ผู้ที่ได้ละทิ้งละหมาดนั้น เขาก็ตกศาสนา และจะต้องถูกฆ่า หากเขาไม่กลับเนื้อกลับตัว
สำหรับปัญหาในประเด็นนี้ นักวิชาการได้มีความเห็นขัดแย้งกันตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยที่ท่านอิหม่ามอะหมัดได้กล่าวว่า
“ผู้ที่ได้ละทิ้งละหมาดนั้น เขาก็ตกศาสนา และจะต้องถูกฆ่า หากเขาไม่กลับเนื้อกลับตัว”
แต่ในทัศนะของ อะบูอะนีฟะฮ์ มาลิก และ ชาฟีอีย์ ยังไม่ตัดสินว่า ผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา แต่พวกเขาถือว่าผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นคนชั่วที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ และพวกเขายังมีความขัดแย้งกันในประเด็นอื่นอีกโดยที่ อิหม่ามมาลิก และ อิหม่ามชาฟีอีย์ ได้ให้ความเห็นว่า
“ผู้ที่ทิ้งละหมาดนั้นจะต้องถูกฆ่าในฐานะที่มีความผิด”
ส่วนอิหม่ามอบูอะนีฟะฮ์ มีความเห็นว่า ให้ขับไล่พวกเขา (หมายถึงผู้ที่ไม่ละหมาด) โดยไม่จำเป็นต้องฆ่า
เมื่อเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาที่ขัดแย้งกัน จำเป็นที่จะต้องนำปัญหานี้กลับสู่อัลกุรอาน และอัซซุนนะฮ์ ซึ่งเมื่อได้กลับไปดูอัลกุรอานและอัซซุนนะฮ์ จะพบว่าแท้จริงอัลกุรอานและอัซซุนนะฮ์ของท่านนะบี ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้น เป็นผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา
สำหรับหลักฐานในเรื่องนี้ จากอัลกุรอาน ดังคำตรัสของอัลลอฮ์ ความว่า “ หากพวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัว และพวกเขาได้ดำรงละหมาด และพวกเขาชำระซากาต ดังนั้นพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมศาสนากับพวกเจ้า”
และอีกอายะหนึ่งที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า“ภายหลังจากพวกเขา ชนรุ่นหนึ่งได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทำการละทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามอารมณ์ใคร่
ต่อมาพวกเขาได้ประสบกับความหายนะ เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธาและกระทำความดี ชนเหล่านั้นแหละจะได้เข้าสวรรค์
และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด”
(ซูเราะห์มัรยัม 59-60)
เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญอายะนี้ ก็จะเห็นว่าอัลลอฮ์ ทรงตรัสถึงกลุ่มชนที่จะมาทีหลัง โดยที่พวกเขาเป็นผู้ที่ละทิ้งละหมาด เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และจะต้องประสบกับความหายนะ นอกจากผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวได้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี จากอายะนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่ละหมาด คือ ผู้ปฏิเสธศรัทธา
และจากซูเราะห์อัตเตาบะฮ์ อัลลอฮ์ ทรงกำหนดเงื่อนไขเพื่อที่จะให้ความเป็นพี่น้องร่วมศาสนาระหว่างเราและพวกตั้งภาคีไว้ 3 เงื่อนไข คือ
1. พวกเขาจะต้องเลิกจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์
2. พวกเขาจะต้องดำรงการละหมาด
3. พวกเขาจะต้องชำระซากาต
ดังนั้น ถ้าพวกเขาละทิ้งการตั้งภาคี แต่ไม่ละหมาด ก็ไม่ถือว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมศาสนา เมื่อเราได้พิจารณาถึงอายะอัลกุรอานที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสไว้ถึงในกรณีที่ฆ่ากันตาย ความว่า
“แล้วผู้ใดที่สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา ถูกอภัยให้แก่เขาแล้วก็ให้ปฏิบัติตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี”
(ซูเราะห์อัลบากอเราะห์ อายะที่ 178 )
ความหมายอายะนี้ คือ ผู้ใดที่ฆ่าผู้อื่นตาย โดยที่มีคนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายได้ให้อภัยแก่เขา โดยไม่ปรารถนาให้ผู้ที่ฆ่าต้องรับโทษ คือ จะต้องถูกฆ่าให้ตายตามกันก็ให้ถือปฏิบัติตามนั้น ถึงแม้ว่าญาติคนอื่นจะไม่ยินยอมก็ตาม คำว่า “สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา” นั้นหมายถึงว่าได้มีการอภัยส่วนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายและใช้ถ้อยคำว่าพี่น้องของเขา ให้รู้สึกเป็นพี่น้องกันเพราะผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน
จากอายะนี้ทำให้รู้ว่า การทิ้งละหมาด ถือว่า เป็นการกระทำที่ร้ายแรงมากกว่าการฆ่าชีวิตของผู้อื่นเสียอีก โดยที่อิสลามยังถือว่าผู้ที่ฆ่ากันตายนั้นยังเป็นพี่น้องร่วมศาสนาอยู่ แต่ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เพราะเขาได้ละทิ้งละหน้าที่ของเขาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า จึงจำเป็นสำหรับผู้ที่ละทิ้งละหมาดจะต้องกลับเนื้อกลับตัวขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ เพื่อว่าเขาจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์ และจะได้เข้าสวนสวรรค์ของพระองค์
หลักฐานจากอัซซุนนะฮ์
ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า
“แท้จริงระหว่างคนคนหนึ่งกับการตั้งภาคี (ต่ออัลลอฮ์) และการปฏิเสธศรัทธา คือ การทิ้งละหมาด”
และอีกคำพูดหนึ่งที่ว่า “สัญญาหนึ่งที่จะมาแบ่งแยก ระหว่างเราและพวกเขา (หมายถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา) คือการละหมาด
ดังนั้นผู้ใดละทิ้งการละหมาด แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา”
(บันทึกโดย อะหมัด อบูดาวูด อัตตีรมีซีย์)
สำหรับคำว่า “ปฏิเสธ” ในหะดิษนี้นั้นหมายถึง การปฏิเสธที่ทำให้ตกศาสนา เนื่องจากท่านนะบีมุฮัมมัด ได้ทำให้การละหมาดมาเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธ และเป็นที่ทราบกันดีว่า แนวทางของการปฏิเสธไม่ใช่แนวทางของอิสลาม และผู้ใดที่ไม่รักษาสัญญานี้ (หมายถึงการละหมาด) เขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธา
ความสำคัญของการละหมาดในอิสลาม
1. บัญญัติอิสลามได้ให้ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
2. การละหมาดนั้นเปรียบเสมือนเสาหลักของศาสนาผู้ใดที่ไม่ละหมาด ก็เหมือนกับเขาได้ทำให้เสาหลักศาสนาล้มลง เท่ากับว่าเขาได้ทำลายศาสนาในตัวของเขาเอง
3. การละหมาดจะเป็นสิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ ดังฮะดิษของท่านนะบี ที่ว่า
“สิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ คือการละหมาด ดังนั้นหากว่าการทำละหมาดนั้นดี แน่นอนเขาจะได้รับความสำเร็จ
และได้รับความปลอกภัย และหากว่าการละหมาดให้เสีย (ไม่ถูกรับ) แน่นอนเขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุน”
4. การละหมาดนั้นเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่ท่านเราะซูล ได้สั่งเสียแก่ประชาชาติของท่านก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไป โดยที่ท่านกล่าวว่า
“การละหมาดและสิ่งที่มือขวาของพวกเจ้าได้ครอบครองอยู่ (หมายถึงทาสหญิง)”
จากหะดิษนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาดในขณะที่ท่านนะบี จะจากโลกนี้ไป คำสั่งเสียสุดท้ายของท่าคือ ให้รักษาการละหมาด
5. การละหมาดเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ์ อย่างเดียวที่มุสลิมจะต้องถือปฏิบัติไม่ว่าจะอยู่ในสหภาพใด ห้ามละทิ้งเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเดินทาง ซึ่งต่างกับอิบาดะฮ์อย่างอื่น ยกเว้นคน 3 ประเภทคือ คนบ้า เด็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์บังคับของศาสนา และคนนอนหลับจนกว่าเขาจะตื่น
โทษของผู้ที่ได้ละทิ้งศาสนาที่จะได้รับในโลกหน้า
1. มลาอิกะฮ์จะทำการลงโทษพวกเขาด้วยการตีที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขา
2. พวกเขาจะต้องไปอยู่ร่วมกันกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และผู้ตั้งภาคีในนรกและอื่นๆ อีกมากมายจากการลงโทษ
พี่น้องที่รักประตูแห่งการขออภัยโทษกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮ์ ยังคงเปิดอยู่เสมอ ขอให้พี่น้องได้มุ่งหน้าหาพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเสียใจต่อความผิดที่ผ่านมาในอดีต และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความผิดอีกต่อไป และทำการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ ให้มาก แน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงอภัยโทษให้กับพี่น้องในความผิดของพี่น้อง ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านนะบีมุฮัมมัด ตลอดจนเครือญาติ และบรรดาสาวกของท่านทั้งหมด
ข้อมูลบางส่วนได้แปลจากหนังสือของท่านเชคอุซัยมีน ชื่อว่า “ฮุกุมของผู้ทิ้งละหมาด”
โดย : อิสมาอีล บินกอเซ็ม