ายจะต้องไม่มองไปยังอวัยวะพึงปกปิดของชาย และหญิงจะต้องไม่มองไปยังอวัยวะพึงปกปิดของหญิง และชายจะต้องไม่สัมผัสเสีดผิวกายยังชายในผึคลุมผืนเดียว และหญิงจะต้องไม่สัมผัสเสียดสีผิวกายยังหญิงในผ้าคลุมผืนเดียวกัน
การรักร่วมเพศระหว่างหญิงกับหญิง
การรักร่วมเพศระหว่างหญิงกับหญิง หรืออัส-สิหาก (اَلسِّحَاقُ) หรือที่เรียกกันว่าพวกเลสเบี้ยน
การรักร่วมเพศระหว่างหญิงกับหญิง หรืออัส-สิหาก ถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยการเห็นพ้องของบรรดานักปราชญ์ และเนื่องจากมีหะดิษที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
لاَيَنْظُرُالرَّجُلُ إِلَى عَوْرَةِالرَّجُلِ ، وَلاَالْمَرْأَةُإِلَى عَوْرَةِالْمَوْ أَةِ ولاَيُفْضِى الرَّجُلُ إِلَى الرَّجُلِ فِى ثَوْبٍ وَاحِدٍ ، وَلاَتُفْضِى المَرْأةُ إِلَى المَرْأَةِفِى ثَوْبٍ وَاحِدٍ
“ชายจะต้องไม่มองไปยังอวัยวะพึงปกปิดของชาย และหญิงจะต้องไม่มองไปยังอวัยวะพึงปกปิดของหญิง และชายจะต้องไม่สัมผัสเสีดผิวกายยังชายในผึคลุมผืนเดียว และหญิงจะต้องไม่สัมผัสเสียดสีผิวกายยังหญิงในผ้าคลุมผืนเดียวกัน”(บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม เลขที่ 338)
ดังนั้นการสัมผัสกายโดยตรงระหว่างหญิงด้วยการเสียดสี เล้าดลม กอดฟัด รัดเหวี่ยงเยี่ยงการกระทำของพวกเลสเบี้ยนนั้น จึงเป็นสิ่งต้องห้าม และมีโทษตามดุลยพินิจของผู้พิพากษาหรือผู้มีอำนาจ แต่ไม่ถึงขั้นของโทษในคดีความผิดว่าด้วยการผิดประเวณี หรือการรักร่วมเพศระหว่างชายกับชายทางทวารหนัก
รักร่วมเพศ หรือลิวาฏ
ลิวาฏ (اَللِّوَاطُ ) หรือ รักร่วมเพศ คือการสมสู่ระหว่างชายกับชาย หรือระหว่างชายกับหญิงที่มิใช่ภรรยาของตนทางทวารหนัก การกระทำเช่นนี้อิสลามถือว่าเป็นที่ต้องห้าม(หะรอม)อย่างเด็ดขาดและถือเป็นบาปใหญ่ ผุูที่ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก เช่นเดียวกับความผิดประเวณี
พระองค์องค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า
أَتَأْتُونَ الذُّكْرَانَ مِنَ الْعَالَمِينَ
"พวกท่านเข้าหาผู้ชายในหมู่ผู้คนทั้งหลายกระนั้นหรือ?"
وَتَذَرُونَ مَا خَلَقَ لَكُمْ رَبُّكُم مِّنْ أَزْوَاجِكُم بَلْ أَنتُمْ قَوْمٌ عَادُونَ
"และพวกท่านปล่อยทิ้ง สิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านทรงบังเกิดมาสำหรับพวกท่าน คือภรรยาของพวกท่าน แน่นอนพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัช-ชุอะรออ์, :165-166)
ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
مَنْ وَجَدْتُمُوْهُ يَعْمَلُ عَمَلَ قَوْمِ لُوْطٍ فَاقْتُلُواالْفَاعِلَ وَالْمَفْعُوْلَ بِهِ
“ผู้ใดก็ตามที่พวกท่านทั้งหลายพบว่า เขาไดกระทำเหมือนการกระทำของกลุ่มชนนบีลูฏ (นั้นคือลิวาฏ) ดังนั้น จงประหารชีวิตผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัตติรมีซีย์ เลขที่ 1456 อิบนุมาญะฮฺ เลขที่ 2561 ชัยคฺอัล-อัลบานี กล่าวว่าเป็นหะดิษที่เศาะฮีหฺ)
ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
“อัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้ที่กระทำเหมือนกลุ่มนบีลูฏ (นั้นคือลิวาฏ) ท่านกล่าวย้ำ 3 ครั้ง” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอิบนุหิบบาน เลขที่ 4417 ชัยคฺอัล-อัลบานี กล่าวว่าเป็นหะดิษที่เศาะฮีหฺ)
ในส่วนของผู้กระทำ (อัลฟาอิลฺ) นั้นหากมีพยานยืนยันหรือผู้กระทำผิดได้สารภาพ ถ้าผู้กระทำผิดเป็นมุฮฺซอน (ผ่านการสมรสแล้ว) ก็จะถูกขว้างจนตาย แต่ถ้าผู้กระทำผิดมิใช่มุฮฺซอน (ยังไม่เคยผ่านการสมรสมาก่อน) ก็จะถูกเฆี่ยน 100 ที และเนรเทศเป็นเวลา 1 ปี ส่วนผู้ถูกกระทำ (อัลมัฟอูลุบิฮี) ซึ่งมิใช่ภรรยาของผู้กระทำผิดก็จะถูกเฆี่ยนและถูกเนรเทศเช่นเดียวกับกรณีของคนโสด ถึงแม้ว่าผู้ถูกกระทำจะเคยผ่านการสมรสมาแล้วก็ตาม (มุฮฺซอน) และไม่ว่าผู้ถูกกระทำจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม
มีบางทัศนะระบุว่า ให้ขว้างหญิงที่ผ่านการสมรสแล้วจนตายในกรณีนี้ และในคำกล่าวหนึ่งของอิหม่าม อัชชาฟีอีย์ (ร.ฮ.) ระบุว่า ผู้ที่กระทำผิดในคดีรักร่วมเพศนี้จะต้องถูกประหารชีวิต
เรื่องรักที่อิสลามห้ามคือ ห้ามชายหญิงอยู่กันโดยไม่ได้นิกะหห์ ห้ามร่วมเพศทางทวารหนัก ห้ามชายกับชาย หญิงกับหญิงอยู่ร่วมให้ความสุขทางเพศกัน หากใครมีลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศมาแต่วัยเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองต้องพยายามแก้ไขพฤติกรรม และอธิบายหลักการศาสนาให้รู้อยู่ตลอดเวลาและต่อเนื่อง แก้ไขสิ่งแวดล้อมทุกอย่างจึงจะเป็นการแก้ต้นเหตุของปัญหา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: มหัศจรรย์อัลกุรอ่าน
ภาพจากไฟล์อินเทอร์เน็ต