ท่านนบี (ซล) กล่าวว่า ในคืนที่ข้าพเจ้าถูกนำไปยังบัยตุ้ลมักดิสนั้น ข้าพเจ้านอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ที่บ้านของอุมมุฮานีที่มักกะฮ์
سُبْحَانَ الَّذِىْ أَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ اِلَى الْمَسْجِدِ اْلأَقْصَى
الَّذِىْ بَارَكْنَا حَوْلَهُ لِنُرَيَهُ مِنْ آيَاتِنَا اِنَّهُ هُوَ السَّمِيْعُ الْبَصِيْرُ
“มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ผู้ซึ่งให้บ่าวเดินทางในยามค่ำคืน จากมัสยิดอัล-หะรอมสู่มัสยิด
อัล-อักศอที่พระองค์ได้ให้ความจำเริญโดยรอบ เพื่อเราจะได้ให้เขาเห็นสัญญาณต่าง ๆ ของเราแท้จริง พระองค์ทรงได้ยิน พระองค์ทรงเห็น”
ท่านนบี (ซ.ล) กล่าวว่า ในคืนที่ข้าพเจ้าถูกนำไปยังบัยตุ้ลมักดิสนั้น ข้าพเจ้านอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ที่บ้านของอุมมุฮานีที่มักกะฮ์ ทั้งนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ละหมาดอีซาเรียบร้อยแล้ว ญิบรีลได้มาหาข้าพเจ้าพลางพูดว่า จงตื่นเถิดมูฮำหมัด ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ข้าพเจ้าได้พบว่า เขาคือญิบรีล
ญิบรีลบอกว่า ไปหาพระเจ้าของท่าน พระเจ้าของทุกๆ สิ่ง
ท่าน อิมามบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานเรื่องราวดังกล่าวจากท่านอะนัส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งมีเนื้อความว่า..
"ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ฉันได้เดินทางโดยบุร๊อก ซึ่งบุร๊อกมีลักษณะคล้ายม้ามากกว่าลาแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ายล่อ ซึ่งมันสามารถเดินเพียงก้าวเดียวก็ไปสุดลิบตา ฉันได้ขี่มันจนไปถึงบัยตุลมักดิส คือ มัสยิดอัลอักซอ ฉันได้เข้าไปในมัสยิดและทำการละหมาดสองรอกะอัต และฉันก็ออกมาจากมัสยิด ดังนั้นญิบรีลได้มาหาฉันโดยนำภาชนะที่มีเหล้า และก็อีกภาชนะหนึ่งเป็นน้ำนม และฉันก็เลือกดื่มน้ำนม ญิบรีลกล่าวว่า "ท่านได้เลือกความบริสุทธิ์ (ซึ่งชี้ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความบริสุทธิ์นั่นเอง)
ข้าพเจ้าได้ขึ้นขี่พร้อมกับญิบรีล ครู่หนึ่งถัดจากนั้น ญิบรีลได้ใช้ให้ข้าพเจ้าลงจากหลังของบุร๊อก แล้วให้ข้าพเจ้าทำละหมาด เมื่อเสร็จแล้วญิบรีลได้ถามข้าพเจ้าว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “ตีบะฮ์” และยังสถานที่แห่งนี้ท่านจะต้องฮิจเราะฮ์มา อินซาอัลลอฮ์
ข้าพเจ้าและญิบรีลได้ขึ้นขี่บุร๊อก อีกครู่หนึ่งก็หยุดอีก ญิบรีลสั่งให้ข้าพเจ้าลงละหมาด เมื่อข้าพเจ้าละหมาดเสร็จ ญิบรีลก็ถามข้าพเจ้าอีกว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “ตูริซีนา” อันเป็นสถานที่อัลลอฮ์ท่านพูดกับนะบีมูซา ข้าพเจ้าและญิบรีลได้ขึ้นขี่บุร๊อกอีก แล้วครู่หนึ่งก็ใช้ให้ข้าพเจ้าละหมาดอีก เมื่อข้าพเจ้าละหมาดเสร็จแล้ว ญิบรีลได้ถามข้าพเจ้าอีกว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน ? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “บัยตุ้ลละห์มิน” อันเป็นสถานที่ที่ท่านนะบีอีซาประสูติ
ในระหว่างทางข้าพเจ้าก็ได้เจอกับญินตนหนึ่งที่มีชื่อว่า " อัฟรีต " มันถือคบเพลิงอยู่ในมือ มันสะกดรอยตามข้าพเจ้าตลอด ทุกครั้งที่เราหันไปมองจะพบว่า มันจ้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อญิบรีลเห็นดังนั้น ท่านจึงได้สอนให้ข้าพเจ้าอ่านดุอาฮฺที่มีความว่า...
