อูฐ สัตว์ที่ถูกระบุในอัลกุรอานอีกชนึดหนึ่ง ที่คุณควรรู้
อูฐ (جَمَلٌ) สัตว์ที่ถูกระบุในอัลกุรอานอีกชนอดหนึ่ง
อูฐ สัตว์แห่งท้องทะเลทราย ซึ่งชาวอาหรับรู้จักมักจี่เป็นอย่างดี พอๆ กับควายหรือกระบือสำหรับคนไทยที่เป็นชาวนา ในภาษาอาหรับเรียกอูฐเอาไว้หลายชื่อด้วยกัน อาทิเช่น ญ่าม่าลุน (جَمَلٌ) คำนี้ฝรั่งเอาไปใช้ คือคำว่า Camelทั้งนี้ชาวอาหรับท้องถิ่นบางเหล่าออกเสียงคำ “ญ่าม่าลุน” หรือ “ญ่ามั๊ลฺ” ว่า “ฆ่ามั้ล” พอฝรั่งมาพบสัตว์แห่งท้องทะเลทรายที่ผูกพันกับชาวอาหรับก็เลยเรียกเพี้ยนเป็น “ฆ่าเม็ล” (Camel) ในดินแดนยุโรปอันเป็นนิวาสถานของพวกฝรั่ง ไม่มีสัตว์ชนิดนี้ จึงเรียกชื่อของมันอย่างชาวอาหรับ
บางคนอาจจะตั้งข้อสังเกตว่า ในทวีปออสเตรเลียซึ่งฝรั่งอังกฤษไปตั้งรกรากอยู่ก็เห็นมีฟาร์มอูฐ จะบอกว่า ฝรั่งไม่รู้จักอูฐได้อย่างไร จริงๆ แล้วฝรั่งรู้จักอูฐจากชาวอาหรับมาก่อนหน้าการค้นพบทวีปออสเตรเลีย แต่ภายหลังก็มีฝรั่งหัวใสขนเอาอูฐไปลองเลี้ยงในทะเลทรายของออสเตรเลีย ซึ่งได้ผลดี
ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึง อูฐ ด้วย คำว่า ญ่ามาลุน เอาไว้ 2 ที่ด้วยกัน
ที่หนึ่ง มาในรูปคำนามบ่งประเภท (اسْمُ جِنْسٍ ) ปรากฏอยู่ในบท อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 40 ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่างๆ ของเรา และได้แสดงความโอหังต่อโองการเหล่านั้น บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้ และในทำนองนั้นแหล่ะ เราจะตอบแทนลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด”
สำนวนในอายะฮฺนี้เป็นการอุปมาอุปมัยว่า การที่พวกปฏิเสธจะได้เข้าสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เพราะรูเข็มนั้นเล็กกระจิดริด และอูฐก็เป็นสัตว์สี่เท้าขนาดใหญ่ การที่อูฐจะลอดรูเข็มจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตามหลักของเหตุผลและตรรกะ สำนวนเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปในความหมายว่า ไม่มีทาง, โดยสิ้นเชิง หรือหมดสิทธิ์อีกด้วย
ที่สอง มาในรูปคำนามพหูพจน์ (جَمْعٌ ) ปรากฏอยู่ในบท อัลมุรซ่าลาต อายะฮฺที่ 33 กล่าวถึงไฟนรกญะฮันนัมว่า มันจะพ่นความร้อนออกมาเป็นประกายไฟที่มีขนาดใหญ่เท่าป้อมปราการ คือ ประกายไฟหรือสะเก็ดไฟแต่ละอันที่ปะทุออกมาจากนรกญะฮันนัมนั้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเท่ากับป้อมปราการหรือปราสาท และความรวดเร็วของปะทุไฟตลอดจนสีสันของมันมีลักษณะคล้ายกับฝูงอูฐสีเหลืองเข้มก็มิปาน ก็ลองจินตนาการดูเอาเองเถิดว่า ขนาดสะเก็ดไฟของนรกญะฮันนัมที่ปะทุออกมายังมีความเขื่องและน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ และนรกญะฮันนัมโดยรวมจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน บอกได้เลยว่าเกินจินตนาการและสุดจะบรรยาย ดังนั้นคำว่า “อูฐ” ในอายะฮฺแรกและ “ฝูงอูฐสีเหลืองเข้ม” ในอายะฮฺที่ สอง จึงเป็นอูฐที่ถูกหยิบยกมาเป็นอุปมาอุปมัย
