การเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้อื่นโดยที่ไม่มีข้อคลุมเครืออันใด จากสถานที่เฉพาะ ด้วยกับปริมาณที่เฉพาะ และโดยวิธีการแบบลับ
การลักขโมย หมายถึง การเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้อื่นโดยที่ไม่มีข้อคลุมเครืออันใด จากสถานที่เฉพาะ ด้วยกับปริมาณที่เฉพาะ และโดยวิธีการแบบลับ
บทบัญญัติว่าด้วยการลักขโมย
- การลักขโมยเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) และเป็นหนึ่งในการกระทำที่เป็นบาปใหญ่
- ศาสนาอิสลามสั่งใช้ให้ดูแลและรักษาทรัพย์สินและห้ามมิให้เป็นปฏิปักษ์กัน ดังนั้นอิสลามจึงได้ห้ามการลักขโมย บังคับข่มขู่ ปล้นสดมภ์ แย่งชิง เพราะว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ
วิทยปัญญาในการบัญญัติโทษของการลักขโมย
อัลลอฮฺทรงคุ้มครองและรักษาทรัพย์สมบัติของปวงมนุษย์โดยการบัญญัติให้ตัดมือผู้ที่ลักขโมย เพราะแท้จริงมือที่ทรยศเปรียบเสมือนอวัยวะที่เป็นโรค ซึ่งจำเป็นจะต้องตัดทิ้งเพื่อให้อวัยวะส่วนอื่นที่เหลือในร่างกายปลอดภัย และในการตัดมือเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ที่คิดจะลักขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น และเป็นการซักฟอกผู้ที่ลักขโมยจากบาป และยังเป็นรากฐานอันสำคัญยิ่งที่นำไปสู่ความปลอดภัยและความสันติสุขขึ้นในสังคมและเป็นการปกปักษ์รักษาทรัพย์สมบัติของมวลประชาชาติ
จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:
ความว่า: “ผู้ทำซินา (ผิดประเวณี) จะไม่ทำซินาขณะที่ทำซินาในสภาพที่เป็นมุมิน เขาจะไม่ดื่มสุราขณะที่ดื่มในสภาพที่เป็นมุมิน เขาจะไม่ขโมยขณะที่ขโมยในสภาพที่เป็นมุมิน และเขาจะไม่ปล้นชิงทรัพย์สินผู้อื่นโดยที่ผู้คนยืนมองเขาในขณะที่เขาปล้นชิงในสภาพที่เป็นมุมิน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6772 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 57)
โทษของการลักขโมย
- อัลลอฮฺตะอะลากล่าวว่า
ความว่า “ขโมยผู้ชายและขโมยผู้หญิงจงตัดมือของเขาทั้งสองคนเพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างในการลงโทษจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพทรงปรีชาญาณ แล้วผู้ใดสารภาพผิดหลังจากการอธรรมของเขาและได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ” (อัล-มาอิดะฮฺ / 38 - 39)
- ความหมาย จากอบีฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า: “อัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้ลักขโมย หากเขาขโมยไข่หนึ่งฟองดังนั้นเขาจะถูกตัดมือ และหากเขาขโมยเชือกหนึ่งเส้นเขาจะถูกตัดมือ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6799 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1687)
เงื่อนไขในการตัดมือของผู้ลักขโมย
บทลงโทษของการลักขโมยจำเป็นต้องตัดมือเมื่อมีเงื่อนไขครบดังต่อไปนี้
- ผู้ลักขโมยจะต้องบรรลุศาสนภาวะ สมัครใจ เป็นมุสลิม หรือเป็นชาวซิมมียฺ