" ข้าขอความคุ้มครองด้วยพระพักตร์แห่งอัลเลาะฮ์อันทรงเกียรติยิ่ง และด้วยกับพระนามอันสมบูรณ์ยิ่ง ซึ้งไม่มีสิ่งใดที่เป็นความดีและความชั่วจะเลยผ่านไปได้ (รอดพ้น) จากความชั่วร้ายของสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้า และสิ่งที่ออกมาจากมัน และจากความชั่วร้ายของสิ่งที่อยู่ในพื้นดิน และสิ่งที่ออกมาจากมันและความสับสนวุ่นวาย จากความพินาศของกลางคืนและกลางวัน เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงให้มีมาด้วยความดีงาม โอ้ ผู้ทรงเมตตายิ่ง "
และทันทีที่ท่านนบีอ่านดุอาอฺบทนี้จบ คบเพลิงก็ดับวูบลง อัฟรีต ตนนั้นก็ล้มคว่ำลงตายทันที
หลังจากนั้นบุร๊อกได้นำเราไปถึงบัยตุ้ลมักดิส พอไปถึงที่นั้น มวลมะลาอีกะฮ์ทั้งหมดต่างลงมาจากฟากฟ้ายืนแถวแสดงความยินดีกับข้าพเจ้า อันเป็นการแสดงความยินดี และความเคารพจากพระเจ้า มวลมะลาอีกะฮ์ต่างกล่าวพร้อม ๆ กันว่า...
“ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน โอ้ผู้เป็นท่านแรก โอ้ท่านผู้เป็นท่านสุดท้าย โอ้ท่านผู้รวมซึ่งทุกสิ่ง”
ข้าพเจ้าได้ถามญิบรีลว่า พวกเขาแสดงความเคารพอะไรกับข้าพเจ้า? ญิบรีลตอบข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนแรกที่พื้นแผ่นดินคะนึงหา ท่านเป็นคนแรกที่ประชากรของท่านคะนึงหา ท่านเป็นคนแรกที่ให้ความช่วยเหลือ ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับความช่วยเหลือ และท่านคือศาสดาท่านสุดท้าย แล้วท่านได้ผ่านจุดต้อนรับจากมวลมะลาอีกะฮ์นั้นไปจนถึงประตูมัสยิด
ญิบรีลได้ให้ข้าพเจ้าลงจากหลังของบุร๊อก และนำบุร๊อกไปผูกไว้ที่มุมด้านหนึ่งของมัสยิด เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าประตูมัสยิด ข้าพเจ้าได้พบบรรดานะบีและบรรดาร่อซู้ลในอดีตทั้งหมด ซึ่งต่างแสดงความเคารพต่อข้าพเจ้า เหมือนกับที่มวลมะลาอีกะฮ์ให้สล่ามและแสดงความเคารพ
ชั้นฟ้าที่ 1 ท่านญิบรีลจึงขออนุญาตเพื่อให้เปิดประตูชั้นฟ้าชั้นแรก จึงเสียงกล่าวขึ้นว่า "ท่านเป็นใคร?" ญิบรีลตอบว่า "ฉันคือญิบรีล" และมีเสียงกล่าวขึ้นอีกว่า "ใครมาพร้อมกับท่านหรือ?" ญิบรีลตอบว่า "เขาคือมุฮัมมัด" และมีเสียงกล่าวอีกว่า "เขาถูกส่งมาที่นี้หรือ?" ญิบรีลตอบว่า "ใช่แล้ว เขาถูกส่งมาที่นี้" ดังนั้นท้องฟ้าชั้นแรกจึงถูกเปิดให้แก่เรา ทันใดนั้น ฉันจึงพบกับนบีอาดำ เขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน
จากนั้นญิบรีลได้นำฉันไปสู่ ท้องฟ้าชั้นที่ 2 และขอเปิดชั้นฟ้าที่ 2 จึงมีเสียพูดอย่างเดิมเหมือนกับชั้นฟ้าชั้นแรก แล้วท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่เรา ทันใดนั้นฉันจึงพบกับท่านนบียะห์ยาและนบีอีซา บุตร มัรยัม ซึ่งทั้งสองได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน
หลังจากนั้น ท่านญิบรีลจึงนำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้น 3 และขอเปิดท้องฟ้าชั้นที่ 3 และมีเสียงพูดอย่างเดิมเหมือนชั้นแรก และท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่ฉัน และฉันได้พบกับนบียูซุฟ เขาได้ให้การต้อนรับและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 4 ฉันจึงได้พบกับนบีอิดรีส ดังนั้นเขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์มัรยัมความว่า "เราได้ยกเขา (คือนบีอิดรีส) สู่ที่พำนักอันสูงส่ง" คือชั้นฟ้าชั้นที่ 4 นั่นเอง
หลังจากนั้นเราได้ขึ้นสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 5 ซึ่งเราได้พบกับนบีฮารูณ เขาได้กล่าวต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าที่ 6 ซึ่งฉันได้เจอกับนบีมูซา เขาได้ทำการต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราได้ขึ้นไปสู่ฟากฟ้าชั้นที่ 7 และได้พบกับนบีอิบรอฮีม นั่งพิงอยู่ ณ ที่บัยตุลมะอฺมูร ซึ่งจะมีมะลาอิกะฮ์เข้าไปทุกวันถึง 70,000 (เจ็ดหมื่น) ท่าน
หลังจากนั้น ญิบรีล นำฉันไปสู่ต้นพุทรา (ซิดร่อตุลมุนตะฮา) ซึ่งเป็นต้นไม้ในสรวงสวรรค์ ซึ่งใบของมันเหมือนใบหูของช้าง ผลขอมันเหมือนโอ่งดินเผา ซึ่งบางครั้งต้นซิดร่อตุลมุนตะฮา ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบ้าง สีเงินบ้าง ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะสามารถพรรณาถึงความงดงามของมันได้
ต่อจากนี้ไปญิบรีลได้ให้ข้าพเจ้านำหน้า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ญิบรีล ท่านจงนำข้าพเจ้าต่อไป ญิบรีลกล่าวว่า มูฮัมมัด ท่านจงนำฉัน เพราะแท้จริงท่านมีเกียรติมากกว่าฉัน ข้าพเจ้าจึงเดินนำญิบรีลไปจนไปถึงหิญาบที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งญิบรีลได้สั่นหิญาบนั้น แล้วได้มีเสียงถามออกมาว่า เป็นใคร? ญิบรีลตอบว่า ฉันมากับมูฮัมมัด ได้ยินเสียงมะลาอีกะฮ์ในหิญาบนั้นกล่าวว่า "อัลลอฮู่อักบัร" แล้วได้สอดมือมาใต้หิญาบนั้นเพื่ออุ้มข้าพเจ้าเข้าไปแต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าถามญิบรีลว่า ท่านอยู่ที่ไหน? ญิบรีลกล่าวว่า...