นอกจากคำว่า ญ่ามาลุน (جَمَلٌ) ในอัลกุรอานยังได้ใช้คำว่า อี้บิ้ล (إِبِلٌ) โดยระบุไว้ในบท อัลอันอาม อายะห์ที่ 144 และบทอัลฆอชิยะฮฺ อายะห์ที่ 17 ซึ่งมีความว่า “พวกเขาไม่พิจารณาดูอูฐดอกหรือว่า มันถูกบังเกิดมาอย่างไร” อูฐเป็นสัตว์ที่ชาวอาหรับรู้จักและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า อาหรับกับอูฐเป็นของคู่กัน ลองมารู้จักอูฐกันสักหน่อย อูฐ เป็นชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Camelidae หัว คอ และขาทั้ง 4 ยาว มีนิ้วตีนข้างละ 2 นิ้ว กระเพาะมี 3 ส่วน ไม่มีถุงน้ำดี มี 2 ชนิด คือ ชนิด 2 หนอก (Camelus bactrianus) มีในประเทศจีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน เข้าใจว่าแหล่งกำเนิดของอูฐชนิดนี้อยู่ที่เมืองบัคเตรีย หรือ บะลัค อยู่ในอัฟกานิสถาน เป็นเมืองชุมทางการค้าในเส้นทางสายไหมยุคโบราณ
อีกชนิดหนึ่งคือ ชนิดหนอกเดียว (C.dromedarius) มีมากในแถบประเทศอาหรับและทวีปแอฟริกาตอนเหนือ คำว่า อูฐ เป็นภาษาประกฤติ (โอฏฐ) บ้างก็ว่าเป็นศัพท์มาจากฮินดี ว่า อูนต์ นักเดินทางสมัยก่อนเชื่อว่า ขณะที่อยู่ในทะเลทรายและต้องการน้ำดื่ม สามารถฆ่าอูฐและนำน้ำจากกระเพาะอาหารของอูฐมาดื่มได้ โดยทางทฤษฎีแล้ว วิธีการดังกล่าวก็น่าจะเป็นไปได้ ทว่าปริมาณน้ำที่เก็บสะสมไว้ในกระเพาะ ก็มีไม่มากพอที่จะทำให้อูฐสามารถเดินทางในทะเลทรายได้ไกลๆ โดยไม่ต้องดื่มน้ำเลย
ส่วนโหนกหรือหนอกบนหลังอูฐนั้น ไม่ใช่ถังเก็บน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ อวัยวะส่วนนี้จะเต็มไปด้วยไขมันต่างหาก
เมื่ออูฐไม่สามารถเก็บน้ำไว้ในร่างกายได้มาก ๆ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงสร้างร่างกายของอูฐให้มีกลไกบางอย่างที่ช่วยประหยัดน้ำให้ได้มากที่สุด นั่นคือ
1. โดยทั่วๆ ไป อุณหภูมิร่างกายคนเราจะไม่สูงเกินกว่า 37 องศาเซลเซียสได้มากนัก เมื่ออุณหภูมิสูงกว่าเกณฑ์ ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาเพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายลดลง แต่อูฐจะรับความร้อนได้ถึง 41 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิทั่วไป ในท้องทะเลทรายที่ร้อนระอุ เหงื่อของอูฐถึงจะหลั่งออกมา ดังนั้นอูฐจึงรักษาน้ำเอาไว้ในร่างกายได้มาก เพราะใช่ว่าอุณหภูมิในท้องทะเลทรายจะสูงเกิน 41 องศาเซลเซียส อยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่
2. ขนอูฐสามารถกันความร้อนภายนอกได้ แต่ขนอูฐจะไม่หนาหรือยาวเกินความจำเป็น มิฉะนั้นเหงื่อซึ่งระบายออกจากร่างกายจะไม่สามารถระเหยได้
3. ระบบสรีระของอูฐสามารถทนทานต่อการสูญเสียน้ำในร่างกายได้ดี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นจะตายทันทีเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำเพียงร้อยละ 20 แต่อูฐสามารถทนอยู่ได้ แม้ร่างกายจะสูญเสียน้ำถึง ร้อยละ 40
