“วิทยาศาสตร์” อีกหนึ่งความรู้ ที่ยืนยันความจริงของ “อัลกุรอาน”


4,661 ผู้ชม

วิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่เหล่านี้นี่เองที่กลับมาเป็นสิ่งยืนยันความจริง


ท่านเคยได้ยินคำพูดประมาณนี้มาบ้างหรือเปล่า...หากเคยได้ยิน (เหมือนกับที่ผมเคยได้ยินมา) คงต้องบอกเลยว่าคำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดซึ่งออกมาจากปากผู้ที่ยังไม่เข้าใจอิสลามดีพอ หรือแย่หน่อยก็อาจจะเป็นหนึ่งในความต้องการที่จะโจมตีอิสลาม

ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันคิดที่จะทำความเข้าใจมันให้ดีพอซะด้วยซ้ำ (ผมคงไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนัก...แต่ประสบการณ์มันบอกมาย่างนี้จริง ๆ)

มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรที่ว่าอิสลามพยามยามสอนให้อิงกับวิทยาศาสตร์ ในเมื่อวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์นั้นมนุษย์เพิ่งจะเข้าใจเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี่เอง

แต่ว่า อัลกุรอานถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลจักรวาลมาเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว (อัลกุรอ่านถูกประทานให้ท่านศาสนทูตมา 1400 กว่าปี) โดยเฉพาะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกอ้างว่าเป็นทฤษฏีของพวกเขาที่คิดค้นได้เองนั้น

ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ไปจากนักวิชาการมุสลิมชาวอาหรับ ครั้งที่อาณาจักรอิสลามเคยเจริญรุ่งเรื่องที่สุดในยุโรป แล้วพวกเขาก็อ้างว่าเป็นความคิดของตนค้นคิดขึ้นมา

ซึ่งในช่วงคริสตศตวรรษที่ 5-15 ยุโรปจะเรียกยุคนั้นว่า "ยุคมืด"...ซึ่งที่จริงในช่วงพันปีนั้น ยุโรปถูกยึดครงวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ของอิสลาม...แต่ชาวยุโรปก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองรับวัฒนธรรมและความรู้มาจากิสลาม จึงขนานนามยุคดังกล่าวว่าเป็น "ยุคมืด"

จนกระทั่ง Renee Descarte หาวิธีพยายามหาวิธีตอบคำถามที่เขาตั้งเองว่า "I think there for I am" (ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่) นั่นแล ชาวยุโรปจึงรู้สึกโล่งอก...เลยพาดีใจกันยกใหญ่...ถึงกับเรียกว่าเป็น "ยุครู้แจ้ง" กันเลยทีเดียว

บทความที่น่าสนใจ

จากประสบการณ์ของผมทำให้พอทราบว่า ผู้ที่ไม่รู้และไม่เข้าใจในคัมภีร์อัล-กุรอ่านหลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่าในคัมภีร์อัล-กุรอ่านนั้นมีแต่การกล่าวถึงเรื่องพระเจ้า หรือเรื่องเหนือสติปัญญาของมนุษย์และคนมุสลิมก็คงจะอ่านมันไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์หรือวิทยาการสมัยใหม่

แต่ปล่าวเลย...วิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่เหล่านี้นี่เองที่กลับมาเป็นสิ่งยืนยันความจริงของคัมภีร์เล่มนี้

ทีนี้เราลองหันมามองดูคัมภีร์เล่มนี้กัน...ซึ่งหากเราลองพิจารณาสำนวนโองการอัล-กุรอ่านหลาย ๆ โองการแล้ว เราจะพบว่าอัล-กุรอ่านได้จัดหมวดหมู่ในเรื่องราวที่กล่าวไว้ภายในออกเป็นหลาย ๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น หมวดที่ว่าด้วยเรื่องการศรัทธา , ว่าด้วยเรื่องการทำอิบาดัต (การปฏิบัตทางศาสนา) , ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม (ทั้งมนุษย์ต่อมนุษย์ ,มนุษย์ต่อพระเจ้า) , เรื่องการประกอบธุรกิจ, เรื่องทางกฎหมายที่ว่าด้วยมรดก ,เรื่องครอบครัว และเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมดนั้นมีการกล่าวในรูปสำนวนที่เป็นกฎและมีความหมายชัดเจน...

