นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักสมุทรศาสตร์ (Oceanography scientist) ได้อธิบายถึงปรากฏการทางวิทยาศาสตร์ใต้ทะเล โดยเชื่อมโยงเข้ากับอัลกุรอาน บทซูเราะอัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40 ซึ่งกล่าวถึงโลกใต้ทะเลและบนชั้นฟ้าอย่างชัดเจน อายะฮฺบทนี้มีความว่า
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนา สามเหลี่ยมผีสิง เบอร์มิวด้า ได้แล้ว
นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักสมุทรศาสตร์ (Oceanography scientist) ได้อธิบายถึงปรากฏการทางวิทยาศาสตร์ใต้ทะเล โดยเชื่อมโยงเข้ากับอัลกุรอาน บทซูเราะอัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40 ซึ่งกล่าวถึงโลกใต้ทะเลและบนชั้นฟ้าอย่างชัดเจน อายะฮฺบทนี้มีความว่า :
024.040 أَوْ كَظُلُمَاتٍ فِي بَحْرٍ لُجِّيٍّ يَغْشَاهُ مَوْجٌ مِنْ فَوْقِهِ مَوْجٌ مِنْ فَوْقِهِ سَحَابٌ ظُلُمَاتٌ بَعْضُهَا فَوْقَ بَعْضٍ إِذَا أَخْرَجَ يَدَهُ لَمْ يَكَدْ يَرَاهَا وَمَنْ لَمْ يَجْعَلِ اللَّهُ لَهُ نُورًا فَمَا لَهُ مِنْ نُورٍ
" หรือเปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขา และเบื้องบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไม่เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้เขาได้รับแสงสว่าง เขาก็จะไม่ได้รับแสงสว่างเลย "
อายะฮฺบทนี้กล่าวถึง ความมืดมิดของท้องทะเลและการเกิดคลื่นใต้น้ำตามที่หลายท่านคงเคยได้ยินมา แต่ในบทความนี้จะขอนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและบทวิเคราะห์อัลกรุอานตามหลักวิทยาศาสตร์ของ ซูเราะฮฺอัล-นูรฺ อายะฮฺที่ 40 ดังนี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถวิจัยค้นพบปริศนาลึกลับดำมืดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่สร้างปรากฎการณ์ดูดกลืนเรือและเครื่องบินที่บินผ่านบริเวณดังกล่าวจนหายสาบสูญ และถูกกล่าวขานเรียกว่าเป็น"สามเหลี่ยมผีสิง ที่ร่ำลือกันว่า ได้ดูดกลืนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง"โดยพบว่า สาเหตุแท้จริงมาจากการการก่อตัวของก๊าซธรรมชาติ ที่ใหญ่ขนาดเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ และทำให้เรือและเครื่องบินสูญเสียการควบคุม ก่อนจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
รายงานระบุว่า จากการค้นพบของศจ.โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไขปริศนาดังกล่าว ระบุว่า เขาพบว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฎว่ามีก๊าซมีเธนเป็นจำนวนมาก ขนาดปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ลอยเหนือบริเวณดังกล่าว ก๊าซดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยเมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองก๊าซมีเธนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงสู่ห้วงทะเล
และหากฟองก๊าซดังกล่าวมีขนาดยักษ์มาก ๆ ที่สามารถครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงบนผืนฟ้าเพียงพอ มันก็จะทำให้เครื่องบินที่บินอยู่บนน่านฟ้าเหนือสามเหลี่ยมฯ สูญเสียการควบคุม ตกทะเลและจมลงสู่ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว
ย้อนในอดีตเคยมีคนพบกับดัจญาลมาก่อน..
