เรื่องราวของ ฟาตีมะฮฺ บินติอับดุลมาลิก เจ้าหญิงที่แลกวังอันหรูหรากับอาคิเราะฮฺอันจีรัง
ฟาตีมะฮฺ บินติอับดุลมาลิก เจ้าหญิงที่แลกวังอันหรูหรากับอาคิเราะฮฺอันจีรัง
ฟาตีมะฮฺ บินติอับดุลมาลิก เป็นบุตรสาวของคอลีฟะฮฺอับดุลมาลิก อิบนุมัรวาน คอลีฟะฮฺผู้เรืองอำนาจแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺ เมื่อคอลีฟะฮฺอับดุลมาลิกเสียชีวิต คอลีฟะฮฺวาลิดและสุไลมานพี่ชายของฟาตีมะฮฺก็ขึ้นมาครองอำนาจต่อ
ฟาตีมะฮฺจึงนับได้ว่า เป็นน้องสาวของคอลีฟะฮฺถึง 2 คน จนเมื่ออุมัร อิบนุอับดุลอะซีซสามีของนางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งคอลีฟะฮฺ ท่านหญิงฟาตีมะฮฺจึงกลายเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของรัฐอิสลาม
แต่การเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของรัฐอิสลามอันแผ่ไพศาล กลับเปลี่ยนชีวิตของเธอจากวังเจ้าหญิงไปสู่ชีวิตที่ยากแค้นกว่าชาวบ้านธรรมดาสามัญเสียอีก ! อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้น ?เพราะอำนาจอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมภารกิจอันใหญ่ยิ่ง
ชีวิตของฟาตีมะฮฺ บินติอับดุลมาลิก สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เพราะปู่ของเธอคือ มัรวาน อิบนุอัลฮากัมก็เป็นคอลีฟะฮฺเช่นกัน เธอถูกเลี้ยงฟูมฟักมาดั่งเจ้าหญิงมีชีวิตแสนสุขสบายอยู่ในวังของปู่ พ่อ และพี่ชาย
เช่นเดียวกับสามีของเธอ อุมัร อิบนุอับดุลอะซีซ พ่อของเขาคือข้าหลวงปกครองอียิปต์ ส่วนตัวเขาเองก็เคยได้รับมอบหมายให้เป็นข้าหลวงปกครองหิญาซ (มักกะฮฺ มาดีนะฮฺ ฏออีฟ) อุมัรเป็นคนประณีตในเรื่องการแต่งกาย การใช้ชีวิตของเขาก็หรูหราสมฐานะลูกหลานของคอลีฟะฮฺ แต่เมื่ออุมัร อิบนุอับดุลอะซีซก้าวขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺ ชีวิตของเขาและฟาตีมะฮฺก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
การดำรงตำแหน่งผู้ปกครองรัฐที่มีอำนาจล้นฟ้านั้น สำหรับใครหลายคน อาจจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะอำนาจที่มีนั้น ย่อมทำให้ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่คอลีฟะฮฺอุมัรกลับเลือกที่จะถอยออกห่างจากความสุขสบาย เพื่อที่ตัวเองจะไม่ลุ่มหลงมัวเมาไปกับอำนาจ
คอลีฟะฮฺอุมัร อิบนุอับดุลอะซีซมองว่าการบำรุงสุขของประชาชนในรัฐ ย่อมมาก่อนการบำรุงสุขแก่ครอบครัวคอลีฟะฮฺ เขาจึงจัดวางให้สารทุกข์สุขดิบของประชาชนในรัฐ มาก่อนความสบายของตัวเอง
และรวมไปถึงมาก่อนความสบายของภรรยาของตัวเขาเองด้วยและเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺผู้เสพความสบายมาตลอดชีวิต ก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำตามประสงค์ของสามี
โดยฟาตีมะฮฺเริ่มจากการสละทรัพย์สมบัติ เครื่องประดับส่วนตัวให้กับบัยตุ้ลมาล หันมาใช้ชีวิตแบบธรรมดาสามัญ ละทิ้งจากการรับประทานอาหารฟุ่มเฟือยรศเลิศ แล้วหันมากินอาหารแบบชาวบ้านร้านตลาด ถั่วซึ่งเป็นอาหารพื้น ๆ ของชาวอาหรับจึงกลายเป็นเมนูประจำวันของครอบครัวคอลีฟะฮฺ ท่านหญิงฟาตีมะฮฺใช้ถั่วในการปรุงอาหารบ่อยจนกระทั่งคนในครอบครัวต่างเกิดอาการเบื่อถั่วไปตาม ๆ กันจนกระทั่งวันหนึ่งคนรับใช้ได้มาบ่นกับแม่บ้านว่าเขาเบื่อหน่ายที่จะกินอาหารที่ปรุงด้วยถั่วเต็มที แม่บ้านตอบคำบ่นนั้นอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า เจ้านายของเธอ คอลีฟะฮฺของเธอ ก็กินอาหารแบบเดียวกันกับที่พวกเธอกินนี่แหล่ะ คำตอบนี้ของแม่บ้านก็ทำให้คนรับใช้เลิกที่จะบ่นเรื่องนี้อีกต่อไป
ก่อนที่อุมัร อิบนุอับดุลอะซีซจะขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮฺ เขาใช้จ่ายเงินปีละ 40,000 ดิรฮัม แต่เมื่อเขากลายเป็นผู้นำรัฐแล้ว กลับดำรงชีวิตด้วยเงินเพียงปีละ 400 ดิรฮัมเท่านั้น !และการดำรงชีวิตตลอดทั้งปีด้วยเงินอันน้อยนิดนี้ จึงกลายเป็นหน้าที่ของภรรยาที่จะดูแลการใช้จ่ายในครอบครัวให้พอเพียง แต่เธอก็ไมได้มองเป็นความยากลำบากอันใด กลับถือเป็นหน้าที่ที่เธอเต็มใจที่จะแบกรับเพราะในฐานะภรรยาของคอลีฟะฮฺ หน้าที่ของเธอไม่ได้มีเพียงแค่ดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวของตัวเองเท่านั้น !