4. อูฐดื่มน้ำได้ครั้งละมากๆ อูฐบางตัวดื่มน้ำในปริมาณเกือบ 1 ใน 3 ของน้ำหนักตัวภายใน 10 นาที จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้อูฐสามารถเดินทางไกลในทะเลทรายได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำบ่อยๆ อูฐวิ่งได้เร็วกว่าชั่วโมงละ 16 กิโลเมตร เร็วพอๆ กับแกะ ในขณะที่คนวิ่งเร็วที่สุดเพียง 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม อูฐเป็นสัตว์บกที่สามารถกินน้ำได้ครั้งละหลายสิบลิตรและอดน้ำได้หลายวันติดต่อกัน และเนื่องจากมนุษย์เรานิยมใช้อูฐเป็นพาหนะเดินทางไปในทะเลทรายซึ่งร้อนและแห้งแล้ง ทำให้อูฐต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม อันเป็นลักษณะพิเศษที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างให้มันเป็นเช่นนั้น
อูฐลดการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายทุกๆ ทางดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะทางปัสสาวะ จะทำให้น้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูงกว่าน้ำเลือดได้ถึง 8 เท่า ในขณะที่มนุษย์สามารถทำได้เพียง 4 เท่า ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ปัสสาวะอูฐมีปริมาณน้อย มีความเข้มข้นสูง และกักเก็บไว้นานกว่าจะถูกขับถ่ายออกมา ทำให้มีกลิ่นฉุนมาก กลิ่นฉุนนี้เกิดจากของเสียในร่างกายที่ถูกขับออกมาทางไต ออกมากับปัสสาวะเรียกว่า “ยูเรีย” สารยูเรียนี้เมื่อถูกกักเก็บไว้นานหรือมีแบคทีเรียเข้าไปทำปฏิกิริยาจะถูกเปลี่ยนเป็น “แอมโมเนีย” ซึ่งมีกลิ่นฉุนเช่นเดียวกับแอมโมเนียที่ใช้ดมแก้เป็นลมนั่นเอง
เห็นมั้ยล่ะ ว่าเจ้าอูฐนี่เป็นสัตว์ที่มีอะไรพิเศษจริงๆ หากมนุษย์เราศึกษาเรื่องของอูฐอย่างจริงจัง ก็จะพบความน่าอัศจรรย์อีกเป็นอันมาก และความอัศจรรย์นั้นเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงพระปรีชาญาณในการสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงฤทธานุภาพนั่นเอง
ในคัมภีร์อัลกุรอาน ปรากฏคำว่า อัลบุดนุ้ (اَلْبُدْنُ) ซึ่งหมายถึง อูฐที่อ้วนพี มีร่างใหญ่ เนื้อมาก กล่าวไว้เพียงแห่งเดียวในบท อัลฮัจญ์ อายะห์ที่ 36 ความว่า “และอูฐที่อ้วนพีนั้น เราได้กำหนดมันสำหรับพวกเจ้าอันเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮฺ ในอูฐที่อ้วนพีนั้น คือ ความดีสำหรับพวกเจ้า”