ฟาตีมะฮฺ บุตรีเกียส ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินเสียงเรียกของท่านศาสดามูฮัมหมัด(ซ.ล.) ว่า ละหมาดคือศูนย์รวม ฉันก็ได้ออกไปยังมัสยิด และละหมาดพร้อมกับท่านศาสดามูฮัมหมัดโดยนั่งทัดจากชายกลุ่มหนึ่ง เมื่อท่านศาสดาเสร็จจากละหมาด ท่านก็มานั้งบนมิมบัรโดยหัวเราะ แล้วก็กล่าวว่า จำเป็นต่อทุกคนต้องยึดที่ละหมาดของตน (ให้นั่งอยู่กับที่) แล้วกล่าวต่อไปว่า พวกท่านรู้หรือไม่ว่า ฉันรวมพวกท่านมาเพื่อเหตุใด? พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺและศาสดาเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านศาสดากล่าวต่อไปว่า ฉันและอัลลอฮฺไม่ได้รวมพวกท่านมาเพื่อต้องการหรือขมขู่หรอก แต่ทว่าฉันรวมพวกท่านมาก็เพราะว่าท่านตามีมอัดดารีย์ที่เป็นชาวคริสเตียน เขาได้มาแล้วทำาการให้สัตยาบัน และได้เข้ารับอิสลาม เขาได้เล่าเรื่อง ๆ หนึ่งที่ตรงกับเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้พวกท่านได้ฟังมาแล้วจากเรื่องของดัจญาล เขาเล่าให้ฉันฟังว่า
เขาแล่นเรือเดินทะเล พร้อมกับคนอีก 30 คนที่เป็นโรคเรื่อน เรือของพวกเขาได้โต้คลื่นนานถึง 1 เดือนในทะเล แล้วพวกเขาก็ได้ไปติดเกาะ ๆ หนึ่งจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก โดยพวกเขาก็นั่งอยู่ที่เรือ แล้วก็เดินเขาไปในเกาะ จนกระทั่งมีสัตว์ตัวหนึ่งที่มีขนมากมายมาพบกับพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าด้านไหนหลังด้านไหนหน้า (เพราะว่าขนมันเยอะ)
พวกเขาจึงอุทานว่า.. อะไรกันนี่ !! แกคืออะไรกันแน่? มันก็ได้พูดว่า ฉันคือยัซซาซะฮฺ พวกเขาก็ได้พูดต่อไปว่า อะไรคือยัซซาซะฮฺ มันก็พูดว่า ทุกคนจงไปหาชายที่อยู่ในโบสถ์สิ เขาอยากได้ยินข่าวจากพวกท่านใจจะขาด ท่านตามีมก็ได้กล่าวว่า เมื่อยัซซาซะฮฺมันได้บอกกับเราถึงชายคนหนึ่ง เราก็ได้แยกจากมัน ปรากฏว่ามันเป็นชัยตอน
ท่านตามีมก็ได้กล่าวว่า เราก็ได้รีบด่วนไปจนเข้าไปในโบสถ์ ในนั้นมีชายร่างใหญ่ เราได้เห็นมันในสภาพที่เป็นมนุษย์ ถูกมัดไว้แน่น โดยรวบมือทั้ง 2 ไว้ที่ต้นคอ ล่ามขาหรือหน้าแข้งด้วยกับเหล็ก เราจึงอุทานว่า อะไรกันนี่ !! ท่านคืออะไรกัน มันจึงพูดว่า พวกท่านสามารถบอกข่าวให้กับฉันได้ ดังนั้นจงบอกข่าวให้ฉัน พวกท่านเป็นใคร ? พวกเขาได้กล่าวว่าเราเป็นชาวอาหรับ เราได้นั่งเรือมา บังเอิญทะเลเกิดปั่นป่วน พวกเราจึงโต้คลื่นอยู่นานถึง 1 เดือน ต่อมาเราก็มาติดเกาะของท่านนี่แหละ เราก็ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ เรือ แล้วเราก็เดินเขามาในเกาะ แล้วก็พบกับสัตว์มีขนมาก (แล้วพูดคุยกับมัน)
