การศรัทธาในวันโลกหน้าไม่ใช่การศรัทธาอย่างมืดบอด หลายๆคนอาจแปลกใจว่าทาไมคนที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์หรือคิดอย่างเป็นเหตุเป็น ผลสามารถรับเอาความศรัทธาต่อชีวิตหลังความตายได้
คุณจะพิสูจน์อย่างไรว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง?
ดร.ซากิร ไนค์ ตอบ
อบุล อิซซฺ แปล
1. การศรัทธาในวันโลกหน้าไม่ใช่การศรัทธาอย่างมืดบอด หลายๆคนอาจแปลกใจว่าทาไมคนที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์หรือคิดอย่างเป็นเหตุเป็น ผลสามารถรับเอาความศรัทธาต่อชีวิตหลังความตายได้ คนมักคิดกันว่า ใครก็ตามที่เชื่อชีวิตหลังความตายเขากาลังศรัทธาอย่างมืดบอด แต่ความศรัทธาในชีวิตหลังความตายของข้าพเจ้านั้น วางอยู่บนข้อโต้แย้งที่มีเหตุผล
2. ชีวิตหลังความตาย ความศรัทธาที่เป็นตรรกะ อายะฮฺอัลกุรอานหนึ่งพันกว่าอายะฮฺ ที่ระบุเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ (ดูหนังสือของข้าพเจ้า “Quran and Modern Science-Compatible or Incompatible”) ข้อเท็จจริงจานวนมากที่ระบุในอัลกุรอานได้รับการค้นพบเพียงไม่กี่ศตวรรษหลัง แต่เนื่องจากว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้าจนกระทั้งระดับที่จะสามารถยืนยัน ทุกคากล่าวในอัลกุรอานได้ สมมุติว่า 80% ของอัลกุรอานได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง 100% เหลืออีก 20% ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจสอบ ได้ เนื่องจากยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจสอบหรือพิสูจน์ได้ ด้วยความรู้อันจากัดที่เรามี เราไม่สามารถกล่าวอย่างมั่นใจแม้เพียงเปอร์เซ็นต์เดียว หรือสักหนึ่งอายะฮฺจากจากส่วน 20% นั้นว่าไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เมือ 80% จากอัลกุรอานถูกต้อง 100% และยังเหลืออีก 20% ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ดูจะสมเหตุสมผลกว่าถ้าจะกล่าวว่า 20% ที่เหลือนั้นมันถูกต้อง การมีอยู่ของวันโลกหน้าซึ่งมีกล่าวในอัลกุรอานอยู่ในส่วนของ 20% ที่ยังไม่ประจักษ์ชัด ซึ่งตรรกะของข้าพเจ้าสรุปว่ามันถูกต้อง
3. แนวคิดสันติภาพและคุณค่าของชีวิตมนุษย์จะใช้การไม่ได้หากปราศจากความเชื่อใน โลกหน้า การปล้นสะดมเป็นความดีหรือความเชื่อ? คนที่มีความคิดปกติธรรมดาทั่วไปย่อมกล่าวว่ามันเป็นความชั่ว แต่คนที่ไม่ศรัทธาในวันโลกหน้าจะสร้างความมั่นใจให้กับอาชญากรที่มีอานาจและ อิทธิพลว่าการปล้นสะดมเป็นความชั่วได้อย่างไรกัน? สมมุติว่าข้าพเจ้าเป็นอาชญากรที่มีอานาจและอิทธิพลที่สุดในโลก ขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็เป็นบุคคลที่ฉลาดและเป็นคนมีเหตุผล ข้าพเจ้ากล่าวว่าการปล้นนั้นดีเพราะมันช่วยให้ข้าพเจ้าพบกับชีวิตที่สะดวก หรูหรา ดังนั้นการปล้นจึงดีสาหรับข้าพเจ้า ถ้าหากใครสามารถเสนอข้อโต้แย้งที่พิสูจน์ได้ว่าทาไมมันไม่ดีกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะหยุดทันที ผู้คนมักเสนอข้อโต้แย้งดังนี้