เหตุที่เรียกอูฐอ้วนพีว่า “บุดน์” (بُدْنٌ) เพราะ มันมีร่างกายที่ใหญ่โตมีเนื้อมาก ถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีอานิสงค์มากในการเชือดกุรบ่าน (قُرْبَانٌ) หรือ อุฎฮี่ยะฮฺ (أُضْحِيَّةٌ) ในช่วงพิธีฮัจญ์และการเชือดในช่วงวันอีดอัลอัฎฮา ที่ระบุว่า “มันมีความดีสำหรับพวกท่าน” นั้นหมายถึงเป็นประโยชน์ในการใช้สอย การใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง การบริโภคหรือแม้กระทั่งห้องนอนเคลื่อนที่ ชาวอาหรับออกแบบกระโจมบนหลังอูฐ ซึ่งเรียกว่า เฮาดัจญ์ (هَوْدَجٌ) เอาไว้หลากหลายสไตล์ แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล อูฐเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากและเป็นเพื่อนตายสำหรับชาวอาหรับบะดะวี่ย์ (เบดูอิน) ประโยชน์ของมันในโลกนี้จึงมีมาก อีกทั้งประโยชน์ในโลกหน้าซึ่งเป็นผลานิสงค์ในการเชือดอูฐเป็นพลีทานก็มีมหาศาลเช่นกัน
ชาวอาหรับถือว่าอูฐเปรียบเสมือน “เรือบก” ที่บรรทุกสัมภาระและสินค้าได้คราวละมากๆ มีความอึดเป็นยอด อูฐบางตัวสามารถอดน้ำได้ถึง 10 วัน เหตุที่คออูฐยาวคล้ายยีราฟนั้นก็เพื่อช่วยให้มันทรงตัวได้ขณะที่มันลุกขึ้นพร้อมกับสัมภาระอันหนักอึ้งบนหลัง อาหารของอูฐนั้นก็คือ พันธุ์พืชเกือบทุกชนิด ต้นไม้และหนามบางชนิดอูฐสามารถกินเป็นอาหารได้ ในขณะที่สัตว์ชนิดอื่นกินพืชเหล่านั้นไม่ได้
จริงๆ แล้วชาวอาหรับแบ่งชนิดของอูฐเอาไว้หลากหลายด้วยกัน อาทิเช่น “อัลอัรฮะบี่ยะห์” (اَلأَرْحَبِيَّةُ) เป็นพันธุ์อูฐของเผ่าอัรฮับ ในเมืองฮะมะดาน บ้างก็บอกว่าอูฐพันธุ์นี้เป็นอูฐที่มีต้นกำเนิดจากเยเมน (ยะมัน) “อัชชัซฺก่อมี่ยะฮฺ” (اَلشَّذْقَمِيَّةُ) เป็นอูฐของชาวอาหรับผู้หนึ่ง ชื่อ ชัซฺก็อม (شَذْقَمٌ) อัลอีดี่ยะฮฺ (اَلْعِيْدِيَّةُ) เป็นอูฐของเผ่าอีด “อัลมัจญ์ดี่ยะห์” (اَلْمَجْدِيَّةُ) เป็นอูฐของเมืองเยเมนเช่นกัน ฯลฯ ชาวอาหรับบอกว่าอูฐเป็นสัตว์ขี้อิจฉาและอาฆาต ขณะที่อูฐหนุ่มพยศนั้นนิสัยของมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เกรี้ยวกราด อาละวาด จนชาวอาหรับกระเจิดกระเจิงเลยทีเดียว ที่แปลกก็คือ อูฐจะไม่ผสมพันธุ์กับแม่ของมัน มีเรื่องเล่ากันมาว่า ในสมัยโบราณมีชายผู้หนึ่งเอาผ้าคลุมแม่อูฐของตน แล้วส่งลูกอูฐเข้าไปหาแม่อูฐนั้น เมื่อลูกรู้ว่านั่นเป็นแม่อูฐของตน มันก็กัดลูกอัณฑะของตนจนขาดและหันมาเล่นงานชายผู้นั้นจนตาย นี่เป็นเรื่องเล่าที่เขาเล่ากันมา จริงเท็จประการใดก็มิอาจทราบได้
ชาวอาหรับเรียกชื่ออูฐ (كُنْيَةٌ) ว่า อบูอัยยู๊บ (أَبُوْاَيُّوْبَ) และ อบูซอฟวาน (أَبُوْصَفْوَانَ) เนื้ออูฐเป็นที่อนุมัติ (حَلاَلٌ) ให้บริโภคได้โดยมีตัวบทจากอัลกุรอานและมติเห็นพ้องของปวงปราชญ์ (اَلاِجْمَاعُ) ส่วนการที่ท่านศาสดายะอฺกู๊บ (เจคอบ) หรือ อิสรออีลถือว่าเนื้ออูฐและน้ำนมอูฐเป็นที่ต้องห้ามสำหรับตัวท่านนั้นเป็นไปตามการวินิจฉัยของท่านเอง ทั้งนี้เนื่องจากท่านศาสดายะอฺกู๊บ (อะลัยฮิซซลาม) ได้เคยอาศัยอยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร และมีอาการปวดเส้นที่บั้นเอวจนถึงหัวเข่าหรือข้อเท้า เรียกว่า โรคเหน็บชาคล้ายกับโรคเกาท์ (عِرْقُالنَّسَا) ท่านเข้าใจว่า สาเหตุของอาการเจ็บป่วยดังกล่าว มาจากการบริโภคเนื้ออูฐและนมของมัน ท่านจึงถือว่า นั่นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตัวท่าน
ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ได้ระบุถึงอูฐเพศเมียด้วยคำว่า อันนาเกาะฮฺ (اَلنَّاقَةُ) 7 แห่งด้วยกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องราวอูฐของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้ทรงสำแดงปาฏิหาริย์แก่กลุ่มชน ซะมู๊ด (ثَمُوْدُ) พวกซะมู๊ดเป็นชนเผ่าอาหรับโบราณในยุคสมัยหลังพวกอ๊าด พวกซะมู๊ดอาศัยอยู่ในแคว้นอัลฮิจฺร์ (اَلْحِجْرُ) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแคว้นอัลฮิญาซฺกับเมืองตะบู๊ก คำว่า ซะมู๊ด เป็นนามชื่อของต้นตระกูลเผ่า เป็นพี่น้องกับญ่าดีซ ซึ่งทั้งสองเป็นบุตรของอาซิร บุตร อิรอม บุตร ซาม บุตรศาสดานัวฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) พวกซะมู๊ดกราบไหว้รูปเคารพเหมือนพวกอ๊าด และมีความชำนาญในการสลักหินและภูเขาเป็นบ้านเรือน
ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ได้เรียกร้องพวกซะมู๊ดซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกับท่านให้ละทิ้งการกราบไหว้รูปเคารพและหันมาศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) เพียงพระองค์เดียว อยู่มาวันหนึ่งพวกซะมู๊ดมารวมตัวกันในสโมสรของพวกตน
ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) จึงได้มาหาพวกซะมู๊ดและได้เรียกร้องเชิญชวนพวกนั้นให้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ) แต่พวกซะมู๊ดตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าหากท่านศาสดาซอและฮฺทำให้อูฐตัวเมียซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ออกมาจากก้อนหิน พวกตนถึงจะยอมศรัทธา
ท่านศาสดาซอและฮฺจึงลุกขึ้นไปนมัสการและวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ให้สำแดงปาฏิหาริย์ (มัวอฺญิซาต) พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) จึงทรงบันดาลให้ก้อนหินนั้นแตกออกแล้วมีอูฐเพศเมียท้อง 10 เดือนขนาดใหญ่ออกมาจากก้อนหินนั้น เมื่อประจักษ์เห็นปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์นั้น พวกซะมู๊ดส่วนหนึ่งก็ศรัทธาต่อการเรียกร้องเชิญชวนของท่านศาสดาซอและฮฺ ในขณะที่พวกซะมู๊ดส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานและปฏิเสธศรัทธาแต่ก็ยอมให้แม่อูฐนั้นมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยแม่อูฐมีอิสระในการออกหากินในทุ่งหญ้าและแบ่งวันให้แม่อูฐได้ดื่มน้ำจากบ่อผลัดกับพวกซะมู๊ด
ต่อมาพวกซะมู๊ดหมดความอดทนเพราะพวกตนเดือดร้อนจากการใช้บ่อน้ำที่ต้องยอมสละวันให้กับแม่อูฐ จึงรวมหัวกันคบคิดและสังหารแม่อูฐ ในการสังหารแม่อูฐนี้มีผู้ลงมือทั้งหมด 9 คน โดยมี กอดด๊าร บุตร ซาลิฟ บุตร ญุนดุอฺ เป็นผู้นำ กล่าวกันว่า บุคคลผู้นี้เป็นบุตรนอกสมรส (ลูกซินา) ชายทั้งหมดได้ซุ่มยิงแม่อูฐด้วยลูกธนูและตัดขาทั้ง 4 ข้างของแม่อูฐด้วยดาบ เมื่อพวกซะมู๊ดได้สังหารแม่อูฐแล้ว ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) จึงได้บอกให้พวกซะมู๊ดทราบว่าภายในระยะเวลาหลังจากนี้อีกราว 3 วัน พวกเขาจะต้องถูกลงทัณฑ์อย่างสาสม
