นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ


24,760 ผู้ชม

นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ (ซบ.) สุดท้ายจุดจบของนัมรูดจะเป็นเช่นไรมาดูกันเลย....


นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ (ซบ.) สุดท้ายจุดจบของนัมรูดจะเป็นเช่นไรมาดูกันเลย....

กษัตริย์นัมรูดแห่งอาณาจักรบาบิโลน (ภาษาฮิบรู: נִמְרוֹד /นิมโรด/, ภาษาอาหรับ: نمرود /นัมรูด, นิมรูด/) มีชีวิตราว ย2000 ปีก่อนคริสตศตวรรษ เป็นกษัตริย์ผู้อ้างว่าตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า

นัมรูด ซึ่งมีเชื้อสายสืบมาจากซามบุตรของนบีนูห์ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ รวบรวมแคว้นใหญ่น้อยเป็นอาณาจักร มีศูนย์กลางอยู่ที่นครบาบิโลน (ปัจจุบันคือเมืองกูฟะห์ ในประเทศอิรัก) นัมรูด เป็นทั้งนักปกครองและนักรบผู้โหดเหี้ยม เมื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาได้ทำนุบำรุงด้านกำลังทหารก่อน ได้รวบรวมกำลังทหารขึ้นอย่างมากมายจนมีกำลังเข้มแข็ง ยกไปตีและยึดเติร์กได้ จัดระเบียบการปกครองที่นี่อยู่หลายเดือน หลังจากนั้นได้บุกเข้าโจมตีฮินดูสถานและยึดได้ บรรดาผู้ปกครองเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆ ในแถบนั้นก็พากันมานอบน้อมสวามิภักดิ์ต่อนัมรูดแต่โดยดี 

จากนั้นได้ยกกองทัพไปโจมตีแถบโรมตะวันออกที่วงศ์วานของซามปกครองอยู่ รวบรวมดินแดนเหล่านั้นไว้ภายใต้การปกครองของนัมรูดทั้งสิ้น ด้วยอำนาจที่มีมากมายนี่เองทำให้นัมรูดสำคัญตนว่าเป็นเจ้าชีวิต เป็นผู้อภิบาลที่ชี้เป็นชี้ตายชีวิตของพลเมืองได้ จึงได้ออกคำสั่งให้ประชาชนเคารพสักการะตนเป็นดังเทพเจ้าองค์หนึ่ง 

วันหนึ่งโหราจารย์ได้กราบทูลต่อนัมรูดว่า ขณะนี้พวกเขาได้เห็นดาวดวงหนึ่งปรากฏตัวโคจรอยู่ทางฟ้าทิศตะวันออก เป็นสัญญาณว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีเด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในบ้านเมืองของพระองค์ จะมาทำลายบัลลังก์และศาสนาของพระองค์ 

นัมรูดจึงมีบัญชาให้ป่าวประกาศไม่ให้สามีภรรยามีเพศสัมพันธ์กัน ให้ชายหญิงแยกกันอยู่ แต่ด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮฺที่พระองค์จะบันดาลให้สิ่งใดเกิดมันก็ต้องเกิด เด็กน้อยนามอิบรอฮีม ถือกำเนิดมาท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ อิบรอฮีมเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดเกินวัย เขามักจะคิดคำนึงและถามผู้เป็นแม่เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าตลอดเวลา

นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ

นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ (ภาพไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

อิบรอฮีมเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ เขาเฝ้ามองดูความเป็นไปในธรรมชาติและคิดใคร่ครวญถึงพระผู้เป็นเจ้า อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ความว่า 

“และดังนั้นเราได้แสดงให้อิบรอฮีมได้เห็นถึงอำนาจการปกครองฟ้าและแผ่นดินซึ่งเขาจะได้เป็นผู้มั่นใจผู้หนึ่ง” 

พอค่ำคืนได้ปกคลุม เขาก็ได้เห็นดาวดวงหนึ่ง อิบรอฮีมก็ได้พูดว่า นี่คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับหายไปแล้ว อิบรอฮีมก็พูดว่าเราไม่ชอบหน้าพระเจ้าที่ลับหายเลย 

เมื่ออิบรอฮีมได้เห็นพระจันทร์ขึ้นในยามค่ำคืนก็กล่าวว่า นี่หรือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อพระจันทร์ได้ลับหายไปแล้ว เขาก็พูดว่าถ้าพระเจ้าของฉันไม่ทรงนำทางแล้ว ฉันก็ต้องเป็นคนหนึ่งที่หลงผิดอย่างแน่นอน 