แต่เมื่อเราพิจารณาโองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การเนรมิตโลกและจักรวาลทั้งมวลนั้น เรากลับพบรูปสำนวน วาทศิลป์ ที่สร้างความอัศจรรย์อย่างมาก ซึ่งนักวิชาการในแต่ละยุค เข้าใจและอธิบายความหมายตามความเหมาะสมกับความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น ๆ ตามแต่ที่วิทยาการในช่วงสมัยนั้นจะสามารถอธิบายได้ และความหมายของโองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์

ก็ยังมีความกว้างขวางให้มนุษย์ได้ทดลองและพิสูจน์ในทุก ๆ สถานที่และทุกยุคทุกสมัย อัลลอฮ์(ซบ) ทรงชี้นำมนุษย์ทั่วสากลจักรวาล เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์ และมนุษย์ สามารถศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ กระทั่งรับรุ้ได้ว่าสิ่งที่อัลลอฮ์ ตาอาลา ดำรัสไว้ในอัลกุรอานนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์และเป็นสิ่งชี้นำมนุษย์

โองการหนึ่งในซูเราะห์ ฟุซซิลัต อายะห์ที่ 53 พระองค์ได้ตรัสความว่า “ต่อไปเราจะทำให้พวกเขามองเห็นสัญลักษณ์ต่างๆของเรา ซึ่งมีอยุ่ในด้านต่างๆ (ของจักรวาล) และในตัวพวกเขาเองจนกระทั่งได้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลกุรอานเป็นสัจธรรม(ที่พิสูจน์ได้ในทุกสภาวะ) ยังไม่เพียงพออีกหรือที่องค์อภิบาลของเจ้าทรงเป็นสักขีพยานเหนือทุกสิ่ง”

จะเห็นได้ว่าพระองค์ไม่ได้สั่งให้เราเชื่อในสิ่งลี้ลับอย่างงมงาย หรือไร้หลักเกณฑ์ใด ๆ ที่จะสามารถมาพิสูจน์ได้ แต่พระองัลลฮ (ซบ) ได้ทรงใช้ให้เราตรึกตรอง ทรงใช้ให้สังเกตุสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงบันดาลมันขึ้นมาว่า มีระบบและขั้นตอนอย่างไร ซึ่งรวมถึงชีวิตของเราทุกคนด้วย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเพราะธรรมชาติให้มันเป็นไป

แต่ว่าจริง ๆ สรรพสิ่งทั้งหลายได้ดำเนินไปตามระบบและกฎเกณฑ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงวางไว้แล้ว ทรงควบคุมและดูแล กระทั่งเกิดความสมดุลย์ และเหมาะสมต่อบ่าวของพระองค์ ดังโองการใน ซูเราะห์ อัล อังกะบูต อายะห์ที่ 20 พระงค์ได้ตรัสความว่า "จงประกาศเถิด พวกเจ้าทั้งหลายจงดำเนินไปในผืนแผ่นดิน แล้วจงพิจารณาว่า พระองค์ทรงบังเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร”

และหากเมื่อใดที่มีผู้สงสัยว่าคัมภีร์เล่มนี้มันจะมาจากผู้เป็นเจ้าจริงเหรอ...หรือมนุษย์แต่งขึ้นมเอง พระองค์ก็ได้กล่าวไว้อย่างหนักแน่นว่า “นี่คือคัมภีร์ (ของอัลลอฮฺ) ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น” (อัล-กุรอ่าน ซูเราะฮฺบากอเราะฮฺ : 2) ทั้งที่จริง แม้พระองค์ไม่กล่าวอย่างนี้ มนุษย์ผู้มีความศรัทธาก็สามารถวิเคราะห์ได้แล้วถึงความเป็นจริงที่ในบทต่าง ๆ ของมันมาตรงกับความเป็นจริงของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

โองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มีมากมายเกือบหนึ่งพันโองการ ซึ่งอัลลอฮ (ซบ) ทรงแจ้งเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รับรู้ ซึ่งหากจะหยิบยกมานำเสนอบางโองการ ซึ่งบอกว่าโลกและจักรวาลทั้งมวลนั้น เกิดขึ้นด้วยการบันดาลของพระองค์อัลลอฮ (ซบ) ดังในโองการหนึ่งของซูเราะห์ อัล อะรอฟ อายะห์ที่ 54

ความว่า “แท้จริง องค์อภิบาลของพวกเจ้าคืออัลลอฮ์ ซึ่งทรงบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในหกวัน จากนั้นพระองค์ทรงใช้อำนาจการปกครอง (สรรพสิ่ง) เหนือบัลลังก์ พระองค์ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวัน

ซึ่ง กลางคืนกับกลางวัน ได้ตามติดกันอย่างรวดเร็ว และทรงสร้าง ดวงตะวัน ดวงเดือน และดวงดาว ซึ่งยอมอยู่ใต้บัญชาของพระองค์ (ให้ทุกสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์) ด้วยคำบัญชาของพระองค์ พึงสังวรเถิด พระองค์ทรงสิทธิ์ ในการบันดาลและบัญชา อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ทรงเป็นองค์อภิบาลโลกทั้งหลาย”

จากโองการนี้เราได้รับรู้ว่า จักรวาลนี้มีผู้สร้าง ผู้บันดาลมันขึ้นมาและมีผุ้ดูแลควบคุมระบบทั้งหมด ดังนั้นลองมาศึกษาโองการอื่น ๆ อีก ว่าโลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เรามาดูในซุเราะห์ อัล อัมบิยาอ์ อายะห์ที่30 พระองค์ทรงตรัสความว่า “บรรดาพวกที่ไร้ศรัทธาไม่สังเกตหรอกหรือว่า แท้จริง ฟากฟ้าและแผ่นดิน แต่เดิมผนึกเป็นชิ้นเดียวกันต่อมาเราก็จัดการแยกมันทั้งสอง (ออกจากกัน) และเราได้บันดาลทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ แล้วไฉนเล่าพวกเขาจึงไม่ศรัทธา”

จากโองการนี้อีกเช่นกัน เราสังเกตได้ว่า อัลลอฮ (ซบ) ได้บอกให้เราได้ทราบว่า “ฟากฟ้าและแผ่นดินเดิมนั้นผนึกเป็นชิ้นเดียวกัน” นั่นคือก่อนที่โลกเราจะมีเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็นทุกวันนี้ แต่เดิมเริ่มด้วยการรวมตัวกันของวัตถุธาตุ และมวลสารต่างๆ รวมถึงกลุ่มก๊าซต่าง ๆ จนกระทั่งเกิดความหนาแน่น และทั้งหมดก็ได้ผนึกเป็นก้อน เดียวกัน

และต่อจากนั้น พระองค์ดำรัสว่า “เราจัดการแยกมันทั้งสอง” นั่นคือเป็นช่วงระยะการแยกตัวของ วัตถุและกลุ่มก๊าซ จนเป็นหมอกเพลิง (ตามที่นักวิทยาศาสตร์พยายามให้คำอธิบายในเรื่องว่าเป็นทฤษฎี Big Bang) และได้กลายเป็นท้องฟ้าและแผ่นดินในที่สุด เมื่อวัตถุรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน จนกระทั่งเป็นพื้นดินแล้ว อัลลอฮ(ซบ) ก็ได้บันดาลปัจจัยต่างๆอย่างสมบูรณ์ให้แก่บ่าวของพระองค์ ให้อยู่ในแผ่นดิน