ในเช้าวันพฤหัสฯ พวกซะมู๊ดตื่นมาด้วยใบหน้าซีดเซียวเป็นสีเหลือง พอถึงวันศุกร์ใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นสีแดงจัด ครั้นพอถึงวันเสาร์ใบหน้าของพวกซะมู๊ดก็ดำคล้ำกันทุกคน ครั้นเมื่อถึงรุ่งสางของวันอาทิตย์ พวกซะมู๊ดก็ได้แต่รอคอยชะตากรรมของพวกตน ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์ทอแสง ก็เกิดเสียงกัมปนาทมาจากเบื้องบน และแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนมาจากเบื้องล่าง พวกซะมู๊ดทั้งหมดจึงตายอยู่ในบ้านช่องของพวกตนโดยกลายเป็นศพที่ไร้วิญญาณ
นี่คือการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่เกิดกับพวกซะมู๊ดที่ปฏิเสธศรัทธาและอาจหาญลงมือสังหารอูฐของพระองค์อันเป็นปาฏิหาริย์ของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ในคัมภีร์อัลกุรอานใช้สำนวนว่า “อูฐของพระองค์อัลลอฮฺ” (نَاقَةُاللهِ) เป็นการอ้างอิงในเชิงบ่งบอกถึงความสำคัญของแม่อูฐ ซึ่งเป็นสัญญาณของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่ยืนยันความสัจจริงของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) มีข้อมูลระบุว่า ชาวซะมู๊ดที่ศรัทธาต่อศาสดาซอและฮฺมีจำนวน 4 พันคน ทั้งหมดได้หลบหนีออกจากดินแดนของพวกตนไปยังแคว้น ฮัฎร่อเมาต์ พร้อมกับศาสดาซอและฮฺ ครั้งเมื่อทั้งหมดได้มาถึงฮัฎร่อเมาต์ ท่านศาสดาซอและฮฺก็เสียชีวิตลงที่นั่น ในภายหลังพวกซะมู๊ดที่เหลือจึงร่วมกันสร้างเมืองฮาฎู้ร ขึ้นที่นั่น เรื่องของอูฐก็เห็นจะต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้
อ้อ ! ลืมบอกไปว่า อูฐที่มีขนสีแดงถือเป็นอูฐหายากสำหรับชาวอาหรับ มีค่าสูงมากเลยทีเดียว และท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม) มีอูฐเป็นสัตว์พาหนะของท่านอยู่หลายตัว เช่น อัลกอซวาอฺ (اَلْقَصْوَاءُ) มีระบุว่าเป็นอูฐตัวที่ท่านใช้ขี่ในการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) อัลอัฎบาอฺ (اَلْعَضْبَاءُ) และอัลญัดอาอฺ (اَلْجَدْعَاءُ) อูฐที่ชื่อ “อัลอัฎบาอฺ” นั้นเป็นอูฐที่มีฝีเท้าจัด ไม่เคยแพ้อูฐตัวใดในการแข่งขัน แต่ต่อมาก็ต้องแพ้ให้กับอูฐของชาวอาหรับผู้หนึ่ง ทำให้บรรดาสาวกเกิดความไม่สบายใจ ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า “เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ ที่พระองค์จะไม่ยกสิ่งใดจากโลกนี้ให้สูงส่ง นอกเสียจากพระองค์ได้ทรงให้สิ่งนั้นต่ำลง“ กล่าวคือ มีชนะก็ต้องมีแพ้ เป็นของธรรมดานั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: อาลี เสือสมิง