ครั้งหนึ่งฉันนั่งอยู่ภายในบ้านของฉัน อยู่ๆท่านนบีมุฮัมหมัด ซลเข้ามาในบ้านพร้อมให้สลามแก่ฉัน ฉันจึงตอบสลามท่าน พร้อมที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติแก่ท่านศาสดาดังที่ฉันทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
เสียงเรียกร้องหลังจากวิญญานออกจากร่าง
มีรายงานจากท่านหญิงอาอีชะฮฺ รอฎียั้ลฮุอันฮา นางได้เล่าว่า ครั้งหนึ่งฉันนั่งอยู่ภายในบ้านของฉัน อยู่ๆท่านนบีมุฮัมหมัด ซล.เข้ามาในบ้านพร้อมให้สลามแก่ฉัน ฉันจึงตอบสลามท่าน พร้อมที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติแก่ท่านศาสดาดังที่ฉันทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว แต่ท่านศาสดาได้กล่าวแก่ฉันว่า นั่งอยู่กับที่เถิดโอ้อุมมุลมุมีนีน ฉันจึงนั่งลงอย่างอ่อนน้อม ท่านศาสดาจึงเดินเข้ามาหาฉัน และได้เอาศีรษะวางลงบนตักของฉันในลักษณะท่านอนหงาย ฉันจึงเอามือของฉันลูบไล้เคราของศาสดาปรากฏว่าฉันได้เห็นเคราของท่านมีเส้นขาวอยู่ 19 เส้น ทำให้ฉันคิดในใจฉันว่า หากท่านศาสดาจากโลกดุนยานี้ไปก่อนฉัน อุมมะฮฺของท่านก็จะอยู่ในลักษณะที่ไร้ศาสดา ทำให้ฉันถึงกับร้องไห้น้ำตานองทั้งสองแก้มไหลหยดลงบนใบหน้าของท่านศาสดา จนทำให้ท่านฟื้นตื่นจากนอน เมื่อท่านศาสดาเห็นฉันร้องไห้ จึงถามมายังฉันว่า
"เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใดหรือ?"
ฉันจึงเล่าเรื่องราวที่ฉันได้คิดอยู่ในหัวใจให้ท่านศาสดาฟัง เมื่อศาสดาฟังคำเล่าของฉันท่านจึงถามแก่ฉันว่า
"อะไรที่สร้างความลำบากแก่ผู้ที่ตายมากที่สุด"
ฉันจึงตอบกลับไปว่า
"ท่านเล่ามาเถิดโอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ"
ท่านนบีก็ได้กล่าวแก่ฉันว่า
"เล่ามาเถิดไม่เป็นไรหรอก"
ฉันจึงตอบว่า
"สิ่งที่สร้างความลำบาก ความหนักใจแก่ผู้ตายมากที่สุด คือ ตอนที่ร่างไร้วิญญาณจะถูกนำออกจากบ้านของเขา"
ท่านนบีก็ตอบกลับมาว่า
"จริงอย่างที่เจ้าว่า แต่อะไรที่สร้างความลำบากมากกว่านั้นอีก"
ฉันจึงตอบต่อไปว่า
"สิ่งที่สร้างความลำบาก ความหนักใจแก่ผู้ตายมากกว่านั้น คือ เมื่อร่างของผู้ตายถูกนำไปฝังในหลุมฝังศพ บรรดาญาติพี่น้องได้เอาดินเพื่อกลบหลุมฝังศพแล้วเดินจากไปทั้งหมดเหลือแต่ผู้ตายนอนอยู่ในหลุมฝังศพคนเดียว"
ท่านนบีจึงตอบว่า
"มีอะไรที่สร้างความลำบากกว่านี้อีกมั้ย"
ฉันจึงตอบว่า "อัลลอฮฺและรอซู้ลเท่านั้นที่รู้"
ท่านนบีจึงกล่าวแก่ฉัน
"สิ่งที่สร้างความลำบากแก่ผู้ตายเป็นอันดับแรก คือ ตอนที่ผู้ที่จะทำการอาบน้ำได้เข้ามาภายในบ้านของเขาเพื่อที่จะทำการอาบน้ำเขา และได้ถอดแหวนที่สวมอยู่ตามนิ้วของเขา ถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาสวมใส่ ถอดผ้าโพกศีรษะที่ได้โพกโดยบรรดาครูของเขา ออกจากร่าง
ถึงตอนนั้นวิญญานได้มองมายังสภาพร่างเปลือยนอนนิ่ง ก็กรีดร้องด้วยเสียงที่ก้องกังวาน มัคโลคอื่นล้วนได้ยินเว้นแต่มนุษย์และญินเท่านั้นที่ไม่ได้ยินว่า
"โอ้ผู้ที่จะทำการอาบน้ำฉันได้โปรดถอดเสื้อผ้า แหวน ของฉันให้เบาๆ เพราะฉันพึ่งได้พักจากการกระชากวิญญาณโดยมาลากุ้ลเมาตฺยังไม่หายเหนื่อยเลย ฉันขอด้วยนามแห่งอัลลอฮฺ อย่ารุนแรงกับฉันเลยได้โปรด"
และเมื่อผู้ที่ทำการอาบน้ำได้รดน้ำลงบนศพ วิญญาณดังกล่าวก็ได้กรีดร้องเหมือนดังเดิม ได้กล่าวแก่ผู้ที่ทำการอาบน้ำว่า
