตายของตนเองโดยการจัดหาสุสานที่มีทำเลดีๆไว้เป็นของตนเอง คนมีอันจะกินจะซื้อที่กว้างขวางไว้ สำหรับฝังศพตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้น ชาวจีนยังเชื่อว่าหลังจากตายไปแล้วในโลกหน้า วิญญาณยังต้องการสิ่งจำเป็นและสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกับในโลกนี้ ดังนั้น ลูกหลานจึงทำพิธีเผากงเต็กให้บรรพบุรุษผู้วายชนม์เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู
ในคาบสมุทรอาหรับก่อนสมัยอิสลาม ชาวอาหรับเชื่อว่าการตายของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการตายของสัตว์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองหลังความตาย บางกลุ่มชนเชื่อว่าบุคคลที่ตัวเองนับถือเป็นพระเจ้าจะช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษในนรกได้ ด้วยความเชื่อเช่นนี้ ชาวอาหรับจึงใช้ชีวิตเหมือนกับคนในสังคมที่ไม่มีขื่อแปและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม สิ่งแรกที่ท่านสั่งสอนผู้คนคือเรื่องการศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและตามด้วยเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย ภาพสวรรค์ที่เป็นรางวัลตอบแทนผู้ศรัทธาในพระเจ้าและกระทำความดี และภาพนรกที่เตรียมไว้สำหรับคนทำชั่วจึงถูกนำมาฉายด้วยคำพูดให้ชาวอาหรับได้รู้เพื่อที่แต่ละคนจะได้เตรียมตัวเดินทางไป
นบีมุฮัมมัดกล่าวไว้ชัดเจนว่าในโลกหลังความตาย วิญญาณไม่ต้องการสิ่งที่เป็นวัตถุอีกแล้วเพราะโลกหลัง ความตายเป็นโลกแห่งการเก็บเกี่ยวหรือโลกแห่งการตอบแทน ส่วนโลกนี้เป็นโลกแห่งการเพาะปลูก ใครปลูกอะไร
ไว้ก็จะได้สิ่งนั้น
นอกจากนี้แล้ว นบีมุฮัมมัดยังได้กล่าวอีกว่า เมื่อมนุษย์คนใดตายลง การงานของเขาก็เป็นอันสิ้นสุด แต่สิ่งที่จะติดตัวเขาไปมีแค่เพียงศาสนกิจที่เขาได้ทำไว้ วิทยาทานหรือสาธารณะสมบัติที่จะส่งผลบุญให้ชีวิตหลังความตายของเขาอย่างต่อเนื่องและลูกที่ดีขอพรให้
คนมุสลิมจึงไม่ห่วงเรื่องที่ฝังศพและไม่สามารถจองที่ฝังศพของตัวเองไว้ล่วงหน้า แต่สิ่งที่มุสลิมเป็นห่วงคือเรื่องการกระทำของตัวเองก่อนลงหลุมฝังศพ