มัสยิดที่มีสถาปัตย์กรรมงดงามแปลกตาเป็นอันดับที่ 8 คือ มัสยิด อัล-อักศอ ในเมืองอัลกุดส์ เยรูซาเล็ม จากหนังสือพิมพ์รายวัน The Telegraph ของอังกฤษ
มัสยิดที่มีสถาปัตย์กรรมงดงามแปลกตาเป็นอันดับที่ 8 คือ มัสยิดอัล-อักศอ ในเมืองอัลกุดส์ เยรูซาเล็ม จากหนังสือพิมพ์รายวัน The Telegraph ของอังกฤษ
อัลกุดส์ (มัสยิดอัลอักซอ) ชื่อภาษาอาหรับที่ใช้เรียกบริเวณเมืองเยรูซาเล็ม ตรงที่เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “บัยตุ้ลมักดิส” หรือ “บัยตุ้ลมุก็อดดัส” อัลกุดส์ มีความสำคัญสำหรับมุสลิมก็เพราะเป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอ มัสยิดที่นบีสุไลมานสร้างขึ้นและถูกใช้เป็นกิบลัต (ทิศที่มุสลิมหันหน้าไปเวลาละหมาด) แห่งแรกมาจนกระทั่งสมัยของท่านนบีมุฮำมัด ก่อนที่จะมีบัญชาจากอัลลอฮให้เปลี่ยนมาเป็นกะอบะฮแทน นอกจากนี้แล้วมัสยิดอัลอักซอยังเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามอันเนื่องมาจากการที่มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ท่านนบีมุฮำมัด ได้ละหมาดก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องสูงในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “อิสรออและเมี๊ยะรอจญ์”
เมื่ออัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมครั้งแรกในสมัยคอลีฟะห์อุมัร ประมาณปี ค.ศ. 638 คอลีฟะห์อุมัรได้ดำเนินนโยบายเปิดให้อัลกุดส์เป็นแผ่นดินสำหรับผู้ศรัทธาในพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือมุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยกำหนดให้ชาวคริสเตียนต้องจ่ายภาษียิซยะห์แก่รัฐบาลกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับความคุ้มครองปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและเสรีภาพในการนับถือศาสนา อัลกุดส์อยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมมาเป็นเวลานานนับร้อยปี จึงได้ถูกพวกคริสเตียนเข้ามายึดครองในสมัยสงครามครูเสด อัลกุดส์ยึดกลับคืนมาเป็นของมุสลิมอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ.1187 โดย ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบี แม่ทัพมุสลิมนามอุโฆษที่โลกตะวันตกรู้จักดีกันในนาม “ซาลาดิน” ซอลาฮุดดีนดำเนินนโยบายการปกครองอัลกุดส์เช่นเดียวกับคอลีฟะห์อุมัร แต่หลังจากนั้นประมาณ 50 ปี อัลกุดส์ก็ตกเป็นของฝ่ายคริสเตียนอีกและหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายมุสลิมก็สามารถยึดคืนกลับมาได้ในสมัยของราชวงศ์มัมลู้ก แห่งอียิปต์
หลัง ค.ศ. 1516 อัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักอุสมานียะห์ หรือ ออตโตมานเติร์ก นับเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อยุโรปมีความเจริญเข้มแข็งขึ้นในขณะที่อาณาจักรอุสมานียะห์เสื่อมอำนาจลงในปี ค.ศ.1881 ชาวยิวจากทั่วโลกก็เริ่มอพยพกันเข้าไปในอัลกุดส์มากขึ้นด้วยคำอ้างตามความเชื่อว่าแผ่นดินตรงนี้คือแผ่นดินที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้แก่พวกตน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อัลกุดส์ตกเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินปาเลสไตน์ใต้อาณัติของอังกฤษและพวกยิวได้รับโอกาสให้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้มากขึ้นจนเกิดการต่อต้านจากชาวอาหรับที่อาศัยอยู่เดิมตลอดมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกา อังกฤษและรัสเซีย ได้สมยอมกันให้ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งผนวกเอาอัลกุดส์เข้าไว้ในอิสราเอลด้วย และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการชาตินิยมชาวยิว หรือ ขบวนการไซออนิสต์ก็พยายามหาหนทางที่จะสถาปนาอัลกุดส์หรือเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลโดยสมบูรณ์
หลัง ค.ศ. 1516 อัลกุดส์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักอุสมานียะห์ หรือ ออตโตมานเติร์ก นับเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อยุโรปมีความเจริญเข้มแข็งขึ้นในขณะที่อาณาจักรอุสมานียะห์เสื่อมอำนาจลงในปี ค.ศ.1881 ชาวยิวจากทั่วโลกก็เริ่มอพยพกันเข้าไปในอัลกุดส์มากขึ้นด้วยคำอ้างตามความเชื่อว่าแผ่นดินตรงนี้คือแผ่นดินที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้แก่พวกตน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อัลกุดส์ตกเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินปาเลสไตน์ใต้อาณัติของอังกฤษและพวกยิวได้รับโอกาสให้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้มากขึ้นจนเกิดการต่อต้านจากชาวอาหรับที่อาศัยอยู่เดิมตลอดมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1948 สหรัฐอเมริกา อังกฤษและรัสเซีย ได้สมยอมกันให้ชาวยิวตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งผนวกเอาอัลกุดส์เข้าไว้ในอิสราเอลด้วย และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการชาตินิยมชาวยิว หรือ ขบวนการไซออนิสต์ก็พยายามหาหนทางที่จะสถาปนาอัลกุดส์หรือเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลโดยสมบูรณ์
ที่มา: http://news.muslimthaipost.com/news/24719
http://www.school.net.th/
ภาพ: จากอินเทอร์เน็ต