- จะต้องเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของผู้ที่ถูกลักขโมย ดังนั้นจึงไม่มีการตัดมือในกรณีสิ่งที่ถูกขโมยเป็นของละเล่นหรือสุราอย่างนี้เป็นต้น
- ทรัพย์สินของที่ถูกผู้ลักขโมยจะต้องครบพิกัดตามที่ศาสนากำหนด หากเป็นทองคำต้องมีน้ำหนัก ¼ ดีนารขึ้นไป หรือทรัพย์สินก็ต้องมีมูลค่าของมัน ¼ ดีนารขึ้นไป
- การเอาทรัพย์สินนั้นไปโดยวิธีการแบบลับ หากไม่ใช่กรณีเช่นนั้นก็ไม่ต้องตัดมือ เช่น การกรรโชกทรัพย์ การข่มขู่บังคับ และการปล้นสะดม ฯลฯ ในกรณีนี้ให้ใช้วิธีตักเตือนลงโทษ
- ขโมยทรัพย์สินจากที่ๆ เจ้าของเก็บรักษาไว้อย่างมิดชิด
การเก็บรักษา (อัล-หัรซฺ) หมายถึง การเก็บรักษาทรัพย์สินเอาไว้ด้วยกับวิธีการที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ การเก็บรักษาเงินทองโดยการจัดเก็บไว้ในบ้าน ธนาคาร ร้านค้าสหกรณ์ และสำหรับแพะจัดให้อยู่ในคอกหรือฟาร์ม ลักษณะนี้เป็นต้น
- ปราศจากข้อคลุมเครือจากผู้ขโมย ดังนั้นจึงไม่ตัดมือของผู้ขโมยในกรณีที่เขาขโมยทรัพย์ของพ่อหรือบรรพบุรุษที่สูงขึ้นไป ผู้ที่ขโมยทรัพย์ของลูกหรือผู้สืบสันดานลงมา และไม่ตัดมือกรณีขโมยทรัพย์กันนระหว่างสามีกับภรรยา และทำนองเดียวกันการขโมยเนื่องจากความอดอยากหิวโหย
- ผู้ที่ถูกขโมยเรียกร้องทรัพย์สินของเขาคืน
- มีหลักฐานยืนยันถึงการลักขโมย ด้วยกับประการหนึ่งประการใดจากสองประการต่อไปนี้
8.1 การรับสารภาพว่าเป็นผู้ขโมยด้วยตัวเขาเองสองครั้ง
8.2 มีพยานผู้ชายที่มีความเที่ยงธรรมสองคนมายืนยันว่าเขาเป็นผู้ขโมย
สิ่งที่จะตามมาหลังจากมีหลักฐานยืนยันถึงการลักขโมย
สิ่งที่จะตามมาหลังจากมีหลักฐานยืนยันถึงการลักขโมย ดังต่อไปนี้
- สำหรับผู้ขโมยมีสองภาระที่ค้างอยู่กับเขา สิทธิเฉพาะ (หักกุน คอศ) คือ ต้องคืนสิ่งของที่ขโมยให้แก่เจ้าของหากสิ่งนั้นยังคงอยู่ หรือให้ทดแทนเหมือนสิ่งเดิม หรือไม่ก็ให้จ่ายตามราคาของที่ขโมยหากสิ่งนั้นเสียหายชำรุด และสิทธิทั่วไป (หักกุน อาม) คือ สิทธิของอัลลอฮฺจำเป็นต้องตัดมือหากมีเงื่อนไขครบสมบูรณ์ หรือไม่ก็ให้ตักเตือนในกรณีที่ไม่ครบเงื่อนไข
- เมื่อจำเป็นต้องตัดมือให้ตัดข้างขวาจากข้อต่อของฝ่ามือแล้วให้ห้ามเลือด เช่น การจุ่มมือลงในน้ำมันที่กำลังเดือด หรือด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่สามารถห้ามเลือดได้ และจำเป็นแก่เขาต้องคืนทรัพย์สินที่เอาไปหรือให้จ่ายทดแทนแก่เจ้าของทรัพย์ และเป็นที่ต้องห้ามในการจะขอผ่อนปรนบทลงโทษของการลักขโมยหลังจากเรื่องไปถึงผู้ปกครอง (หากิม)
- หากผู้ขโมยกลับไปขโมยอีกให้ตัดเท้าข้างซ้ายจากตรงกลางของหลังเท้า และหากกลับไปขโมยอีกให้กักขังและตักเตือนจนกว่าเขาจะเตาบะฮฺ (กลับเนื้อกลับตัว) และไม่ต้องตัดอีก
ให้ตัดมืออัฏ-ฏ็อรรอรฺ (นักล้วงกระเป๋า) นั่นคือ ผู้ที่ล้วงสิ่งของจากกระเป๋าหรือที่อื่นแล้วเอาทรัพย์สินไปอย่างลับๆ หากว่าทรัพย์สินที่เอาไปถึงพิกัดตามที่ศาสนากำหนด เพราะแท้จริงเขาเป็นผู้ขโมยเอาทรัพย์สินที่เจ้าของเก็บรักษาไว้
ปริมาณพิกัดในการลักขโมยที่ศาสนากำหนด