ดังที่พระองค์ ได้แจ้งให้เราทราบในซูเราะห์ ฟุซซิลต อายะห์ที่ 10 ความว่า “และใน (แผ่นดิน) นั้น พระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น ภายในระยะเวลา 4 วัน เพื่อความเท่าเทียมสำหรับผู้ไต่ถาม (ที่จะได้รับสิ่งดังกล่าวไว้อำนวยความประโยชน์)”

โลกเราเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล และในโลกนี้เองที่ อัลลอฮ(ซบ) ทรงบันดาลให้มีสรรพสิ่งต่างๆที่มีประโยชน์เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในพื้นโลก ก๊าซและธาตุต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำ และออกซิเจนในอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งจะพบได้ยากในดาวดวงอื่น

และเหตุผลนี้เองดาวดวงอื่นจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นอกจากโลกใบนี้เท่านั้น หากแต่มีผู้ปฏิเสธที่หลงผิดจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าดาวดวงอื่นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือมีมนุษย์ต่างดาวผู้มีเทคโนโลยีอันทันสมัยอาศัยอยู่ ลองพิจารณาดูเถิดหากเป็นเช่นนั้นท่านคงจะเห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเป็น ๆ แวะเวียนมาเที่ยวบนโลก หรือไม่ก็คงบุกเข้ามายึดโลกไปนานแล้วเหมือนกับภาพยนตร์ที่ท่านทั้งหลายเคยดูมา

เมื่อปีคริสตศักราช 2001 ที่ผ่านมา องค์การ NASA ได้บันทึกภาพ จุดดับสูญดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปประมาณ หนึ่งพันปีแสง ด้วยกล้อง Telescope จากภาพถ่ายจะเห็นการระเบิดของดาวดวงหนึ่งซึ่งการระเบิดของมันนั้นมีกลุ่มควันสีแดง พวยพุ่งออกมาจากจุดศูนย์กลาง และแผ่กระจายออกไปรอบ ๆ ลักษณะคล้ายกลับรูปดอกกุหลาบที่ผลิบานอยู่

ซึ่งกลีบดอกของมันมีลักษณะเป็นมันประกายเนื่องจากความร้อนของไฟ ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้ มนุษย์เองก็เพิ่งจะได้เห็นเมื่อไม่นานมานี้ แต่อัลลอฮ์ (ซบ) พระองค์ดำรัสแก่มนุษย์ชาติไว้แล้วเมื่อ พันสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ถึงสภาพหนึ่งของวันกิยามะฮ์ ในอายะห์ที่ 37 ซูเราะห์ อัรเราะห์มาน ความว่า "ครั้นเมื่อท้องฟ้าได้แตกกระจายออก มันจะคล้ายกับกุหลาบแดงที่มีลักษณะเป็นมัน"

และเหล่านี้ คือแค่ส่วนหนึ่งของความรู้ที่เราจะได้รับจากคัมภีร์แห่งมนุษยชาติเล่มนี้ ขอเพียงแค่เราเปิดใจแล้วพยายามเข้าใจ ก็จะมองเห็นความมหัสจรรย์อันมากมายได้ไม่ยากนัก.

Ref ; - บางส่วนของบทความนำมาจากวารสาร "อัลมิฟตาฮ์" ฉบับที่ 9 ประจำปี พ.ศ. 2547
- "ความมหัศจรรย์ของอัลกุร-อาน" โดย ฮารูน ยะห์ยา (แปลโดย ปัญญากร)
- "โลกของโซฟี" โดย โยสไตน์ กอร์เดอร์ (แปลโดย สายพิณ ศุพุทธมงคล)

บทความที่น่าสนใจ

อัพเดทล่าสุด