พระเจ้าอักบาร์ทรงขึ้นครองราชย์ในขณะยังทรงพระเยาว์เพียง 13 พระชันษา ในปี คศ 1556 จนถึง คศ 1605 ความยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่การที่ทรงสามารถขยายดินแดนของอินเดียไปอย่างกว้างขวาง
อักบาร์มหาราช กษัตริย์มุสลิมผู้ให้ความเสมอภาคทางศาสนาและตั้งศาสนาใหม่
พระเจ้าอักบาร์มหาราช (Akbar the Great) หรือ "จักรพรรดิอักบาร์" ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น "มหาราช" ด้วย เพราะรัชสมัยของพระองค์ถือได้ว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองมากที่สุดของจักรวรรดิโมกุล ของอินเดีย
พระเจ้าอักบาร์มหาราช
พระเจ้าอักบาร์ทรงขึ้นครองราชย์ในขณะยังทรงพระเยาว์เพียง 13 พระชันษา ในปี ค.ศ. 1556 จนถึง ค.ศ. 1605 ความยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่การที่ทรงสามารถขยายดินแดนของอินเดียไปอย่างกว้างขวาง (ยึดได้ทั่วฮินดูสถาน จนท้ายที่สุดได้ครอบครองดินแดนเกือบจะทั่วภาคเหนือของอินเดียและอัฟกานิสถาน) หรือการที่ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองทุกด้าน
แต่ที่โด่งดังและโดดเดนที่สุดคือ การที่ทรงเป็นมุสลิม แต่กลับทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา สร้างสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ และการที่ทรงสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา ซึ่งถือว่าแตกต่างจากธรรมเนียมปฏิบัติของรัฐอิสลามแต่เดิม
แต่สิ่งที่อยากเน้นมากเป็นพิเศษในบทความนี้คือ การที่ อักบาร์ ข่าน หรือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่เป็นมุสลิม กลับมีแนวคิดเรื่องการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และมุ่งสร้างความความปรองระหว่างศาสนาอย่างมาก นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างมหัศจรรย์ในโลกยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะในสังคมมุสลิม
ต้องเล่าย้อนไปก่อนว่า อักบาร์ รับอิสลามได้อย่างไร?
แท้จริงแล้ว ท่านไม่ได้เริ่มรับอิสลามด้วยตัวท่านเอง แต่ปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาราชวงศ์โมกุลคือ พระเจ้าบาบูร์ ได้นับถืออิสลามมาก่อนแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าอักบาร์จึงเป็นอิสลามโดยกำเนิด
พระเจ้าบาบูร์ หรือ บาบูร์ ข่าน สืบเชื้อสายมาจากเจงกีส ข่านและตาแมร์ลัง แห่ง กาบูล (คือ มีเชื้อสายเตอร์ก-มองโกล) เป็นผู้สืบทอดการเผยแพร่อิสลาม ในฮินดูสถาน(หรืออินเดีย)ต่อ บาบูร์ข่าน ทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญและปกครองประเทศตามแบบเจงกีส ข่าน อาณาจักรของบาบูร์จากโอซุสไปถึงแม่น้ำคงคา และเบงกอล พระองค์ทรงขับไล่ Ibrahim Lodi จากการเป็นสุลต่านเดลฮี ด้วยการใช้เทคนิคการรบที่เหนือกว่า ที่ทรงได้รับมาจากพวกเตอร์ก จากนั้น ทรงเข้าครองเมืองอัครา
พระเจ้าบาบูร์นอกจากเป็นนักรบแล้วยังเป็นนักประพันธ์ ทรงเขียนกลอนได้ทั้งภาษาเปอร์เซียและภาษาเตอร์ก ทรงนำวรรณคดีและดนตรีจากเปอร์เซียมาให้อินเดีย เมื่อว่างจากศึกสงครามทรงใช้เวลาไปในการสร้างพระราชวัง สุเหร่า สวน สะพาน ทรงจ้างสถาปนิกมาจากเมืองอิสตันบูล (ตุรกี) พูดง่ายๆ ว่า ที่อินเดียมีศิลปะบางอย่างเหมือนทางตะวันออกกลางก็เพราะการเข้ามาของราชวงศ์โมกุล โดยพระเจ้าบาบูนี่เอง
หลังจาก ยุคพระเจ้าบาบูร์ ก็ยังมีกษัตริย์ต่อมาอีก จนกระทั่งมาถึงยุคของ อักบาร์ ข่าน หรือพระเจ้าอักบาร์มหาราชที่กำลังเน้นถึงในบทความนี้ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างจักรวรรดิโมกุลที่แท้จริง ทรงเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ อาณาจักรของพระองค์กว้างใหญ่ ทรงเป็นนักปกครองที่ชาญฉลาด ที่ทราบว่าการปกครองประเทศใหญ่ที่เต็มไปด้วยพล เมืองหลายเผ่าพันธุ์ หลายศาสนา และหลายภาษา ควรปกครองด้วยวิธีใด
การบริหารการปกครองทรงได้รับอิทธิพลมาจากอิหร่าน ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอินเดียเพื่อเป็นตัวอย่างของการเชื่อมสนิทกับประชาชนท้องถิ่นดั้งเดิม
อักบาร์ ข่าน หรือพระเจ้าอักบาร์ จึงพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการให้เสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนา พระองค์ทรงกระทำหลายอย่างเพื่อให้วัตถุประสงค์นี้สำเร็จ โดยทรงยกเลิกภาษีจิซยา (Jizya - ภาษีที่รัฐอิสลามจะเก็บกับคนนอกศาสนาเพื่อเป็นค่าคุ้มครอง ซึ่งจะไม่เก็บภาษีนี้กับคนมุสลิมด้วยกัน) ทรงเปิดโอกาสให้คนฮินดู(ซึ่งเป็นคนอินเดียโดยส่วนมาก) สามารถเข้ารับราชการเท่าเทียมกับพวกมุสลิม ทรงแต่งตั้ง ให้ Todar Mall จากราชพุทธมาเป็นผู้นำทหาร ทรงปรับภาษีใหม่ คือ หนึ่งในสามของผลผลิตเป็นของรัฐเท่ากันทุกคน Todar Mall ให้คนฮินดูเรียนภาษาเปอร์เซีย เพื่อเข้ารับราชการในตำแหน่งสูงๆได้ ทรงให้มีการผสมกันระหว่างภาษาเปอร์เซียและภาษาฮินดูทำให้เกิดภาษาใหม่ เรียกว่า ภาษาอูรดู สร้างเมืองใหม่ คือ City of Victory (ชัยบุรี) ซึ่งเต็มไปด้วยสุเหร่า ราชวัง สถานที่สาธารณะ บ้านเรือน แต่ให้ทุกศาสนามีอิสระในการเผยแพร่ศาสนาของตน
www.muslimthaipost.com