และเมื่ออิบรอฮีมได้เห็นดวงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ ก็พูดว่า นี่เป็นพระเจ้าของฉันที่เป็นใหญ่กว่าทั้งหมด และเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วก็พูดออกมาว่า โอ้ พวกของฉัน แท้จริงฉันพ้นจากสิ่งที่พวกท่านพากันหลงทางแล้ว 

สำหรับฉันแล้ว ฉันตั้งใจอย่างแน่นอนและจริงใจที่จะยึดเหนี่ยวผู้ที่สร้างฟ้าและแผ่นดินเป็นที่พึ่ง ไม่เคยคิดที่จะหันเหออกจากพระเจ้าเลย 

เมื่ออาซัรผู้เป็นลุงได้สอนอิบรอฮีมกราบไหว้รูปปั้น และยังสอนว่านัมรูดคือพระเจ้า แต่อิบรอฮีมกลับโต้ตอบว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินต่างหากที่เป็นพระเจ้าของเรา พระองค์ไม่ทรงเหมือนกับสิ่งใดๆ เราไม่สามารถนำสิ่งอื่นมาเทียบเสมอพระองค์ได้เลย 

พระเจ้าของเราคือผู้ที่ได้สร้างฉันขึ้นมาแล้วนำทางที่ถูกต้องให้กับฉัน เป็นผู้ที่ให้อาหาร ให้น้ำแก่ฉัน เมื่อฉันเจ็บป่วย พระองค์ก็ทำให้ฉันหาย พระองค์ทรงทำให้ฉันตาย แล้วก็ให้ฉันเป็นขึ้นอีก พระองค์ให้ความหวังว่าพระองค์จะยกโทษให้ฉันในวันตัดสินใหญ่ แต่บรรพบุรุษของฉันกลับเชื่อในสิ่งไร้สาระที่ไปกราบไหว้บูชาสิ่งอื่น ที่จริงแล้วพระเจ้าที่สมควรกราบไหว้นั้นคือพระเจ้าที่สามารถสร้างฟ้าและแผ่นดิน และฉันขอสาบานด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ความวิบัติของเทวรูปทั้งหลายจะมาถึงในไม่ช้านี้ 

นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ

นัมรูด กษัตริย์จอมโอหังผู้ท้ารบกับอัลลอฮฺ (ภาพไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

อิบรอฮีมโตขึ้นจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น วันหนึ่ง เขาได้เข้าไปในวิหารเห็นผู้คนพากันกราบไหว้บูชาเทวรูปกันอย่างหลงงมงาย เขาจึงคิดที่จะทำลายเทวรูปเหล่านั้นเสีย เมื่อสบโอกาสในวันนักขัตฤกษ์ ประชาชนได้มากราบไหว้และเซ่นสังเวยเทวรูปแล้วพากันไปชุมนุม ไปเฉลิมฉลอง แต่อิบรอฮีมไม่ได้ออกไปเฉลิมฉลองด้วย เขายังคงอยู่ในวิหาร และได้ใช้ขวานฟันทำลายรูปปั้นเล็กๆ แล้วนำขวานไปวางไว้บนบ่าของเทวรูปใหญ่ซึ่งไม่ได้ถูกทำลายแล้วก็ออกจากวิหารไป 

ชาวเมืองเห็นเทวรูปที่พวกเขาเคารพบูชาถูกทำลายก็พากันโกรธแค้น และรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของอิบรอฮีมอย่างแน่นอน เพราะเป็นคนเดียวที่มักพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามเทวรูปเหล่านั้น พวกเขาจึงไปนำตัวอิบรอฮีมมายังวิหารเพื่อเค้นเอาความจริง แต่อิบรอฮีมกลับบอกแก่ชาวเมืองว่า เทวรูปใหญ่นั่นแหละที่ทำลายเทวรูปเล็ก เพราะขวานอันนั้นเป็นพยานหลักฐานได้ ขวานที่ยังแขวนอยู่ที่เทวรูปองค์ใหญ่ ถ้าไม่เชื่อก็ถามพวกเทวรูปเล็กๆ ที่ถูกทำลายดูถ้ามันพูดได้ ชาวเมืองพากันก้มหน้าอับอายเพราะจำนนต่อคำพูดของอิบรอฮีม อิบรอฮีมจึงกล่าวต่อไปว่า 

