ทำไมอิสลามห้ามเคาท์ดาวน์ งานเคาท์ดาวน์ มุสลิมต้องร่วมต้าน มันเป็นงานที่ทำให้เราห่างสวรรค์ มุสลิมต้องช่วย ตักเตือนกันเคาท์ดาวน์ ไม่ใช่ วันของเรา
ทำไมอิสลามห้ามเคาท์ดาวน์
งานเคาท์ดาวน์ มุสลิมต้องร่วมต้าน มันเป็นงานที่ทำให้เราห่างสวรรค์ มุสลิมต้องช่วย ตักเตือนกันเคาท์ดาวน์ ไม่ใช่ วันของเรา
กิจกรรมหนึ่งของคนต่างศาสนิก ในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คือ การนับถ่อยหลัง หรือเคาท์ดาวน์ (Countdown) คือ การนับตัวเลขถอยหลัง ในหลักวินาที วัน หรือหน่วยเวลาอื่นเพื่อนับถอยหลังสู่วันปีใหม่
โดยมีวิธีการนับหลักวินาทีถอยหลังจนถึงศูนย์เมื่อเวลาศูนย์นาฬิกาของวันที่ 1 มกราคม (เที่ยงคืน) ซึ่งถือเป็นการขึ้นวันปีใหม่ตามอย่างสากล ผู้คนที่ร่วมเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่นั้นต่างก็รู้เพียงว่านั่นคือ วันที่ 1 ของปีใหม่ที่ควรจะยินดีและต้อนรับด้วยการเฉลิมฉลอง
และมีมุสลิมไม่น้อยที่เข้าร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ ร่วมเฉลิมฉลองสนุกสนานเฮฮากับเขา โดยไม่ทราบที่มาที่ไปของวันดังกล่าว และเป็นที่ต้องห้ามตามบทบัญญัติศาสนาหรือไม?
แท้ที่จริงการเฉลิมฉลองตอนรับวันปีใหม่ การเคาท์ดาวน์นั้น ไม่มีปรากฏให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลาม และวันอีดสำหรับมุสลิมนั้นปีหนึ่งมีเพียง 2 อีดเท่านั้น คือ อิดิ้ลฟิฏริ และอีดิ้ลอัฎฮา หากรวมวันศุกร์ด้วยก็เป็น 3 อีด การเข้าร่วมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ ถือเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของชนกลุ่มอื่น ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามในหลักการอิสลาม
รายงานจากท่านอิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ
“บุคคลใดประพฤติตนเลียนแบบกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้น”
(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4031 ดู เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺอัลบานียฺ : 2831 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ : 8593)
ที่น่าเศร้าใจไปกว่านี้ คือ การจัดเฉลิมฉลองวันปีใหม่ มันมีที่มาที่ไปทางประวัติศาสตร์ เป็นการตีหน้าชาวมุสลิม ในการเฉลิมฉลองของอาณาจักรคริสเตียนสเปนที่ประกาศชัยชนะต่อฝ่ายมุสลิม
ซึ่งในปี คศ.1491 อาณาจักรฆอรนาเฏาะฮฺ (Granada) ดินแดนอัลอันดะลุส (Andalucia) ในสเปน ฝ่ายมุสลิมต้องยอมแพ้ และยอมทำข้อตกลงกับฝ่ายคริสเตียนในการส่งมอบเมืองเป็นจำนวนถึง 67 เมือง การลงนามในสนธิสัญญาระหว่างสองฝ่ายเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ร่อบีอุลเอาวัล ฮ.ศ.897 ตรงกับวันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1492 เป็นการปิดฉากลงพร้อมกับชัยชนะของฝ่ายคริสเตียนที่ขับเคี่ยวต่อสู้กับชาวมุสลิมหรือ พวกมัวร์มาตลอดระยะเวลาร่วม 800 ปี
ความจริงชาวมุสลิมได้สูญเสียฆอรนาเฏาะฮฺมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมของปีนั้น (1492) แล้ว เพียงแต่การสูญเสียอย่างเป็นทางการนั้นเกิดขึ้นในวันถัดมา คือ วันที่ 2 มกราคม 1492
และ เพียง 7 ปีให้หลัง (คศ.1499) เงื่อนไขอันเป็นข้อตกลงในสนธิสัญญาส่งมอบเมืองนั้นก็ถูกละเมิดอย่างไม่แยแส จากฝ่ายคริสเตียน บรรดามัสญิดถูกสั่งปิด การประกอบพิธีกรรมถูกสั่งห้าม การตั้งศาลพิเศษเพื่อตรวจสอบชาวมุสลิมที่ตกค้างอยู่ในฆอรนาเฏาะฮฺโดยฝ่าย ศาสนจักรก็มีขึ้น มุสลิมถูกบังคับให้เข้ารีตในคริสต์ศาสนา ตำรับตำราทางวิชาการถูกเผาทำลายไม่เว้นแม้แต่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน มีการสั่งห้ามชาวมุสลิมพูดภาษาอาหรับและห้ามอาบน้ำ นี้คือ สาเหตุที่พวกฝรั่งตะวันตกได้ถือเอาวันที่ 1 มกราคมเป็นวันเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามครูเสดที่มีต่อพวกนอกศาสนาอันหมายถึง ชาวมุสลิมโดยรวม ซึ่งช่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลาก่อนหน้านั้นราว 1 สัปดาห์ ที่พวกเขาเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมต่อเนื่องจนถึงวันที่ 1 มกราคม
และในช่วงคริสต์มาสอีฟ ทำไม ฝรั่งจึงมีธรรมเนียมกินไก่งวง ในทุกปีทำเนียบขาวจะจัดประเพณีการกินไก่งวงเพื่อขอบคุณพระเจ้า มีการปล่อยไก่งวงผู้โชคดีให้เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก ชะรอยไก่งวงที่ว่านี้ก็มีสัญลักษณ์แอบแฝงอยู่ พวกฝรั่งเรียกไก่งวงว่า เทอคิ (Turkey) ซึ่งหมายถึง ไก่แขกตุรกีและตุรกีในชั้นหลังก็หมายถึง พวกมุสลิมที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกับพวกฝรั่งชาวคริสเตียนในการทำสงครามศาสนา (ครูเสด) การฆ่าไก่งวงเพื่อรับประทาน เป็นอาหารในช่วงคริสต์มาสอีฟก็คือสัญลักษณ์ในการพิฆาตพวกเติร์กหรือพวกคน ต่างศาสนาที่หมายถึง "มุสลิม " นั่นเอง
นี้คือที่มาของการจัดเฉลิมฉลองของวันปีใหม่ ของชาวคริสต์เตียน เราชาวมุสลิมยังจะเสนอหน้าไปร่วมเฉลิมฉลองกับพวกเขาอีกหรือ? มันถือเป็นการสูญเสียจิตวิญญาณของชาวมุสลิมและความเป็นอัตลักษณ์ของตน และมันน่าช่างอัปยศและความปราชัยของมุสลิมอย่างที่สุด
والله أعلم بالصواب