ชายในโบสถ์นั้นจึง กล่าวว่า พวกท่านจงบอกฉันถึงเรื่องอินทผลัมบัยซานซิ เราก็กล่าวว่า ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ? ชายในโบรถจึงกล่าวว่า ฉันจะถามพวกท่านว่าอินทผลัมนี้มีผลหรือไม่ เราก็ตอบว่า.. ใช่ มันมีผล ชายผู้นั้นก็ได้กล่าวว่า... แน่นอนมันเกือบที่จะไม่ออกผลแล้ว? แล้วก็กล่าวต่อไปว่า ?พวกท่านจงบอกกับฉันถึงเรื่องทะเลสาบต็อบรีย์ซิ ? เราจึงกล่าวว่า... ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ? มันจึงกล่าวว่า... ในนั้นมีน้ำหรือไม่ ? พวกเขาก็บอกว่า... มันมีน้ำมาก มันก็กล่าวต่อไปว่า... น้ำในทะเลสาบนั้นเกือบที่จะแห้งหมดแล้ว
แล้วก็พูดว่า... พวกท่านจงบอกฉันถึงเรื่องตาน้ำซูค๊อร ? พวกเขาก็บอกว่า... ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ? ชายผู้นั้นตอบว่า... ในตาน้ำมีน้ำหรือไม่ แล้วชาวบ้านซูค๊อรใช้ตาน้ำนี้ทำการเพาะปลูกหรือเปล่า ? เราก็บอกว่า... ใช่ มันมีน้ำมากและใช้ทำการเพาะปลูกด้วย ชายผู้นั้นกล่าวว่า.. จงบอกกับฉันซิ ถึงเรื่องนบี อัลอุมมีย์ (นบีที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ คือนบีมูฮัมหมัด) ว่าเขาทำอะไรบ้าง? พวกเขาบอกว่า... นบีได้ออกมาจากมักกะห์มุ้งไปยังเมืองยัซร๊อบ ชายผู้นั้นก็พูดว่า.. อาหรับจะฆ่าเขาใช่ไหม? เราก็บอกว่า.. ใช่ แล้วมันก็เล่าให้ชายผู้นั้นฟังว่า... อย่างไรที่เขาทำกับอาหรับ ? เราก็บอกว่า... อาหรับจะติดตามเขา และภักดีต่อท่านนบี ชายผู้นั้นก็กล่าวว่า... ใช่อย่างที่เล่ามาหรือ? เราก็บอกว่า.. ใช่ แล้วชายผู้นั้นก็กล่าวว่า... หากมันเป็นเช่นนั้น มันก็ดีกับพวกเขาจากการที่พวกเขาภักดีต่อนบี และฉันก็จะบอกกับพวกท่านถึงเรื่องฉัน ฉันคือมาเซียฮฺ (ดัจญาล) อีกไม่นานฉันก็จะถูกอนุญาตให้ออกไปแล้ว แล้วฉันก็จะออกเดินทางไปบนหน้าแผ่นดิน ฉันจะไม่เว้นไปสักหมู่บ้านเดียว แต่ฉันจะไปทุก ๆ หมู่บ้านภายใน 40 คืน
นอกจากมักกะห์และตอยยีบะห์ สองเมืองนี้ถูกห้ามสำหรับฉัน ทุก ๆ ครั้งที่ฉันต้องการจะเข้าไปในเมือง ๆ หนึ่ง จะมีบรรดามะลาอิกะฮฺถือดาบวิ่งมาขัดขวางไม่ให้ฉันเข้าไป และถูก ๆ ถนนจากสองเมืองก็จะมีมะลาอิกะฮฺ มารักษาความปลอดภัยอยู่? ท่านฟาติมะฮฺได้เล่าว่า ท่านนบีได้กล่าว และเอานิ้วก้อยจิ้มไปที่มีมบัร ?นี่แหละตอยยีบะฮฺ (หมายถึงมาดีนะห์) โปรดทราบ ฉันเคยเล่าเรื่องดังกล่าวให้พวกท่านฟังแล้วใช่ไหม? ผู้ฟังก็ตอบว่า.. ใช่... (รายงานโดยมุสลิม อบูดาวุด และตีรมีซีย์)
วัลลอฮุอะลัม
ที่มา: matichon.co.th, Imran Khan
www.muslimthaipost.com