ความเป็นมาของอิสลาม


9,597 ผู้ชม

อิสลาม มิได้เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลสัม อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน หากแต่อิสลามมีมาตั้งแต่มีมนุษย์คนแรก ..


ความเป็นมาของอิสลาม

อิสลาม มิได้เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลสัม อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน หากแต่อิสลามมีมาตั้งแต่มีมนุษย์คนแรก คือ นบีอาดัมบนโลกนี้ โดยที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงประทานอิสลามแก่มนุษย์ผ่านทางนบีต่างๆ ทุกยุคทุกสมัยและทุกประชาชาติ ทั้งนี้ เพื่อที่มนุษย์จะได้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างสันติ

ความเป็นมาของอิสลาม

สาเหตุที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงประทานอิสลามแก่มนุษย์ก็เนื่องจากว่าเมื่อพระองค์ทรงสร้างสิ่งใดขึ้นมาแล้ว พระองค์มิได้ปล่อยให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาดำรงอยู่และดำเนินไปตามยถากรรมหรือไร้วัตถุประสงค์ แต่พระองค์จะทรงวางกฎระเบียบให้ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างสันติด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาไม่ว่าจะในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลหรือในตัวมนุษย์ จึงดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งนี้ เนื่องจากสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นยอมจำนนต่อกฎระเบียบที่ พระองค์ได้ทรงวางไว้นั้นเอง ดังอัลกุรอานความว่า :

"อื่นจากศาสนาของอัลลอฮฺกระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา และแด่พระองค์นั้น ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินได้นอบน้อมกัน (คือนอบน้อมในกฎสภาวการณ์ของพระองค์ที่ทรงกำหนดให้มีแก่โลกจะในฐานะเป็นผู้ยอมรับด้วยความยินดีหรือไม่ก็ตาม) ทั้งด้วยการสมัครใจและฝืนใจ และยังพระองค์นั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไป" (ซูเราะห์อาลอิมรอน อายะห์ที่ 83)

ภาวะแห่งการยอมจำนนอยู่ในกฎระเบียบที่ก่อให้เกิดความสันตินี้เองที่เรียกว่า "อิสลาม" มนุษย์เป็นสิ่งหนึ่งในสรรพสิ่งทั้งหลายที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงสร้างมา และพระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ตามยถากรรมเช่นกัน ดังนั้น พระองค์จึงได้ประทานแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่มนุษย์โดยผ่านทางนบีต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรขึ้นมาจากหมู่มนุษย์เอง แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและมีเจตนารมณ์เสรีที่จะเลือก ดังนั้น อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงไม่บังคับมนุษย์ให้ดำเนินชีวิตเหมือนสัตว์ทั่วไป แต่เปิดโอกาสให้มนุษย์เลือกโดยใช้สติปัญญาของตัวเองว่าจะรับอิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ถ้าใครเลือกที่จะรับอิสลามด้วยความสมัครใจ ยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์เขาผู้นั้นก็เป็นมุสลิม ถ้าไม่รับก็ถือว่าเป็นผู้ปฏิเสธ (กาฟิร) แนวทางของพระองค์และมนุษย์ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้เลือก

ความเป็นมาของอิสลาม

ในการประทานคำสอนอิสลามแก่มนุษย์นั้น อัลลอฮฺ ตะอาลา มิได้ทรงประทานแก่มนุษย์ทีเดียวทั้งหมด แต่ได้ทรงทยอยส่งคำสอนอิสลามมาให้ทีละเล็กทีละน้อยตามความจำเป็น และความต้องการของยุคสมัยหรือสังคมมนุษย์นับตั้งแต่มีนบีคนแรกคือ นบีอาดัมเป็นต้นมา จนกระทั่งมาถึงสมัยของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะสังคมมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการได้ที่แล้ว อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงได้ทรงแต่งตั้งมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะชัลลัม ให้เป็นรอซูล (ผู้นำสาส์น) ของพระองค์ และประทานอิสลามที่สมบูรณ์แบบแก่ท่านเพื่อนำมาเผยแผ่กับมนุษยชาติโดยใช้เวลาทั้งหมด23 ปี คำสอนของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งหมดที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับมาตลอดระยะเวลาแห่งการเป็นนบีนั้น ได้ถูกเก็บรวบรวมไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งถือเป็นธรรมนูญสูงสุดในการดำเนินชีวิตของมุสลิม

ถึงแม้นบีผู้นำคำสอนจากอัลลอฮฺ ตะอาลา มาสั่งสอนมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในยุคต่างๆ และในต่างถิ่นต่างที่ต่างชนชาติกัน แต่สาระสำคัญของคำสอนที่ทุกนบีนำมานั้นจะเหมือนกันประการหนึ่งก็คือ "อัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริงที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะ และคำบัญชาของพระองค์เท่านั้นที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตาม" ส่วนรายละเอียดในการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติศาสนกิจหรือการปฏิบัติตนในการดำรงชีวิต อาจแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยตามยุคสมัยและความจำเป็นของสังคม ดังนั้น ใครก็ตามไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหน หากเชื่อว่าอัลลอฮฺ ตะอาลา เป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว และสักการะพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ คนผู้นั้นก็อยู่ในอิสลาม

เนื่องจากอิสลามเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิต ดังนั้น อิสลามจึงมิได้เป็น "ศาสนา" หรือ "ลัทธิความเชื่อ" ในความหมายแคบๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน หากแต่อิสลามเป็นทั้งระบบความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกๆ ด้านตั้งแต่เกิดจนตาย นับตั้งแต่เรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ โดยมีรากฐานที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอานและแบบคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่นเอง

ที่มา: อัลลอฮฺอักบัร ปาฏิหาริย์คัมภีร์อัลกุรอานและ 25 นบีในอัลกุรอาน อ.ประเสริฐ มัสซารี

https://islamhouse.muslimthaipost.com/article/23701

อัพเดทล่าสุด