อัลลอฮฺไม่ได้เผยให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมรู้กำหนดของวันสิ้นโลกว่าจะเกิดวันใด แต่พระองค์ได้เผยให้ท่านนบีได้รู้ถึงสัญญาณกิยามะฮฺ
รวมสัญญาณกิยามะห์ ที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิด
อัลลอฮฺไม่ได้เผยให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมรู้กำหนดของวันสิ้นโลกว่าจะเกิดวันใด แต่พระองค์ได้เผยให้ท่านนบีได้รู้ถึงสัญญาณกิยามะฮฺ
เมื่อเราพบสัญญาณกิยามะฮฺบางข้อ เราก็จะได้เห็นสัญญาณต่างๆปรากฏออกมาตามๆกัน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ เปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยเชือกเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆกัน” (บันทึกโดยอัลฮากิม)
สัญญาณวันกิยามะฮฺถือเป็นส่วนสำคัญของศาสนา อันจะเป็นการเตือนให้มุสลิมมีจิตสำนึกในศรัทธาอยู่เสมอ
สัญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี และยังเป็นพฤติกรรมที่ผิดหลักการอีกด้วยได้แก่
การแพร่หลายของการเสพของมึนเมา (ค็อมรฺ) ผิดประเวณี (ซินา) ดนตรี โดยทำให้มันเป็นเรื่องหะลาล มันคือการที่มุสลิมทำสิ่งนั้นอย่างแพร่หลายโดยไม่ถือว่าเป็นความผิดบาป บรรดาผู้รู้ปล่อยปละไม่ออกมาคัดค้าน หนำซ้ำบางส่วนยังออกมาฟัตวารองรับอีกต่างหาก
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “จะมีชนบางกลุ่มจากประชาชาติของฉัน ที่จะอนุมัติการผิดประเวณี ผ้าไหม (ที่ปกติห้ามผู้ชายสวม) สุรา และเครื่องดนตรี” (บันทึกโดยบุคอรี)
เริ่มจากการทำซินานั้น ก็มีบางกลุ่มออกมารองรับให้นิกาหฺกันได้ถ้าอยู่ไกลผู้ปกครองหลายๆกิโล บางกลุ่มก็รับแนวคิดแต่งงานชั่วคราวของชีอะฮฺมา (ซึ่งนบีได้ยกเลิกหุกุ่มนี้ไปแล้ว) ใครที่แต่งงานไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขก็ถือว่าทำซินา และยังมีมุสลิมจำนวนมากที่ไม่ได้แต่งงาน และร่วมรักกันโดยไม่สนใจว่ามันบาปหรือไม่ ในหมู่เยาวชน นักเรียนนักศึกษายุคใหม่นี้เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในการคบหากันเป็นแฟนและยังไม่ได้แต่งงาน
ส่วนค็อมรฺหรือของมึนเมา คนไปเข้าใจว่าศาสนาห้ามแค่เหล้าหรือน้ำเมา แต่สิ่งอื่นๆที่ทำให้เมานั้นไม่บาป ตัวอย่างเช่น ชิชาหรือบะระกู่, กัญชา, น้ำกระท่อม 4 คูณร้อย, ยาแก้ไอผสมโค้ก และอื่นๆ เมื่อไม่ได้ชื่อว่าเหล้า สุรา คนก็จะปล่อยปละว่ามันเป็นสิ่งหะลาล ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิซัลลัม กล่าวว่า “จะมีคนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉันทำการอนุมัติค็อมรฺ (สุรา, ของเมา) ด้วยการตั้งชื่อมันเป็นอย่างอื่น” (บันทึกโดยอะหมัด)
สำหรับเรื่องดนตรี ก็เป็นที่ชัดเจนว่า มีมาหลายร้อยปีในโลกมุสลิม และวัฒนธรรมดนตรีแบบอาหรับ การเต้นแบบอาหรับ ยังกระจายไปสู่ที่อื่นๆ อย่างสเปนก็รับวัฒนธรรมจากอาหรับตั้งแต่ยุคอดีตสมัยอันดาลุสไป จนกระจายไปยังยุโรปและทวีปอเมริกาใต้ เหล่าสตรีได้ออกมาเป็นนักร้องกันอย่างแพร่หลาย