“โอ้มูฮัมมัด ฉันมาได้แค่ตรงนี้ ซึ่งนี่ก็เพราะเกียรติของท่านที่ฉันได้มาถึงตรงนี้”
มะลาอีกะฮ์ได้นำข้าพเจ้าไปถึงอีกหิญาบ หนึ่งซึ่งทำด้วยมุก มะลาอีกะฮ์ที่อยู่หลังหิญาบนั้นถามว่า ท่านเป็นใคร? ได้รับคำตอบจากมะลาอีกะฮ์ที่อุ้มข้าพเจ้าไปว่า “ข้าพเจ้าคือมะลาอีกะฮ์ส่วนหน้า และนี่คือ มูฮัมมัด ศาสนทูตซึ่งเป็นชาวอาหรับ” แล้วเสียง "อัลลอฮู่อักบัร" จากมะลาอีกะฮ์ส่วนในก็ดังขึ้น แล้วได้สอดมือมาใต้หิญาบเพื่ออุ้มข้าพเจ้าเข้าไปในหิญาบ แล้วหิญาบอีกหลายต่อหลายหิญาบ ซึ่งแต่ละหิญาบ มีระยะห่างกันถึงระยะทางเดินห้าร้อยปี จนข้าพเจ้าเห็นอะรัชซึ่งใหญ่โตกว่าสิ่งใดๆ ที่เคยเห็นมา
พระองค์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าทราบถึงประวัติของบรรดานะบีในอดีต แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวแสดงความคารวะด้วยการกล่าว
اَلتَّحِيَّاتُ الْمُبَارَكَاتُ الصَّلَوَاتُ الطَّيِّبَاتُ لِلّهِ
อัลลอฮ์ท่านได้กล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْكَ اَيُّهَا النَّبِىُّ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ
ข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ
แล้วพระองค์ก็ได้เรียกข้าพเจ้าว่า...
" โอ้มูฮัมมัด ข้าฯ รับเจ้าเป็นที่รักของข้าฯ ดังที่ข้าฯ รับอิบรอฮีมเป็นคอลีลของข้าฯ และข้าฯ ได้พูดกับเจ้าดังที่ข้าฯ เคยพูดกับมูซา และข้าฯ ขอบอกแก่เจ้าว่า ข้าฯ ได้ทำให้ประชากรของเจ้าเป็นประชากรที่ดีที่สุดในมวลประชากรที่เคยมี ข้าฯ ให้พวกเขาเป็นประชากรที่มีลักษณะอันเป็นมัชฌิมา พวกเขาคือเบื้องแรกและเบื้องสุดท้าย เจ้าจงเอาสิ่งที่ข้าฯ บอกไปเผยแพร่ และเจ้าจงเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่มีสำนึกในบุญคุณ "
หลังจากนั้น พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้ารู้ในอีกบางอย่าง ซึ่งไม่เป็นที่อนุญาตให้ข้าพเจ้าบอกกับท่านทั้งหลาย และสุดท้ายได้บัญชาให้ข้าพเจ้าและประชากรของข้าพเจ้ากระทำละหมาดวันละห้าสิบ เวลา
หลังจากช่วงต่างๆ นี้ผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็หายไป คงเหลือข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว “มาซาอัลลอฮ์” ในทันใดนั้น ก็มีเสียงกังวานขึ้นว่า “จงกลับไปยังประชากรของเจ้า จงนำเรื่องที่เป็นบัญชาจากข้าฯ ไปแจ้งแก่พวกเขา”
ในเส้นทางกลับ เมื่อข้าพเจ้าถูกนำมาส่งที่ซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา ข้าพเจ้าได้พบกับญิบรีลทั้งทางตาและทางใจ ซึ่งเห็นเขายืนอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ญิบรีลได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าพเจ้าในเกียรติอันสูงสุด ซึ่งไม่มีมัคลู๊กใดเคยได้รับมาก่อน ญิบรีลได้ใช้ให้ข้าพเจ้าทำการขอบคุณต่อพระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งรักบรรดาผู้ที่มีสำนึกในบุญคุณ ข้าพเจ้าจึงขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้รับจากพระองค์
หลังจากนั้น ญิบรีล อะลัยฮิสลาม ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า จงไปต่อโอ้มูฮัมมัด ไปดูสวรรค์ ซึ่งไม่ว่าข้าพเจ้าเห็นอะไร ญิบรีลจะอธิบายบอกให้ข้าพเจ้ารู้ถึงรายละเอียดของสิ่งนั้นๆ ทุกอย่าง หลังจากนั้น ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้นำพาข้าพเจ้าไปดูนรก ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างทุกแดนในขุมนรก และก็เช่นกัน ญิบรีลได้บรรยายให้ข้าพเจ้ารับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น
ในอุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์นั้น ท่านนะบี ได้พบเห็นเหตุการณ์มากมายพอจะสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้คือ..
