นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ ทำให้ ชาวอาหรับเผ่ากุร็อยช์ แห่งเมืองมักกะฮ์ต้องสะเทือนเมื่อแม่ทัพหนุ่มผู้ห้าวหาญ เก่งฉกาจเด็ดขาด และฉลาดหลักแหลมในการรบ อันเป็นความมั่นใจของพวกเขา ที่ชื่อ คอลิด อิบนุล วาลิด ได้เกิดความคลอนแคลน จากการเชื่อในศาสนาที่บูชารูปปั้นที่พวกเขาสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ หันมาสนใจในศาสนาอิสลาม
ภาพไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
การเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามของแม่ทัพหนุ่มแห่งมักกะฮ์
นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ ทำให้ ชาวอาหรับเผ่ากุร็อยช์ แห่งเมืองมักกะฮ์ต้องสะเทือนเมื่อแม่ทัพหนุ่มผู้ห้าวหาญ เก่งฉกาจเด็ดขาด และฉลาดหลักแหลมในการรบ อันเป็นความมั่นใจของพวกเขา ที่ชื่อ คอลิด อิบนุล วาลิด ได้เกิดความคลอนแคลน จากการเชื่อในศาสนาที่บูชารูปปั้นที่พวกเขาสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ หันมาสนใจในศาสนาอิสลาม
และคงเป็นด้วยความเป็นผู้มีปัญญาวิจารณญาณและหลักแหลมของเขา ที่ได้เห็นการมาแสวงบุญอย่างเป็นระเบียบ และหมดจรดในการปฏิบัติ ศาสนกิจของท่าน นบี (ศาสนทูต) มูฮัมหมัด ที่ทำแบบอย่างแก่สาวก ได้ส่งผลทางจิตใจของเขาเป็นอย่างยิ่งในการเฝ้ามองพฤติกรรมของบรรดามุสลิม ในสามวันที่ชาวมักกะฮ์อนุญาตให้มุสลิมเข้ามายังสักการะสถาน ตามข้อสัญญาที่ตกลงกันเมื่อปีที่แล้ว
หลังจากที่ห้ามมุสลิมเข้ามาถึงเจ็ดปี การแต่งงานของ ท่านหญิงมัยมูนะฮ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของเขา กับท่านนบี มูฮัมหมัด นั้นก็เป็นสิ่งที่กระชับความใกล้ชิดในความเป็นเครือญาติแก่เขาอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ (เเละนี่คืออีกสาเหตุที่ท่านนบีเเต่งงานมีภรรยา)
แม้เวลาเหล่านั้นจะผ่านไปพอสมควรแล้ว แต่ภาพและเรื่องราวของมุสลิมยังคงติดอยู่ในความคิดของเขา วันหนึ่งเขาได้กล่าวแก่สหายของเขาว่า
“เรื่องราวของมูฮัมหมัดนั้นเป็นที่ชัดเจนผู้ใคร่ครวญและมีวิจารณญาณแล้วว่า มูฮัมหมัด มิได้เป็นบ้า หรือถูกภูตผีสิงและบันดาลใจ หรือเป็นพวกนักเล่นกลหรือ พวกกวีก็หาไม่ แต่ถ้อยคำที่เขานำมานั้น คือถ้อยคำที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกอย่างแท้จริง ฉะนั้นคนใดที่มีสามัญสำนึกก็ควรที่จะทำตามที่เขาสอน”
อิกรูมะฮ์ สหายที่สนทนากับเขารู้สึกตกใจในคำพูดของคอลิด กล่าวว่า
“โอ้ คอลิด ท่านได้ถูกล้างสมองไปแล้วกระมัง?” คอลิดกลับตอบว่า “ฉันไม่ได้มึนเมาหรือถูกล้างสมองหรอก เพียงแต่ เป็นอิสลามไปแล้วเท่านั้น” สหายของเขาประหลาดใจมากเพราะ คอลิดนั้นเป็นศัตรูกับศาสนาอิสลามอย่างยิ่งยวด และเป็นแม่ทัพ ที่เมื่อเขาออกรบทุกครั้ง ทุกคนต่างก็หวาดผวา ในการชำนาญการศึก และโหดเหี้ยมของเขาทั่วอารเบีย แม้แต่ฝ่ายมุสลิมก็เคยพ่ายท่า แพ้มาแล้วในสงครามอุฮุด “ ไม่ควรมีคำพูดคำนี้ จากคนเผ่ากุรอยช์ของพวกเรา โดยเฉพาะท่าน ยิ่งไม่ควรที่สุด ” “ทำไมหรือ” คอลิดถาม อิกริมะฮ์ สหายของเขา
“เพราะมูฮัมหมัด ทำให้บิดาของท่านต้องเสียเกียรติ เขาฆ่า ลุงและพี่น้องของท่านในสงครามบัรด์ ให้ตายเถอะ ฉันจะไม่ยอมให้ตัวฉันต้องไปนับถือศาสนาอิสลาม และจะไม่ยอมพูดอย่างที่ท่านพูดเป็นอันขาด ท่านก็เห็นแล้วว่าชาวกุร็อยช์นั้น พร้อมที่จะต่อสู้กับมูฮัมหมัดและสาวกของเขาตลอดเวลา” คอลิดกล่าวว่า
“สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมาจากความไม่รู้ อันเป็นการยึดถือในเผ่าพันธุ์ วงศ์ตระกูล และความมีอคติ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคก่อนที่ศาสนาอิสลาม จะถูกประกาศ แต่ตอนนี้ ข้าได้เป็นมุสลิมแล้ว สัจธรรมได้วางอยู่ตรงหน้าข้าอย่างชัดเจนแล้ว” คอลิดได้ส่ง นางม้าหลายตัวไปให้ท่านนบี พร้อมสาส์นที่แสดงว่าเขาต้องการจะรับศาสนาอิสลาม เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของอบูซุฟยาน ผู้อาวุโสแห่งเผ่ากุร็อยช์ อันเป็นหัวหน้าในการต่อต้านอิสลามของเมืองมักกะฮ์คนสำคัญ เขาโมโหมากเพราะมันจะมีผลต่อชาวเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อพบคอลิด เขาได้สอบถามอย่างเดือดดาลว่า
“ในนามของ อัตลาตและอุซซา(เทวรูปสำคัญที่ชาวอาหรับบูชาในเวลานั้น) ถ้าสิ่งที่ข้าได้ยินมาเกี่ยวกับตัวเจ้าเป็นความจริงละก็ ข้านี่แหละจะฆ่าเจ้าเสียก่อนที่จะฆ่ามูฮัมหมัด” “ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านได้ยินนั้นถูกต้องแล้วละ หากอะไรจะเกิด ก็ขอให้มันเกิดเถอะ”
เป็นคำตอบของคอลิดทำให้อบูซุฟยาน ถลันเข้าไปหมายเอาชีวิตคอลิด เขาคงลืมไปว่าคอลิดนั้นเป็นแม่ทัพหนุ่มที่มีฝีมือเพียงใด แต่ อิกริมะฮ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเข้าไปฉุดมือ ผู้อาวุโสของเผ่ากุรอยช์ไว้ และกล่าวว่า “ช้าก่อนท่านผู้อาวุโส ด้วยพระนามของพระเจ้า ข้าเองก็จะพูดอย่างที่คอลิดพูดเหมือนกัน หากฉันไม่เกรงว่าเผ่ากุร็อยช์ของเราต้องพินาศ ข้าก็จะไปเข้าร่วมศาสนาเดียวกับเขา นี่ท่านกำลังจะฆ่าคอลิดเพียงเพราะเขาเปลี่ยนความเชื่อ ในขณะที่คนเผ่ากุร็อยช์ได้ยกย่องให้เขาเป็นผู้นำในการรบ ข้าคิดว่า ไม่ทันจะพ้นฤดูนี้ ชาวมักกะฮ์ก็อาจจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาตามผู้นำคนนี้ก็ได้” ในคราวนั้นมีคนสำคัญในมักกะฮ์ เปลี่ยนมานับถือศาสนา อิสลามสามคน รวมทั้งผู้ที่ดูแล วิหารกะอ์บะฮ์(บ้านของพระเจ้า)ด้วย ส่งผลให้ชาวมักกะฮ์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามอีกหลายคน คนเหล่านี้ทำให้พลังของอิสลามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ในคาบสมุทรอารเบีย
ฉบับนี้ขอจบ ตรงจุดเปลี่ยนที่อิสลามมาสู่การเป็นศาสนาที่ส่งผลต่ออารเบียไปทั่ว หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานมาราว 15 ปีเต็ม นับจากการประกาศศาสนา
ขอพระเจ้าทรงนำทางอันเที่ยงตรง
Abu Abbus bin Humzah
ที่มา: เพจจดหมายถึงน้อง
ความชัดเจนว่าเป็นศาสนานั้น คือ โองการที่ 1-5 ของบทที่ 96 ของคัมภีร์อัลกุรอาน ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ท่านนบีท่องในครั้งแรก
อัลเลาะฮ์ (พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิยิ่ง)ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ดังนี้
" จงอ่าน ด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิดและพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงเกียรติยิ่ง ทรงสอนการใช้ปากกา ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้"
(อัลกุรอาน 96/1-5) เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็ได้โองการอีกพร้อมบัญญัติข้อห้ามข้อใช้ ตามที่กล่าวมา เป็นเวลา23 ปี ในขณะที่ท่านนบี มูฮัมหมัด ซ.ล. มีชีวิตอยู่