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า “จะมีผู้คนจากประชาชาติของฉัน จะลบล้างและให้ร้าย เปลี่ยนแปลงหลักการ เมื่อพวกเขาดื่มสุรา และมีการให้ผู้หญิงร้องเพลง และเล่นดนตรี” (บันทึกโดยติรมีซี)
จนถึงวันนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์ ทุกๆบ้าน ทุกๆที่ ทุกตลาด ทุกห้าง มีเสียงดนตรีหมด และมันก็กลายเป็นวิถีชีวิตของมุสลิมส่วนมากไปด้วย ซึ่งหลักการศาสนาไม่ได้ถือว่าการขับร้อง หรือการบันเทิงเป็นสิ่งหะรอม ไม่มีตัวบทห้ามไว้ แต่หลักการศาสนาห้ามเฉพาะเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรี ซึ่งมีตัวบทหลักฐานในเรื่องนี้
ท่านนบีกล่าวว่า “ฉันมิได้ห้ามการร่ำไห้ หากแต่ฉันห้ามเสียงสองเสียงที่มีลักษณะโง่เขลาและชั่วร้าย นั่นก็คือเสียงยามได้รับความโปรดปราน แล้วมีการละเล่นดนตรีของชัยฏอน
และอีกเสียงคือเมื่อประสบเคราะห์กรรม แล้วมีการตบตีใบหน้า ฉีกทำลายเสื้อผ้า และโอดครวญ ดั่งการโอดครวญของชัยฏอน” (บันทึกโดยอัลฮากิม, อัลบัยฮะกี, อิบนุ อบีดุนยา, ติรมีซี และท่านอื่นๆ)
อีกหะดีษ ท่านนบีกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงกำหนดให้ สุรา การพนัน และ อัลกูบะฮฺ (กลอง) เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา (ท่านนบีกล่าวอีกว่า) สิ่งมึนเมาทุกชนิดนั้นเป็นที่ต้องห้าม” (บันทึกโดย อะหฺมัด, อัลบัยฮะกี, และอัฏฏ็อบรอนี) และยังมีหะดีษอื่นๆที่ห้ามเรื่องเครื่องดนตรี
สรุปว่าเรื่องการทำเรื่องซินา ดนตรี ให้เป็นสิ่งหะลาล มีนัยยะคือทำกันอย่างแพร่หลายแบบไม่สะทกสะท้าน บวกกับอีกนัยยะคือ มีผู้ออกฟัตวาว่ามันหะลาล ก็คือบิดเบือนหุก่มเหมือนสมัยอะหฺลุลกิตาบที่ชอบบิดเบือนบัญญัติในคัมภีร์
ส่วนของเมา คนไปพุ่งเป้าที่เหล้าเบียร์ จนสิ่งมึนเมาอื่นๆกลับเสพกันดาษดื่น โดยเรียกมันในชื่ออื่นที่ไม่ใช่เหล้า ไม่ว่าจะน้ำกระท่อม, โสมบำรุงกำลัง, ยาดอง, ยาแก้ไอ, บาคาดีบรีเซอร์ หรือ ชิชา (ที่กล่าวไป)
เหล่านี้เสพหรือดื่มมากๆจะมีอาการเมา ฉะนั้น เพียงดื่มน้อยๆก็ถือว่าหะรอม (ส่วนกรณีเบียร์มีตราหะลาลที่นิยมในตะวันออกกลางนั้นไม่ใช่สิ่งมึนเมา เพียงแต่อาจจะเป็นข้อตำหนิที่ใช้ชื่อเลียนแบบ หรืออาจถึงขั้นหะรอมในส่วนของการเลียนแบบสิ่งชั่ว คือไม่ได้หะรอมโทษฐานเสพสิ่งมึนเมา)
สัญญาณกิยามะฮฺเกี่ยวกับการแต่งกายที่เกิดขึ้นแล้ว
การแต่งกายของสตรีที่ผิดหลักศาสนามีปรากฏขึ้นจริง จากที่ไม่เคยมีการแต่งกายแบบนี้มาก่อนในสมัยของท่านนบี ดังที่ท่านได้กล่าวว่า “จะปรากฏขึ้นในช่วงท้ายๆของประชาชาติของฉัน คือผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าแต่ยังเหมือนเปลือยกายอยู่ บนศีรษะของพวกนางคล้ายกับโหนกอูฐ พวกท่านจงสาปแช่งพวกนาง เพราะว่าพวกนางนั้นถูกสาปแช่ง” อีกสำนวนท่านกล่าวว่า “บุคคลสองประเภทที่อยู่ในนรก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อนเลย