“โอ้ผู้ที่ทำการอาบน้ำฉัน ได้โปรดอย่าได้รดน้ำร้อนลงบนร่างของฉัน และเจ้าอย่าได้ให้น้ำที่รดลงบนร่างฉันนั้นเป็นเหตุทำให้ร่างกายฉันร้อน และเย็น เพราะร่างของฉันเสมือนถูกแผดเผาตอนที่มาลากุลเมาตฺกระชากวิญญาณออกจากร่างเมื่อสักครู่”
เมื่อผู้ทำการอาบน้ำได้ทำการอาบน้ำ วิญญาณก็กรีดร้องกล่าวมาอีกว่า
“โอ้ผู้ที่ทำการอาบน้ำฉันได้โปรดถูร่างของฉันให้เบาๆ อย่ารุนแรง เพราะในร่างของฉันเสมือนเป็นบาดแผลเต็มไปหมดตอนที่วิญญาณ แยกออกจากร่าง”
เมื่อเสร็จจากการอาบน้ำ ผู้ที่ทำการอาบน้ำก็นำศพไปวางไว้บนผ้าเพื่อที่จะห่อ และได้มัดตรงเท้า ทันใดนั้น วิญญาณก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า
“โอ้ผู้ที่ทำการห่อฉัน ได้โปรดอย่ารีบมัดตรงหัวของฉัน จนกว่าฉันจะได้เห็นหน้า ภรรยา ลูกๆ และสหายใกล้ชิดของฉัน เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาและฉันจะได้พบหน้ากันบนโลกดุนยานี้ จนกว่าวันกียามัต”
และเมื่อญาติได้ทำการนำมัยยิดจะออกจากบ้าน วิญญาณก็ได้กล่าวอีกว่า
“โอ้ผู้ที่กำลังนำฉันทั้งหลาย ได้โปรดอย่าได้รีบนำฉันออกจากบ้านก่อน ให้ฉันและญาติสหายของฉันได้ล่ำลากันก่อน”
และวิญญาณก็ได้กล่าวต่อไปว่า
“โอ้บรรดามิตรสหายทั้งหลาย วันนี้ฉันได้ทิ้งภรรยาของฉันให้เป็นหม้าย พวกเจ้าจงอย่าได้สร้างปัญหาลำบากใจให้กับนาง ฉันได้ทิ้งลูกให้เป็นยาเต็ม พวกเจ้าจงเอ็นดูพวกเขา เพราะฉันออกจากบ้านในครั้งนี้ฉันจะไม่กลับมาหาพวกเขาได้อีกตราบนานเท่านาน”
และญาติก็ได้นำศพมาไว้บนคันหามเพื่อที่จะนำไปละหมาด วิญญาณก็กล่าวอีกว่า
“โอ้บรรดามิตรสหาย ลูกๆ ภรรยา ของฉันทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้หลงใหลในดุนยา อย่าให้ดุนยามาหลอกตัวเจ้า เหมือนกับมันได้หลอกข้ามาแล้ว จงดูข้าในวันนี้เป็นตัวอย่าง ฉันมีทรัพย์สินมากมาย แต่วันนี้มันกลายเป็นสมบัติให้กับ ญาติๆ ฉันไม่เหลือความผิดกับสมบัติที่ฉันทิ้งไว้เลยสักนิด มันเป็นสมบัติที่บริสุทธิ์ เพราะความผิดฉันได้แบกมันมาพร้อมกับฉันหมดแล้ว พวกเขาจะมีความสุขกับสมบัติของฉัน โดยที่ไม่เคยขออภัยโทษให้กับตัวฉันเลยสักนิด และจะถูกสอบสวนกับการใช้สมบัติต่อไป”
เมื่อได้ทำการละหมาดให้กับมัยยิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ญาติๆ และบรรดามิตรสหายส่วนหนึ่งก็ได้เดินทางกลับจากที่ละหมาด และวิญญาณก็กล่าวขึ้นมาว่า
“ฉันรู้ว่าฉันจะต้องถูกพวกเจ้าลืม แต่ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไปแบบนี้ ช่วยพาฉันไปยังหลุมฝังศพก่อน ให้พวกเจ้าได้เห็นสถานที่ที่ฉันจะอยู่ก่อน”
และเมื่อมัยยิดถูกนำเข้าสู่หลุมฝังศพ วิญญาณกล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ฉันจะขอดุอาอฺให้กับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่ดุอาอฺให้กับฉัน ฉันทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายบนดุนยาให้กับพวกเจ้า ได้โปรดนึกถึงฉันบ้าง ไม่ว่าจะด้วยการบริจาคทาน และได้โปรดนำความรู้ที่ฉันได้สอนมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพราะมันจะเป็นกุศลสำหรับฉันและได้โปรดอย่าลืมฉันในดุอาอฺของพวกเจ้า”
ถอดความมาจากหนังสือ “ดาก่ออีกุ้ล อัคบัร ฟี ซิกริ้ล ญันนะฮฺ วัน นารฺ” ว่าด้วยเรื่อง เสียงเรียกร้องหลังจากวิญญานออกจากร่าง
@ چيئگو