ก.) คนที่ถูกปล้นต้องเผชิญกับความลาบาก บางคนพูดว่าคนที่ถูกปล้นต้องเผชิญกับความลาบาก ข้าพเจ้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายสาหรับคนที่ถูก ปล้น แต่มันดีสาหรับข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าปล้นมาได้ 40,000 บาท ข้าพเจ้าก็คงจะเอร็ดอร่อยกับอาหารดีๆที่ภัตรคารห้าดาวที่ไหนสักแห่ง
ข.) คนอาจจะปล้นคุณได้ บางคนโต้ว่าวันหนึ่งข้าพเจ้าก็อาจโดนปล้นด้วยเช่นเดียวกัน ไม่มีใครปล้นข้าพเจ้าได้เพราะข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นอาชญากรที่มีอิทธิพลและมีบอดีการ์ดเป็นร้อย ข้าพเจ้าจะปล้นใครก็ได้แต่ไม่มีใครสามารถปล้นข้าพเจ้าได้ การปล้นอาจเป็นอาชีพที่เสี่ยงสาหรับคนทั่วไป แต่ไม่ใช้สาหรับคนที่มีความสามารถอย่างข้าพเจ้า
ค.) คุณอาจโดนตารวจจับ มีคนพูดว่าหากคุณปล้นคุณอาจโดนตารวจจับ ตารวจจับข้าพเจ้าไม่ได้เพราะข้าพเจ้าซื้อตารวจไว้แล้ว ข้าพเจ้ามีรัฐมนตรีที่ซื้อตัวมาแล้ว ข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าถ้าคนทั่วไปปล้นและถูกตารวจจับมันเป็นเรื่องเลวร้าย สาหรับเขา แต่ข้าพเจ้ามีความสามารถเฉพาะ และเป็นอาชญากรที่มีอิทธิพล จงบอกเหตุผลมาสิว่ามันจะไม่ดีสาหรับข้าพเจ้าได้อย่างไร? เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้หยุดปล้น
ง.) มันเป็นเงินที่ได้มาง่าย บางคนอาจบอกว่ามันเป็นเงินที่ได้มาง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก ข้าพเจ้าเห็นด้วย 100% ว่ามันเป็นเงินที่ได้มาง่ายๆและนั่นก็เป็นเหตผลหลักที่ข้าพเจ้าชอบปล้น หากใครคนหนึ่งมีทางเลื่อกสองทางในการครอบครองเงินทองระหว่างวิธีที่ยากกับ วิธีที่ง่าย คนที่มีปัญญาก็คงจะเลือกวิธีที่ง่ายอยู่แล้ว
จ.) มันขัดกับหลักมนุษยธรรม บางคนบอกว่ามันทาลายมนุษยธรรมและความเห็นอกเห็นใจที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ ด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงแย้งกลับ โดยถามว่าใครเป็นคนร่างกฎที่เรียกว่า“มนุษยธรรม” แล้วทาไมข้าพเจ้าจะทาตามมันด้วย? กฏนี้อาจจะดีสาหรับคนที่มีความอ่อนไหวและมีความเห็นอกเห็นใจ แต่ข้าพเจ้าเป็นคนใช้เหตุผลเป็นหลัก และข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะต้องใส่ใจกับคนอื่น
ฉ.) มันเป็นการกระทาที่เห็นแก่ตัว บางคนพูดว่าการปล้นเป็นการกระทาที่เห็นแก่ตัว มันก็จริงที่ว่าการปล้นเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว แต่แล้วทาไมข้าพเจ้าจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ก็ในเมื่อมันช่วยให้ชีวิตข้าพเจ้ามี ความสุข
1. ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่าการปล้นเป็นความชั่ว เนื่องจากข้อโต้แย้งทั้งหมดที่ต้องการพิสูจน์ว่าการปล้นเป็นความชั่วนั้นมัน ไร้ผล ข้อโต้แย้งนี้อาจเป็นเรื่องที่น่าพอใจสาหรับสาหรับคนธรรมดาทั่วไป แต่ใช้ไม่ได้กับอาชญากรที่มีอิทธิพลและอานาจเหมือนฉัน ไม่มีข้อโต้แย้งข้อไหนที่สามารถหักล้างตรรกะที่เป็นเหตุเป็นผลและแข็งแรงนี้ ได้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทาไมโลกนี้จึงมีอาชญากรอยู่มาก เช่นเดียวกับที่มีการข่มขืน การคดโกง ฯลฯ ถือได้ว่ามันดีสาหรับคนในแบบข้าพเจ้า และมันก็ไม่มีข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลที่จะทาให้ฉันมั่นใจได้ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องเลวร้าย