ประเภทหนึ่งคือ เขาจะถือแส้เหมือนหางวัว โดยเขาใช้มันตีผู้คนทั้งหลาย และ (อีกประเภทคือ) ผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าแต่ยังเหมือนเปลือยกายอยู่ เดินบิดไปส่ายมา ศีรษะของนางเอียงยื่นเหมือนโหนกอูฐ ซึ่งพวกนางเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์ พวกนางจะไม่ได้พบแม้กลิ่นหอมของสวรรค์ มันมีระยะห่างเท่านั้นถึงเท่านั้น (ท่านทำท่าบอกระยะ)” (บันทึกโดยมุสลิม)
คนที่ถือแส้เหมือนหางวัวไล่ตีผู้คน อันนี้มีปรากฏขึ้นแล้วในหมู่ผู้ปกครองที่อธรรม แล้วก็สมัยพวกล่าอาณานิคมที่ค้าทาส ต้อนคนแอฟริกาไปเป็นทาสในตะวันตก ส่วนล่าสุดที่ซีเรียก็มีทหารของกองทัพซีเรียจับประชาชนฝ่ายต่อต้านมาขังแล้วใช้แส้ตี ซึ่งปรากฏในคลิปให้เห็นไปทั่วโลก
ส่วนสตรีที่แต่งกายแบบเปลือยกาย คือ สวมชุดรัดรูป หรือเปิดเผยเอาเราะฮฺบางส่วน บางทีก็เห็นแขนเห็นคอ ซึ่งในกลุ่มสตรีอาหรับที่นิยมแต่งตัวแฟชั่นก็ทำกันอย่างแพร่หลายมาหลายปีแล้ว เป็นที่ทราบกันดี แล้วก็เกล้าผมแบบโหนกอูฐด้วย ก็น่าแปลกว่า พวกเขาไม่สนใจว่าท่านนบีได้ตำหนิไว้ บางทีก็ไม่สนใจจะรับรู้ บางทีก็รู้แล้วแต่ไม่เชื่อ ก็แน่นอนล่ะว่า คนที่ทำผิดนั้นมักจะคิดเข้าข้างตนเองว่า ข้อห้ามในศาสนานั้นไม่ได้หมายความถึงสิ่งที่เขาทำซะหน่อย
สัญญาณกิยามะฮฺที่ยังไม่เกิด
มีหะดีษรายงานจากท่านอันเนาวาสว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "...และในขณะนั้นจะเหลือเฉพาะมนุษย์ที่ชั่วร้าย พวกเขาจะสมสู่กันเหมือนกับการสมสู่ของลาตัวผู้กับตัวเมีย ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นแหละวันกิยามะฮฺก็จะอุบัติขึ้น" (บันทึกโดยมุสลิม)
สัญญาณกิยามะฮฺข้อนี้ หรือไม่ว่าเรื่องของการทำซินากันตามทางสัญจรไปมา เหล่านี้เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คนมักเข้าใจผิดว่ามันเกิดขึ้นแล้ว (เนื่องจากบางข้อท่านนบีไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ให้เรา และบางข้อก็เรียงลำดับไว้ ฉะนั้นสำหรับผู้ที่ประมวลสัญญาณกิยามะฮฺทั้งเกิดขึ้นทั้งหมดจึงจะสามารถนำเรื่องราวหลักๆที่ท่านนบีเรียงไว้ให้มาจัดลำดับเหตุการณ์)
ยุคนี้มีการถ่ายคลิปโชว์กันทางโลกออนโลน์ ซึ่งนั่นก็ยังไม่ตรงตามที่หะดีษระบุไว้ เนื่องจากในลำดับเหตุการณ์ของหะดีษเหล่านี้ หมายถึงเกิดหลังยุคของนบีอีซาที่กลับลงมา ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เล่าเหตุการณ์เมื่อท่านนบีอีซากลับมา และหลังที่จากไปจึงได้เล่าเหตุการณ์ต่อ (ดังสำนวนหะดีษข้างต้น) ผู้คนก็จะเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งความไร้ศีลธรรม มนุษย์ไม่มีอารยะเหมือนมนุษย์อีกต่อไป ไม่มีใครรู้จักอิสลาม ไม่มีใครรู้จักอัลลอฮฺ
ท่านนบีกล่าวว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าในโลกนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม)