หากเป็นทองคำต้องมีน้ำหนัก ¼ ดีนารขึ้นไป หรือทรัพย์สินก็ต้องมีมูลค่าเท่ากับทองคำน้ำหนัก ¼ ดีนารขึ้นไป
จากอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า: “กำหนดให้มีโทษตัดมือเมื่อเขาขโมย ¼ ดีนารขึ้นไป” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 6789 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1684)
บทบัญญัติว่าด้วยการลงโทษถือเป็นโมฆะด้วยกับสิ่งคลุมเครือ
เมื่อผู้ขโมยรับสารภาพว่าเป็นคนขโมยแต่ไม่มีหลักฐาน ดังนั้นเป็นที่บัญญัติแก่ผู้พิพากษาให้ผู้นั้นกลับคำสารภาพ แต่หากเขายังยืนกรานว่าเป็นคนขโมยและไม่กลับคำก็ให้ตัดมือ และในกรณีที่ผู้ขโมยยอมรับว่าขโมย และหลังจากนั้นได้ปฏิเสธ เช่นนี้มิให้ตัดมือ เพราะว่าบทการลงโทษจะเป็นโมฆะด้วยกับสิ่งที่คลุมเครือ
บทบัญญัติว่าด้วยการขโมยทรัพย์สินจากบัยตุลมาล (กองคลังมุสลิม)
ผู้ที่ขโมยทรัพย์สินจากบัยตุลมาล ให้ตักเตือนและปรับเป็นเงินตามที่เขาเอาไปโดยไม่ต้องตัดมือ เพราะว่าเขาก็มีส่วนแบ่งจากตรงนั้นอยู่เช่นกัน ในทำนองเดียวกันผู้ที่ขโมยทรัพย์สินที่ได้จากเชลยศึก (อัล-เฆอะนีมะฮฺ) และหนึ่งในห้าส่วนของทรัพย์เชลย (อัล-คุมุส)
บทบัญญัติว่าด้วยการไม่ยอมจ่ายของที่ยืมคืน (โกงหนี้)
จำเป็นต้องตัดมือผู้ที่ไม่ยอมคืนทรัพย์สินที่ยืมมา เพราะเข้าข่ายได้ชื่อว่าเป็นการขโมย
จากอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า
ความว่า: มีผู้หญิงจากเผ่าอัลมัคซูมิยฺยะฮฺคนหนึ่งได้ยืมทรัพย์สินไปและนางปฏิเสธที่จะคืนให้แก่เจ้าของ ดังนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม จึงสั่งให้ตัดมือของนาง...” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1688)
บทบัญญัติว่าด้วยทรัพย์สินที่ถูกขโมย
ส่วนหนึ่งจากการเตาบะฮฺที่สมบูรณ์ของผู้ขโมยคือการที่เขาต้องรับประกันของที่สูญเสียไปแก่เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกขโมย หากเขามีความสะดวกก็ให้จ่ายคืนแก่เจ้าของ หากมีความยากลำบากให้พิจารณาดูถึงแนวทางที่สะดวกง่ายดาย และหากในกรณีที่สิ่งของถูกขโมยยังคงอยู่ก็ให้คืนไปให้แก่เจ้าของ ซึ่งถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การเตาบะฮฺ (สารภาพผิด) ถูกต้องสมบูรณ์
บทบัญญัติว่าด้วยการสารภาพผิดก่อนที่เรื่องจะไปถึงผู้ปกครอง (หากิม)
ผู้ที่จำเป็นต้องรับโทษจากการลักขโมย ผิดประเวณี หรือดื่มสุรา ที่ได้สารภาพผิดก่อนที่จะมีการตรวจสอบอย่างแน่ชัด การลงโทษนั้นถือว่าตกไป และไม่เป็นที่บัญญัติให้เขาเปิดเผยความลับของตนเองหลังจากที่อัลลอฮฺทรงปกปิดมัน แต่ทว่าจำเป็นที่เขาต้องคืนทรัพย์สินที่ขโมยมาให้แก่เจ้าของ
- สาวมุสลิมปลื้มดาราชาย ถึงขั้นส่งรูปให้ดู บาปไหม?
- การอาบน้ำละหมาดตามนบี สตรีไม่ต้องถอดผ้าคลุม – ลูบบนถุงเท้า
- กรณีนิกะห์ของผู้ทำซีนาต้องเตาบะฮ์กลับตัวก่อนหรือไม่?
- อิสลามดูหนังโป๊ หนังลามกจกกระเปรด บาปไหม?
- เงินอั่งเปาและแต๊ะเอีย วันตรุษจีน มุสลิมรับได้หรือไม่?
- เมื่อผู้หญิงไม่อยากมี เพศสัมพันธ์กับสามี ต้องทำอย่างไร?
ที่มา: islamhouse.com