2. มุสลิมสามารถสร้างความมั่นใจแก่อาชญากรที่มีอานาจและอิทธิพล เราลองสับเปลี่ยนตาแหน่งมาอีกด้าน สมมุติว่าคุณเป็นอาชญากรที่มีอานาจและอิทธิพลมากที่สุดในโลก ผู้มีตารวจและรัฐมนตรีที่ถูกซื้อตัวมาแล้ว คุณมีกองทัพอันธพาลที่คอยปกป้องคุณ ข้าพเจ้าเป็นมุสลิมที่จะทาให้คุณเชื่อมั่นได้ว่า การปล้น การข่มขืน การคดโกง ฯลฯ เป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย แม้ว่าข้าพเจ้าจะเสนอข้อโต้แย้งที่เหมือนกันเพื่อพิสูจน์ว่าการปล้นเป็นความ ชั่ว อาชญากรดังกล่าวก็จะตอบโต้เหมือนกับที่เขาทาในครั้งแรก ข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าอาชญากรคนนั้นมีเหตุผลและข้อโต้แย้งของเขาทั้งหมดเป็น ความจริง ก็ต่อเมื่อเขาเป็นอาชญากรที่มีอานาจและอิทธิพลที่สุด
3. มนุษย์ทุกคนต้องการความยุติธรรม มนุษย์ทุกคนล้วนแสวงหาความยุติธรรม แม้ว่าเขาไม่ต้องการให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับคนอื่น แต่เขาก็ยังอยากให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นแก่ตัวเอง บางคนถูกอานาจและอิทธิพลมอมเมาจนสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ยากแก่คนอื่น แต่อย่างไรก็ตามบุคคลเดียวกันนี้ไม่อาจยอมรับความอยุติธรรมที่เขาประสบ เหตุผลที่บุคคลดังกล่าวกลายเป็นคนขาดจิตสานึกในความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็เนื่องมาจากพวกเขาบูชาอานาจและอิทธิพล พวกเขารู้สึกว่าอานาจและอิทธิพลไม่เพียงแต่ทาให้พวกเขาสร้าง อธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังปกป้องพวกเขาจากการกระทาของผู้อื่นในรูปแบบเดียวกันได้อีกด้วย
4. พระเจ้าคือผู้ทรงอานาจและผู้ทรงยุติธรรม ในฐานะที่เป็นมุสลิม ข้าพเจ้าจะทาให้อาชญากรมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งนั้นมีอยู่จริง (กลับไปดูคาตอบที่พิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้า) พระองค์ทรงอานาจยิ่งกว่าผู้ใดและขณะเดียวกันยังเป็นผู้ทรงยุติธรรม คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า “แท้จริงพระองค์ไม่ทรงอธรรมต่อผู้ใดแม้เพียงน้อยนิด” (อัลกุรอาน 4:40)
5. ทาไมพระเจ้าจึงไม่ลงโทษข้าพเจ้า อาชญากรที่คิดแบบตรรกะและเป็นวิทยาศาสตร์ดังกล่าวยอมรับว่าพระเจ้ามีอยู่ จริงภายหลังจากที่นาเสนอความจริงทางวิทยาศาสตร์จากอัลกุรอาน แต่เขาอาจแย้งขึ้นว่า ถ้าหากพระองค์ทรงอานาจและทรงยุติธรรม ก็แล้วทาไมไม่ลงโทษเขาเล่า
6. คนที่สร้างอธรรมควรถูกลงโทษ ทุกคนที่ประสบกับความอยุติธรรมไม่ว่ารวยหรือจน หรือมีสถานะทางสังคมอย่างไร ล้วนแล้วต้องการให้คนที่สร้างอธรรมต้องถูกลงโทษ คนปกติทั่วไปย่อมอยากให้คนที่คนที่ปล้นหรือข่มขืนได้รับบทเรียน แม้ว่าจานวนมากของผู้กระทาความผิดถูกลงโทษและจานวนมากที่ถูกปล่อยตัว พวกเขามีชีวิตอย่างหรูหราสะดวกสบายและใช้ชีวิตอย่างสงบ หากอธรรมเกิดขึ้นจากการกระทาของผู้มีอิทธิพลและอานาจมากกว่าเขา เช่นเดียวกันเขาก็คงอยากให้คนที่สร้างอธรรมดังกล่าวต้องถูกลงโทษ