สังคมจะมีแต่ความลามก ผู้คนแก้ผ้าสมสู่กัน ส่วนมุสลิมก็จะเหลือน้อย และค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีลมชนิดหนึ่งมาปลิดชีวิตมุสลิมให้หมดไปจากโลก จนกระทั่งเหลือแต่คนกาฟิรฺ มีการบูชาเจว็ด มีการสมสู่กันเหมือนสัตว์เหมือนลา คือไม่เป็นสิ่งที่ต้องละอายหรือปกปิด (คล้ายๆยุคนี้ที่คนตะวันตกจูบกันในที่สาธารณะหรือตามทางสัญจร โดยไม่ถือว่าต้องปกปิด เช่นเดียวกัน ในยุคท้ายสุด การสมสู่ทางเพศก็เป็นเรื่องที่เขาถือว่าไม่ต้องปกปิด) ไม่ต้องมีคลิปลับ เพราะไม่ใช่เรื่องลับๆอีกต่อไป จะไม่มีใครว่า ไม่มีทีวีช่องไหนเอามาด่า
ฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ดีว่า ปัจจุบันเป็นแค่ช่วงการมีแนวคิดเริ่มต้นเท่านั้น มนุษย์ยังไม่ได้พร้อมใจกันแก้ผ้าหรือสมสู่กันตามทางเดิน เพียงแต่มีบางส่วนที่ริเริ่มรณรงค์ให้ผู้คนเป็นอย่างนั้น ที่โมร็อคโค ที่อียิปต์ มีสตรีที่รณรงค์แก้ผ้า รณรงค์ต่อต้านชารีอะฮฺหรือบทบัญญัติอิสลาม บอกว่าอิสระของผู้หญิงคือต้องแก้ผ้า ส่วนหิญาบและนิกอบคือการกักขังสิทธิสตรี
ก็น่าแปลกนะ ที่ไม่เป็นผู้ชายที่เป็นฝ่ายอยากแก้ผ้าก่อน ไม่มีผู้ชายบอกว่าใส่สูท ใส่โต๊บ รู้สึกว่าไม่อิสระ อยากแก้ผ้าเดิน อยากแก้ผ้าไปทำงาน ไม่เลย.. แต่แกนนำผู้ริเริ่มลัทธิแก้ผ้านี้ กลับเป็นสตรี
เราถูกสร้างมาโดยมีบททดสอบต่างกันไป ญินก็มีบททดสอบแบบหนึ่ง มนุษย์ก็แบบหนึ่ง มนุษย์ที่เป็นชายและหญิงก็มีบททดสอบต่างกันไป ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ
มีหะดีษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันยืนอยู่ที่ประตูสวรรค์ ทันใดนั้นฉันเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้เข้าสวรรค์นั้นเป็นคนจน ส่วนคนร่ำรวยยังถูกกักกันไว้ (ยังไม่ได้รับอนุมัติให้เข้าสวรรค์) แต่ชาวนรกนั้นถูกสั่งให้ไปสู่นรก และฉันยืนอยู่ที่ประตูนรก ทันใดนั้นฉันเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้านรกนั้นเป็นผู้หญิง” (บันทึกโดยบุคอรี และมุสลิม)
สตรีจะเป็นชาวนรกเยอะ นอกจากนั้นยังมีหะดีษทีรายงาน ว่าคนที่ถูกดัจญาลล่อลวงมักจะเป็นชาวชนบท และสตรี
ทั้งนี้ มันคือการแจ้งเหตุการณ์ล่วงหน้า ไม่ใช่การตำหนิหรือดูถูกเพศและภูมิลำเนา
ยกตัวอย่างเช่น สถาบันหนึ่งมีการทำข้อสอบ และสถาบันก็สรุปสถิติ ปรากฏว่า นักเรียนจากต่างจังหวัดส่วนมากสอบผ่าน นักเรียนจากกรุงเทพส่วนมากสอบตก นักเรียนหญิงส่วนมากสอบผ่าน ส่วนผู้ชาย 70 % สอบตก
เช่นเดียวกัน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แจ้งไว้เป็นการสรุปสถิติล่วงหน้า ซึ่งอี่กประการคือนำมาแจ้งเพื่อเตือนให้คนกลุ่มนั้นระวังเป็นพิเศษ อย่าได้เป็นหนึ่งในคนชนบทเหล่านั้น หรืออย่าได้เป็นสตรีเหล่านั้น ที่อยู่ในนรก หรือถูกดัจญาลล่อลวงก็ตาม หรือที่เตือนคนรวย ก็คืออย่าได้เป็นคนรวยที่เข้าสวรรค์ล่าช้า (ซึ่งแน่นอนว่า ผลล่วงหน้าที่นบีเห็นนั้น เป็นจริงแน่นอน)
ที่มา: อัซซาบิกูน
islamhouse.muslimthaipost.com