พวกที่ต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
พวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องของการละหมาด
พวกที่หมกมุ่นอยู่ในทางเพศที่หะรอม
พวกที่กินดอกเบี้ย
พวกที่กินทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้าด้วยความอธรรม
พวกที่ไม่บริจาคซะกาต
พวกที่ชอบนินทาใส่ร้ายผู้อื่น
พวกที่ชอบพูดในสิ่งที่เขาไม่กระทำ
สำหรับ เหตุการณ์ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ เราจะขอเน้นหนักในเรื่องของพวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องการละหมาด โดยมีรายงานแจ้งว่า ท่านนะบี ได้ผ่านกลุ่มชนหนึ่งซึ่งศีรษะของพวกเขาถูกทุบให้แตกด้วยก้อนหิน ทุกครั้งที่ศีรษะแตกมันก็จะกลับมีสภาพเช่นเดิมอีก และก็เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านนะบี จึงกล่าวถามว่า? โอ้ญิบรีล พวกเหล่านี้เป็นใครกัน?? ญิบรีลกล่าวว่า? พวกเหล่านี้คือ ผู้ที่ศีรษะของเขาหนักในเรื่องเกี่ยวกับละหมาดฟัรฎู" หมายถึงเมื่อได้ยินอะซานแล้วไม่ยอมลุกขึ้นไปละหมาด
แล้วได้นำพาข้าพเจ้าลงมาในฟ้าชั้นที่เจ็ด และลงมาตามลำดับ จนถึงฟ้าชั้นที่นะบีมูซาพำนักอยู่ ซึ่งมูซาได้ถามข้าพเจ้าว่า พระเป็นเจ้าได้บัญชาอะไรแก่ประชากรของท่านบ้าง? ข้าพเจ้าตอบว่า... " ละหมาดวันละห้าสิบครั้ง "
มูซากล่าวว่า... ประชากรของท่านทำกันไม่ไหวหรอก ฉันได้เคยถูกบัญชาเช่นนี้แก่ชาวบะนีอิสรออีล ซึ่งเป็นประชากรของฉันมาแล้ว ซึ่งพบว่า พวกเขาทำกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันได้พยายามอย่างที่สุด ดังนั้น ท่านจงกลับไปขอลดหย่อนจากพระเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจึงกลับไปยังพระเป็นเจ้าเพื่อขอลดหย่อน ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ลดหย่อนมาให้สิบละหมาด เมื่อข้าพเจ้ามาพบมูซา มูซาก็กล่าวเช่นที่เคยกล่าว แล้วให้ข้าพเจ้าขึ้นไปขอลดหย่อนอีก ไปๆ มาๆ ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างมูซากับพระเป็นเจ้า จนสุดท้ายพระเป็นเจ้ามีบัญชาขั้นเด็ดขาดให้กระทำเพียงห้าละหมาด เมื่อมาพบมูซา มูซาก็ขอให้ข้าพเจ้าขึ้นไปขอลดหย่อนอีก โดยกล่าวว่า ฉันได้พยายามให้บะนีอิสรออีล ซึ่งคือประชากรของฉันกระทำ ปรากฏว่า พวกเขาทำกันไม่ได้ ข้าพเจ้าตอบกลับมูซาไปว่า..
"ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันจนกระทั่งละอายต่อพระองค์เสียแล้ว"
อัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงตรัสกับนบีมุฮัมมัดว่า...
"โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ละหมาดนั้นมี 5 เวลา ในทุกหนึ่งวันและหนึ่งคืน และทุกหนึ่งเวลาเท่ากับ 10 เวลาละหมาด ดังกล่าวนั้นจึงเท่ากับ 50 เวลา และผู้ใดที่ตั้งใจกระทำ 1 ความดี แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน ก็ย่อมถูกบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความดี และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน ก็ไม่ถูกบันทึกบาปใดๆ แก่เขา และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว และได้กระทำมันลงไป ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา 1 ความชั่วเท่านั้น"
เมื่อข้าพเจ้าลาจากมูซาลงมา ข้าพเจ้าก็ได้เดินทางกลับโดยมีญิบรีลอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ามาถึงที่พำนักเดิมที่มักกะฮ์ ญิบรีลก็จากข้าพเจ้าไป
ทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นในคืนวันนั้น... ค่ำคืนอิสรออ์-เมี๊ยะรอจ
วัลลอฮุอะลัม-
แหล่งที่มา : Al - Ameen