“พวกท่านเห็นไหม พระเจ้าต่างๆ ที่พวกท่านเคารพบูชาพูดไม่ได้ พวกท่านพากันเคารพบูชาสิ่งที่พวกท่านแกะสลักขึ้นมาและให้คุณให้โทษก็ไม่ได้ แทนพระเจ้าที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ” 

แม้จะจนด้วยหลักฐานไม่สามารถโต้แย้งกับอิบรอฮีมได้ แต่ชาวเมืองก็ยังคงปักใจเชื่อว่าอิบรอฮีมเป็นผู้ทำลายเทวรูป บางคนตะโกนว่าให้เผาอิบรอฮีมเสียทั้งเป็น แล้วบูรณะซ่อมแซมเทวรูปที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ซึ่งคนอื่น ๆ พากันโห่ร้องแสดงความเห็นด้วย

นัมรูดสั่งให้ก่อกำแพงสี่เหลี่ยมด้วยอิฐกว้างยาวร้อยศอกและสั่งให้ประชาชนหาฟืนมาใส่ในกำแพงนั้นจนเต็มล้นสูงเป็นภูเขา จากนั้นก็จุดไฟขึ้นแล้วใช้คานงัดเหวี่ยงอิบรอฮีมลงในกองเพลิงที่ร้อนแรง เปลวไฟลุกแดงฉานจับท้องฟ้า แต่อัลลอฮฺทรงปกปักษ์รักษาอิบรอฮีมโดยบันดาลให้เกิดปฏิหารย์ทำให้ไฟเย็นแล้วกองเพลิงนั้นกลับกลายเป็นดั่งสวรรค์ที่ให้สันติสุขแก่อิบรอฮีม 

กษัตริย์นัมรูดเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จึงสั่งให้ทหารใช้คานงัดดีดก้อนหินลงไปในกองเพลิงนั้นถึง 500 ก้อน แต่หินเหล่านั้นกลับกลายเป็นก้อนเมฆปกคลุมให้ความร่มเย็นแก่อิบรอฮีมยิ่งขึ้น นายทหารคนหนึ่งชื่อฮามานทำหน้าที่สั่งการให้ทหารดำเนินการตามรับสั่งของนัมรูดอยู่ใกล้กองเพลิง ถูกกระแสลมเปลี่ยนทิศทางพัดเอาเปลวไฟเผาร่างของเขาดำเป็นตอตะโก ขาดใจตายอยู่ใกล้กองเพลิงนั่นเอง 

เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัดเช่นนั้นทำให้ประชาชนเกิดความโกลาหล แตกความคิดออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นอภินิหารของพระเจ้าของอิบรอฮีม และเชื่อตามที่อิบรออีมได้เคยกล่าวถึงพระเจ้าไว้ แต่พวกเขายังเกรงกลัวในอำนาจของนัมรูด ในบรรดาผู้ที่เชื่อเช่นนี้มีบุตรของนัมรูดรวมอยู่ด้วย เขายอมกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และอิบรอฮีมเป็นที่โปรดปรานของอัลลอฮฺ บุตรของนัมรูดได้บอกให้นัมรูดยอมจำนนต่อพระเจ้าของอิบรอฮีมและยกย่องอิบรอฮีมที่ได้รับการปกป้องให้ได้รับความปลอดภัยเช่นนี้ นัมรูดไม่พอใจอย่างยิ่ง สั่งให้ทหารจับบุตรของตัวเอง แต่บัดนั้นเองได้มีก้อนเมฆมาโอบอุ้มบุตรของนัมรูดไปปล่อยไว้ยังที่ปลอดภัย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้นัมรูดโกรธกริ้วละช้ำชอกใจมากยิ่งขึ้น อัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ความว่า 

“ที่พวกเขาคิดจะเผาอิบรอฮีมนั้น แต่เรากลับทำให้พวกเขาช้ำใจหนักยิ่งขึ้นไปอีก” 

อิบรออีมอยู่ในกองเพลิงเป็นเวลา 4 วัน เกิดฝนตกลงมาทำให้ไฟดับ 

เมื่อเป็นที่รังเกียจของชาวเมือง อิบรอฮีมจึงออกเดินทางไปแคว้นชาม อัลกุรอานกล่าวถึงคำพูดของอิบรอฮีมความว่า 