ครั้งหนึ่งหญิงชาวอิรักได้เดินทางมายังบ้านของท่านหญิงฟาตีมะฮฺ เพื่อขอเงินสงเคราะห์สำหรับบุตรสาวกำพร้าของเธอ สิ่งที่หญิงชาวอิรักเห็นก็คือ ภาพท่านหญิงฟาตีมะฮฺกำลังปิ้งขนมปังอยู่ในบ้านที่มีสภาพซอมซ่อ หญิงชาวอิรักนั่งลงใกล้ ๆ ท่านหญิงฟาตีมะฮฺ ก่อนจะกล่าวด้วยความรู้สึกผิดว่า นี่ฉันกำลังจะมาขอเงินสงเคราะห์จากบ้านที่มีสภาพการเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ที่สุดกระนั้นหรือ
“การดูแลครอบครัวของท่าน เป็นหน้าที่ของเรา” ท่านหญิงฟาตีมะฮฺภรรยาของคอลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมตอบคำถามที่หญิงชาวอิรักกังวลสงสัย หลังจากนั้นเธอก็ได้ไต่ถามถึงสภาพปัญหาของบุตรสาวกำพร้าของหญิงชาวอิรัก แล้วจึงแจ้งปัญหาดังกล่าวไปยังคอลีฟะฮฺอุมัร อิบนุอับดุลอะซีซ เพื่อให้ดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
ในช่วงที่คอลีฟะฮฺอุมัร อิบนุอับดุลอะซีซ ป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต มุสลิมะฮฺ อิบนุอับดุลมาลิก พี่ชายของท่านหญิงฟาตีมะฮฺได้มาเยี่ยมเยียนสอบถามอาการป่วยไข้ของน้องเขยตัวเอง เมื่อเห็นชุดที่คอลีฟะฮฺใส่อยู่ เขาจึงเอ่ยปากให้ท่านหญิงฟาตีมะฮฺเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดอื่นให้ แต่คำตอบจากปากน้องสาวของท่านก็ทำให้มุสลิมะฮฺถึงกลับตกใจ เพราะนางตอบว่านั่นคือชุดเพียงชุดเดียวที่คอลีฟะฮฺผู้เกริกไกรมี !
หลังจากคอลีฟะฮฺอุมัร อิบนุอับดุลอะซีซเสียชิวิตไปแล้ว ท่านหญิงฟาตีมะฮฺก็ยังยืนยันที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ถึงแม้ว่าสถานะของเธอจะมิใช่สตรีหมายเลขหนึ่งของรัฐอีกต่อไป ท่านหญิงฟาตีมะฮฺเป็นสตรีที่เปี่ยมไปด้วยความยำเกรง เธอมักจะแบ่งเวลาไปเยี่ยมเยียนสุสานที่ซีเรียอยู่บ่อยครั้ง และสุดท้ายเมื่อเธอเสียชีวิต ร่างของเธอก็ถูกฝังอยู่ที่นั่น ถึงแม้นับตั้งแต่สามีของท่านหญิงฟาตีมะฮฺก้าวขึ้นเป็นคอลีฟะฮฺจะนำมาซึ่งสภาพชีวิตการเป็นอยู่ที่ยากลำบากสำหรับเธอมากเพียงใด เธอก็มิเคยปริปากบ่น แต่กลับจะมีความสุขกับช่วงชีวิตที่ที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางปราสาทราชวังและอาหารหรูเลิศรสโอชา
เพราะสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเจ้าหญิงของเธอ กลับถูกทดแทนด้วยสิ่งที่มีค่ามากกว่า เหลือคณานับ !“ฉันไม่เคยลืมที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามี เพราะเขาทำให้ฉันนึกถึงอาคิเราะฮฺ จนกระทั่งฉันไม่รู้สึกว่าขาดอะไรเลย” ท่านหญิงฟาตีมะฮฺกล่าวอย่างมีความสุขถึงช่วงชีวิตที่ขาดแคลนความสะดวกสบาย แต่เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการระลึกถึงอาคีเราะฮฺ
ขอบคุณบทความดีๆ จากวารสารโรตีมะตะบะ