เมื่ออะญั้ล (วาระแห่งความตาย) มาถึง พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ) จะทรงให้มลาอิกะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “มะละกุลเมาต์ หรือมลาอิกะฮ์ แห่งความตาย” มาเก็บวิญญาณของผู้ตาย ดังที่พระองค์ตรัสว่า
การเก็บวิญญาณ สิ่งเร้นลับในอิสลาม
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
เมื่ออะญั้ล (วาระแห่งความตาย) มาถึง พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) จะทรงให้มลาอิกะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “มะละกุลเมาต์ หรือมลาอิกะฮ์ แห่งความตาย” มาเก็บวิญญาณของผู้ตาย ดังที่พระองค์ตรัสว่า
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า มลาอิกะฮ์แห่งความตายซึ่งถูกมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่านจะปลิดชีวิตพวกท่านแล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน” (อัซซัจญดะฮฺ/11)
วิญญาณ เป็นสิ่งเร้นลับ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีรูปร่างอย่างไรนอกจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) วิธีการเก็บวิญญาณก็เป็นสิ่งเร้นลับ ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร บรรดาผู้ปฏิเสธได้ถาม ท่านนะบีมุฮัมมัด เกี่ยวกับวิญญาณ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ให้นบีมุฮัมมัด ตอบพวกเขาดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน(ซ.บ.)ว่า“และพวกเขาถามเจ้าถึงวิญญาณ (มุฮัมมัด) เจ้าจงกล่าวเถิดว่า วิญญาณเป็นกิจของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านไม่มีความรู้อันใด นอกจากเพียงเล็กน้อย” (อัลอิสรออฺ /85)
ขณะเดียวกันเราก็ไม่รู้ว่า มะละกุลเมาต์เป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร นอกจากเท่าที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานและในซุนนะฮ์ของท่านบีมุฮัมมัด(ศ้อลฯ) เท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏซึ่งแสดงเป็นรูปภาพหรือการบอกเล่านั้นเป็นเพียงแค่การจินตนาการเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด
วิญญาณออกจากร่าง
วิญญาณออกจากร่างอย่างไร ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน(ซ.บ.)ว่า“และพระองค์ คือ ผู้ทรงอำนาจเหนือปวงบ่าวของพระองค์ และทรงส่งทูตผู้บันทึกมายังพวกสูเจ้าจนกระทั่งอะญั้ล (วาระแห่งความตาย)มาถึงคนหนึ่งจากพวกเจ้า บรรดาทูตของเรา (ของอัลลอฮ์) จะเก็บวิญญาณของเขา โดยที่พวกเขาจะไม่ทำให้บกพร่อง” (อัลอันอาม/61)
คำว่า “ทูต” ในที่นี้หมายถึง บรรดามะละกุลเมาต์ ดังที่ท่านอิบนุอับบาส และนักอธิบายอัลกุรอาน ท่านอื่นๆกล่าวไว้ พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ตามการบัญชาของอัลลอฮ์(ซ.บ.) โดยไม่บกพร่อง ด้วยการนำวิญญาณออกจากร่างกาย แล้วเก็บไว้ตามพระบัญชาของอัลลอฮ์(ซ.บ.)
วิญญาณของผู้ทำความดี
ความตายเป็นสภาพที่น่าสะพรึงกลัว แต่ถ้าหากว่าผู้ใกล้ตายเป็นคนดี ซึ่งได้ใช้ช่วงชีวิตของเขาในการอีมานและประกอบความดี อัลลอฮ์ (ซ.บ.)ก็จะประทานสิ่งที่ดีให้แก่เขา และได้รับการตอบแทนที่ดี ในซูเราะฮ์อันะห์ล อายะฮ์ที่ 32 อัลลอฮ์(ซ.บ.)ตรัสว่า“บรรดาผู้ที่มลาอิกะฮฺเอาชีวิตพวกเขา โดยที่พวกเขาเป็นคนดีบรรดามลาอิกะฮ์จะกล่าวว่า ศานติจงมีแด่พวกท่าน พวกท่านจงเข้าสวรรค์ด้วยสิ่งที่พวกท่านปฏิบัติเถิด”ในหะดีษของนบีมุฮัมมัด(ศ้อลฯ) รายงานโดย อัล บะรออ์ อิบนุฮาซิบ กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์(ศ้อลฯ) กล่าวไว้ความว่า
แท้จริง บรรดามุอฺมิน เมื่อเขาสิ้นสุดวาระในโลกดุนยา และก้าวเข้าสู่โลกอาคีเราะฮ์ บรรดามลาอิกะฮ์จะลงมาจากฟากฟ้า โดยมีใบหน้าผ่องใส ใบหน้าของพวกเขาสว่างไสวเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ พวกเขาเตรียมเครื่องกะฝั่น (ห่อศพ) จากสวรรค์และมีของหอมจากสวรรค์ จนกระทั่งพวกเขามานั่งอยู่กับผู้ตายเป็นแถวยาวสุดสายตา แล้ว มะละกุลเมาต์ ก็ลงมานั่งทางศีรษะของผู้ใกล้จะตาย โดยกล่าวว่า“โอ้ วิญญาณทีดีเอ๋ย จงออกไปสู่การอภัยโทษจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และความพอพระทัยจากพระองค์เถิด” แล้ววิญญาณก็ไหลออกมา เหมือนกับน้ำที่ไหลออกมาจากปากคนโท แล้วมลาอิกะฮ์ก็นำมันไป บรรดามลาอิกะฮฺทั้งหลายต่างมองดูวิญญาณในมือของมะละกุลเมาต์อย่างไม่คลาดสายตา จนกระทั่งพวกเขานำมันไปทำการกะฝั่นและใส่ของหอม กลิ่นของมันโชยออกมา โดยมีความหอมยิ่งกว่ากลิ่นชะมดเชียง ที่พบอยู่ในโลกนี้ แล้วบรรดามลาอิกะฮ์ก็นำวิญญาณขึ้นสู่ฟากฟ้า พวกเขาไม่ผ่านกลุ่มมลาอิกะฮ์ใด นอกจากพวกเขาจะกล่าวว่า “ นี่คือ วิญญาณของผู้ใด ? ” พวกเขาจะกล่าวว่า “ วิญญาณของคนนั้นคนนี้ ”
โดยเรียกชื่อที่ดีที่สุดที่ผู้คนเรียกเขาในโลกดุนยา จนไปถึงปลายฟ้าของโลกนี้ พวกเขาขอให้เปิดประตู ประตูก็ถูกเปิดแก่เขา บรรดามลาอิกะฮ์ได้พาเขาไปส่งยังฟ้าชั้นต่างๆ จนถึงฟ้าชั้นที่เจ็ด อัลลอฮ์ (ซ.บ.)ตรัส ความว่า“เจ้าทั้งหลายจงบันทึกในบันทึกของบ่าวของข้าในสวรรค์ชั้นสูงสุด แล้วจงพาเขาลงไปยังโลก แท้จริง จากมันข้าได้สร้างพวกเขา ในมันข้าได้นำพวกเขากลับไป และจากมันจะนำพวกเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง ”
โดย : อาจารย์ มูนีร มูหะหมัด
ที่มา:www.Islammore.com