7. ชีวิตนี้คือการทดสอบเพื่อวันโลกหน้า ชีวิตในโลกนี้คือการทดสอบเพื่อการตอบแทนในวันโลกหน้า อายะฮฺอัลกุรอานกล่าวไว้ว่า “พระผู้ทรงให้มีความตายและให้มีความเป็นเพื่อจะทดสอบพวกเจ้าว่า ผู้ใดบ้างในหมู่พวกเจ้าที่มีผลงานดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงอานาจ ผู้ทรงให้อภัยเสมอ” ( อัลกุรอาน 67:2)
8. ความยุติธรรมที่แท้จริงในวันแห่งการตัดสิน คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า “แต่ ละชีวิตนั้นจะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้นคือวันปรโลก แล้วผุ้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ชนะ และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากสิ่งอานวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น” ( อัลกุรอาน 3:187 ) ความยุติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในวันแห่งการตัดสิน หลังจากที่เขาตายไปแล้วเขาจะถูกฟื้นคืนชีพในวันแห่งการตัดสินพร้อมๆกับ มนุษย์ชาติทั้งหลาย เป็นไปได้ว่าเขาอาจถูกลงโทษบางส่วนในโลกนี้ แต่การตัดสินและการตอบแทนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในวันโลกหน้า อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่อาจไม่ลงโทษคนที่ปล้นหรือข่มขืนในโลกนี้โดยทันที แต่แน่นอนว่าจะทรงคิดบัญชีและลงโทษเขาในวันโลกหน้า ซึ่งก็คือชีวิตหลังความตาย
9. กฎหมายของมนุษย์ลงโทษอะไรแก่ฮิตเลอร์บ้าง ฮิตเลอร์ฆ่าชาวยิวหกล้านคนในสมัยที่เขาครองอานาจเผด็จการ แม้ว่าตารวจจับกุมเขาได้ แต่กฎหมายของมนุษย์อันไหนหรือที่จะลงโทษต่อความผิดของเขาเพื่อให้ความ ยุติธรรมดารงอยู่ได้ อย่างมากที่สุดที่พวกเขาพอจะทาได้ก็คือส่งฮิตเลอร์เข้าเตาเผา แต่นั่นเป็นการลงโทษที่มีต่อการฆ่ายิวเพียงคนหนึ่งเท่านั้น แล้วยิวที่เหลืออีก 5,999,999 จะว่ากันอย่างไร?
10. อัลลอฮฺสามารถลงโทษฮิตเลอร์ได้มากกว่า หกล้านครั้งในขุมนรก อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า “แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธ ศรัทธาต่อสัญญาณต่างๆของเรานั้น เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังพวกเขาสุก เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งมิใช่ผิวหนังเดิม เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (อัลกุรอาน 4:56) หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พระองค์สามารถเผาฮิตเลอร์หกล้านครั้งในไฟนรกในวันโลกหน้า
11. จะไม่มีแนวคิดคุณค่าของมนุษย์ หรือความดีความชั่วหากปราศจากความเชื่อในวันโลกหน้า เป็นชัดแจ้งว่าหากบุคคลขาดความเชื่อมั่นต่อวันโลกหน้าหรือชีวิตหลังความตาย แล้ว เป็นไปได้ยากที่จะพิสูจน์ให้ผู้ก่ออธรรมเข้าใจแนวคิดคุณค่าของมนุษย์และการ กระทาที่เป็นความดีหรือความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาผู้นั้นเป็นผู้มีอิทธิพลและอานาจ
ที่มา : https://bushrohouse.wordpress.com/tag/ซากิร-ไนค์/