“แท้จริงฉันต้องละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของฉันไปสู่สถานที่อันมีเสรีในการเคารพภักดีพระเจ้าของฉัน ฉันคิดว่าที่นั่นพระเจ้าคงจะประทานทางนำอันเที่ยงตรงให้แก่ฉันอย่างแน่นอน” 

อิบรอฮีมออกเดินทางจากบาบิโลนไปยังชาม ระหว่างทางผ่านมาถึงเมืองฮารานซึ่งธิดาของเจ้าเมืองชื่อซาราห์กำลังเลือกคู่ครอง อิบรอฮีมได้รับเลือกให้สมรสกับซาราห์ธิดาของเจ้าเมือง อยู่ที่เมืองฮารานระยะหนึ่งอิบรอฮีมและซาราห์จึงออกเดินทางไปชาม ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ปาเลสไตน์ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นชาม ท่านได้สร้างมัสยิดที่บัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) ทำการเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮฺ ดินแดนนั้นจึงเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ประชาชนก็เชื่อฟังคำสอนของศาสดาอิบรอฮีมเป็นอย่างดี 

อัลลอฮฺทรงมีบัญชาให้อิบรอฮีมกลับไปยังบาบิโลนเนื่องจากนัมรูดเตรียมการที่จะท้ารบกับพระเจ้า อิบรอฮีมเรียกร้องให้นัมรูดศรัทธาในพระเจ้า นัมรูดย้อนถามว่า “ใครเป็นพระเจ้าของท่าน” อิบรอฮีมตอบว่า

“พระเจ้าของฉันคือผู้ที่ทำให้เป็นและให้ตายได้” นัมรูดกลับตอบว่า “ข้าก็ทำให้เป็นให้ตายได้” ว่าแล้วก็ให้นำนักโทษมาสองคน สั่งให้ประหารชีวิตคนหนึ่ง และปล่อยตัวไปคนหนึ่ง 

อิบรอฮีมกล่าวว่า “พระเจ้าของฉันทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก และทรงให้ตกทางตะวันตก ท่านจงทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกสิ” นัมรูดจนปัญญาและแสดงความเกรี้ยวกราด จึงกล่าวแก่อิบรอฮีมว่า

“ข้าจะทำสงครามกับพระเจ้าของเจ้า พระเจ้าของเจ้าจะทำสงครามได้ไหม” อัลลอฮฺทรงบัญชาให้อิบรอฮีมตอบรับคำท้าของนัมรูด 

นัมรูด ได้ระดมทัพขนาดใหญ่จากแว่นแคว้นต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจของตน เมื่อพร้อมแล้ว อิบรอฮีมได้ขอพรต่อพระองค์อัลลอฮฺให้ลงโทษผู้โอหังนี้ ทันใดนั้นได้เกิดสิ่งหนึ่งคล้ายกลุ่มเมฆดำทะมึนแผ่กระจายเต็มท้องฟ้ามุ่งมายังกองทัพของนัมรูดอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ามาใกล้ กองทัพของพระเจ้าที่แท้คือฝูงยุงจำนวนมหาศาล ทหารไม่สามารถใช้อาวุธประจำกายของตนทำลายยุงเหล่านั้นได้ จึงถูกฝูงยุงเข้ากัด ดูดเลือดทหารล้มตาย ที่เหลือก็พากันแตกหนีอลหม่านไม่สามารถคุ้มกันได้ ปราชัยอย่างยับเยิน กษัตริย์นัมรูดเองต้องหนีเข้าพระราชวังแต่ถูกฝูงยุงตามเข้าไปกัดในรูจมูก ทำลายเส้นประสาทสำคัญ ทำให้ปวดร้าวในสมองสุดจะทนทาน อิบรอฮีมขอให้นัมรูดยอมจำนนต่อพระเจ้า แต่นัมรูดไม่ยอม หลังจากทรมานอยู่ถึง 40 วัน นัมรูดก็ตาย 

จากอภินิหารของพระเจ้าของอิบรอฮีม ทำให้ชาวบาบิโลนยอมปฏิญาณตนเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าของอิบรอฮีม

 ที่มา:   ดาบแห่งอัลเลาะห์ แอนตี้ไซออนิสต์

อัพเดทล่าสุด