หลังจากที่ท่านนบีมูฮำหมัด (ซล) ได้เสียชีวิตลง ตอนนั้นมุสลิมได้แบ่งออก
หลังจากที่ท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล.) ได้เสียชีวิตลง ตอนนั้นมุสลิมได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มมูฮาญีรีน และกลุ่มอันศอรฺ ทั้งสองกลุ่มได้มีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมจะเป็นคอลีฟะฮฺสืบทอดจากท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล.)
หัวหน้าเผ่าค้อซร๊อจคนหนึ่งลุกขึ้นและกล่าวว่า ? ท่านพี่น้องชาวอันศอรฺโปรดฟังข้าพเจ้าก่อน ถ้าเราได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อความเจริญของอิสลามแล้ว แท้จริงเราได้ทำเพียงเพื่อเป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺ ( ซ.บ.) และรอซูลของพระองค์ เรามิได้กระทำเพื่อเป็นการภักดีต่อคนอื่น ดังนั้นเราก็ไม่สมควรที่จะให้มีการต้องแก่งแย่งหน้าที่กัน โปรดรำลึกให้ดีว่า ท่านรอซูลนั้นมีเชื้อสายเป็นชาวกุเรซโดยตรง เชื้อสายกุเรซจึงย่อมมีสิทธิ์มีความเหมาะสมดีกว่าพวกเรา
คำปราศรัยของท่านผู้นี้ส่งผลให้ชาวอันศอรสงบเงียบ และเห็นพ้องกันว่าพวก มูฮาญีรีนควรจะได้เป็นคอลีฟะฮฺ ท่านอบูบักรฺจึงพูดขึ้นว่า สหายทุกคน ท่านอุมัรและท่านอบูอุบัยดะฮฺคู่ควรกับตำแหน่งคอลีฟะฮฺ ฉะนั้นขอให้ท่านเลือกคนใดคนหนึ่งจากสองคนนี้
ปรากฏว่าทั้งอุมัร และ อบูอุบัยดะฮฺ อุทานขึ้นอย่างตกใจว่า ? อะไรกันท่านอัสศิดดีก ! ทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้ จะมีใครที่ไหนกล้ามารับตำแหน่งอันใหญ่หลวง ในเมื่อมีท่านเป็นหลักประกันอยู่ทั้งคน ท่านเป็นยอดบุรุษของชาวมูฮาญีรีน เป็นเพื่อนสนิทของท่านรอซูล(ซ.ล.) ทั้งในยามทุกข์และยามสุข เคยทำหน้าที่เป็นผู้นำในการละหมาด การละหมาดเป็นหลักสำคัญประการแรกของอิสลาม ฉะนั้นท่านจงยื่นมือออกเถิด เพื่อพวกเราจะได้กล่าวคำสัตยาบันแสดงความจงรักภักดีต่อท่านสืบต่อไป ?
หลังจากนั้นอบูบักรฺก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น คอลีฟะฮฺคนแรกสืบทอดจากท่านนบี(ซ.ล.) ถ้าเราย้อนดูประวัติของท่านอบูบักร เราจะพบว่าท่านเป็นชายคนแรกที่เข้ารับศาสนาอิสลาม ท่านมีอายุน้อยกว่าท่านรอซูล(ซ.ล.)สองปี ท่านมีเชื้อสายมาจากชาวกุเรซ เป็นคนในตระกูลชั้นสูง เขาเป็นคนแรกที่เลื่อมใสในการเผยแผร่ศาสนาของท่านนบี
ในขณะที่อบูบักรเป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านต้องผจญกับปัญหาหลายอย่าง เช่นการเกิดขึ้นของศาสดาเถื่อนทั่วภาคพื้นอาระเบีย การถอนตัวออกจากอิสลามของชนเผ่าต่างๆ ในอาระเบีย และการที่คนส่วนมากปฏิเสธอย่างแข็งขันไม่ยอมจ่ายซะกาต แต่งานชิ้นแรกของท่านอบูบักร์ก็คือการทำความประสงค์ของท่านศาสดาที่มีอยู่ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตให้สำเร็จผล ท่านจึงได้ส่งอุซามะฮ์(Usamah) ให้เป็นแม่ทัพนำทัพไปตีซีเรีย ภายในเวลาสองสัปดาห์เท่านั้นอุซามะฮ์ก็กลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ
อบูบักรฺมีคุณสมบัติแห่งความเป็นผู้นำที่แท้จริง ท่านเป็นผู้นำที่ดี มีคุณธรรมและถือสัจธรรมเป็นที่ตั้ง ท่านมีความกระตือรือร้น มีความขยันหมั่นเพียร มีความขันติธรรมเป็นเลิศ และเป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ท่านยังเป็นผู้มองการณ์ไกลและสามารถเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงสองปีที่ท่านดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ ท่านประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูอิสลามให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ท่านได้สร้างอาณาจักรอิสลามให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น มะดีนะฮฺกลายเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรอิสลามที่มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมุสลิม
ท่านอบูบักรฺได้สร้างผลงานมากมาย อาทิเช่น
1. สามารถปราบปรามกบฏผู้ทรยศต่อรัฐอิสลามและปราบปรามศาสดาปลอมที่เกิดขึ้นหลังจากท่านนบีมูฮำหมัดได้สวรรคต
2. ท่านสามารถสร้างสรรค์ความสงบสันติและความเป็นพี่น้องภายใต้เอกภาพแห่งรัฐอิสลามให้บังเกิดขึ้น
3. ท่านได้สั่งให้มีการรวบรวมและบันทึกโองการต่างๆของอัลกุรอานที่กระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆให้มาอยู่ในที่เดียวกัน โดยทำเป็นมุสฮัฟ ( ทำกุรอานเป็นเล่ม ) ได้อย่างสมบูรณ์
4. ท่านเป็นผู้นำในการประกอบพิธีฮัจญ์ ใน ฮ.ศ ที่ 9 ซึ่งเป็นฮัจญ์ครั้งแรก เรียกฮัจญ์ครั้งนี้ว่า ฮัจญ์ อักบัร
5.ท่านเป็นผู้นำละหมาดที่มัสยิด อันนะบะวีย์ แทนท่านนบีมูฮำหมัด
6.ท่านได้ส่งกองทหารของอุซามะฮ์ไปรบกับพวกโรมันที่ซีเรีย ภายใน 3 สัปดาห์ กองทหารของอุซามะฮฺก็กลับมาพร้อมกับชัยชนะที่มีต่อชาวโรมัน
ท่านอบูบักร์เสียชีวิตในปีอิจญเราะฮฺที่ 13 ขณะที่ท่านอายุ 63 ปี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ ในระยะเวลา 2 ปี กับ 10 คืน ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้แต่งตั้งท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺต่อไป