นิกะห์ของผู้ทำซีนาต้องเตาบะฮ์กลับตัวก่อนหรือไม่?
กรณีนิกะห์ของผู้ทำซีนาต้องเตาบะฮ์กลับตัวก่อนหรือไม่?
โองการจากอัล-กุรฺอานเกี่ยวกับเรื่องผู้ทำซินา
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงดำรัสในซูเราะฮ์อัน-นูรฺ อายะฮ์ที่ 3 ว่า
اَلزَّانِىْ لاَ يَنْكِحُ إِلاَّ زَانِيَةً أَوْ مُشْرِكَةً وَالزَّانِيَةُ لاَ يَنْكِحُهَا إِلاَّ زَانٍ أَوْ مُشْرِكٌ وَحُرِّمَ ذَلِكَ عَلَى الْمُؤْمِنِيْنَ
“ชายซินานั้นจะไม่นิกะห์กับใครนอกจากกับหญิงซินาหรือหญิงมุชริก และหญิงซินานั้นจะไม่มีใครนิกะห์กับนางนอกจากชายซินาหรือชายมุชริก และสิ่งนั้น ฃเป็นสิ่งต้องห้ามต่อบรรดาผู้ศรัทธา”
อธิบาย : ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “นิกะห์” ในทั้งสองตำแหน่งของโองการนี้ กับคำกล่าวตอนท้ายที่ว่า “สิ่งนั้น” ให้ดีก่อน
ปกติ คำว่า “นิกะห์” ในอัล-กุรฺอานจะมีความหมายหลายนัย คือ
ก. หมายถึง “การทำพิธีนิกะห์” อย่างเช่นในอายะฮ์ที่ 221 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์
ข. หมายถึง “การร่วมเพศ” อย่างเช่นในอายะฮ์ที่ 230 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์
ค. หมายถึง “การเสนอตัวให้” อย่างเช่นในอายะฮ์ที่ 50 ซูเราะฮ์อัล-อะห์ซาบ และ
ง. หมายถึง “การบรรลุวัยฝันเปียกหรือวัยสมรส” อย่างเช่นในอายะฮ์ที่ 6 ซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น บรรดานักวิชาการจึงมีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “นิกะห์” และคำว่า “สิ่งนั้น” จากโองการข้างต้นเป็น 2 ทัศนะใหญ่ๆ คือ
ทัศนะที่ 1 คำว่า “นิกะห์” ในโองการนี้หมายถึง “การร่วมเพศ” และคำว่า “สิ่งนั้น” ในโองการนี้ หมายถึงการซินาหรือผิดประเวณี
ตามทัศนะนี้ โองการข้างต้นจึงมีความหมายว่า “ชายที่ซินานั้นจะไม่ร่วมเพศนอกจากกับหญิงซินาหรือหญิงมุชริก และหญิงซินานั้นจะไม่มีใครมีร่วมเพศกับนางนอกจากชายซินาหรือชายมุชริก และสิ่งนั้น (คือการซินาหรือผิดประเวณี) เป็นสิ่งต้องห้ามต่อบรรดาผู้ศรัทธา”
ท่านอิบนุ้ลก็อยยิม อัล-ญูซียะฮ์ (สิ้นชีวิตปีฮ.ศ. 751) ได้กล่าวในหนังสือ “ซาดุ้ลมะอาด” เล่มที่ 4 หน้า 9 ว่า ทัศนะนี้คือทัศนะที่อ่อนด้อย
แต่ท่านอิบนุญะรีรฺ อัฏ-ฏ็อบรีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 210) ได้กล่าวในหนังสือตัฟซีรฺ “ญามิอุ้ลบะยาน” เล่มที่ 18 หน้า 75 ว่า ทัศนะนี้เป็นทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุด
ไม่ว่าคำอธิบายดังข้างต้นนี้จะอ่อนด้อยหรือมีน้ำหนัก แค่ถ้าหากยึดถือตามคำอธิบายดังข้างต้น โองการบทนี้ก็เป็นเพียงหลักฐาน “ห้ามร่วมเพศ” กับผู้ทำซินา, แต่มิใช่เป็นหลักฐาน “ห้ามนิกะห์” กับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ซินา
หรืออีกนัยหนึ่ง การทำพิธีนิกะห์ (عَقْدُ النِّكَاحِ ) กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่ซินาจะทำได้หรือไม่ ? ไม่มีการกล่าวถึงในโองการบทนี้แต่ประการใด
นักวิชาการบางท่านที่ยึดถือตามทัศนะนี้ ได้อ้างหะดีษบางบทมาสนับสนุนแนวคิดนี้ เช่นหะดีษซึ่งอ้างรายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ว่า
سُئِلَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ رَجُلٍ زَنَا بِامْرَأَةٍ، فَأَرَادَ أَنْ يَتَزَوَّجَهَا أَوِابْنَتَهَا، فَقَالَ : لاَ يُحَرِّمُ الْحَراَمُ الْحَلاَلَ
“ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมถูกถามเรื่องผู้ชายคนหนึ่งซินากับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเขาต้องการที่จะนิกาห์กับนางหรือกับบุตรสาวของนาง, ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงตอบว่า “สิ่งหะรอม(คือซินา)จะห้าม(คือขัดขวาง)สิ่งหะล้าล(คือการนิกาห์)ไม่ได้หรอก”
(บันทึกโดยท่านอัด-ดารุกุฏนีย์ในหนังสือ “อัส-สุนัน” ของท่าน เล่มที่ 3 หน้า268 และท่านอื่นๆ)
ความหมายหะดีษบทนี้คือ ผู้ชายที่ซินากับผู้หญิงคนใด เขายังสามารถนิกะห์กับหญิงที่เป็นคู่ซินาของเขาก็ได้, หรือจะนิกะห์กับลูกสาวของนางก็ยังได้
แต่หะดีษบทนี้เป็นหะดีษเฎาะอีฟ(อ่อนหลักฐานหรือขาดความน่าเชื่อถือ) เพราะในสายรายงานของมันมีชื่อ
ก. อับดุลลอฮ์ บินชะบีบ
ข. อุษมาน บินอับดุรฺเราะห์มาน อัซ-ซุฮ์รี่ย์
ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้รายงานที่ขาดความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
(ดูหนังสือ “มีซานอัล-เอี๊ยะอฺติดาล” ของท่านอัษ-ษะฮะบีย์ เล่มที่ 2 หน้า 438 หมายเลข 4376, และเล่มที่ 3 หน้า 43 หมายเลข 5531, และหนังสือ “ตักรีบอัต-ตะฮ์ซีบ” เล่มที่ 2 หน้า 11 หมายเลข 87)
หะดีษบทนี้จึงเป็นหะดีษเฎาะอีฟมากจนนำมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้
จะอย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่ 3 จาก 4 มัษฮับได้ยึดถือความหมายอัล-กุรฺอานจากอายะฮ์ข้างต้นตามทัศนะนี้ และถือว่าการนิกะห์กับคนที่ทำซินาเป็นที่อนุญาต เพียงแต่ยังมีความขัดแย้งในเงื่อนไขบางประการเท่านั้น ดังต่อไปนี้
ก. ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ มีทัศนะว่าอนุญาตให้นิกะห์กับผู้ที่ทำซินาได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ คือไม่ว่ากับคู่ซินาด้วยกันหรือกับผู้อื่น, ไม่จำเป็นต้องเตาบะฮ์, ไม่จำเป็นต้องมีอิดดะฮ์ก่อนนิกะห์ ไม่ว่านางจะตั้งครรภ์หรือไม่ และอนุญาตให้สามีของนางร่วมหลับนอนกับนางได้ทันที แม้นางจะกำลังตั้งครรภ์จากการซินาก็ตาม
ข. ท่านอบูหะนีฟะฮ์ก็มีทัศนะเช่นเดียวกับท่านอิหม่ามชาฟิอีย์ทุกประการ ยกเว้นในด้านการมีเพศสัมพันธ์หลังจากนิกะห์แล้ว ท่านอิหม่ามอบูหะนีฟะฮ์มีทัศนะว่า ถ้าสตรีที่ซินานั้นตั้งครรภ์ ก็ห้ามสามีของนางร่วมหลับนอนกับนางจนกว่านางจะคลอดบุตรเสียก่อน
ค. ส่วนท่านอิหม่ามมาลิก มีทัศนะว่าการนิกาห์กับสตรีที่ทำซินาสามารถทำได้ แม้นางจะยังไม่ได้เตาบะฮ์ก็ตาม แต่มีเงื่อนไขว่าให้นิกาห์หลังจากนางหมดอิดดะฮ์ คือมีเม็นส์ครบ 3 ครั้งหรือคลอดบุตรเสียก่อน
สรุปแล้วทั้ง 3 มัษฮับข้างต้นไม่มีเงื่อนไขให้ผู้ทำซินาต้องเตาบะฮ์ หรือการลุกะโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าก่อนการนิกะห์เอาไว้เลย
ทัศนะที่ 2 คำว่านิกะห์ในโองการนี้ หมายถึง การทำพิธีนิกะห์
ตาทัมศนะนี้ โองการข้างต้นจึงมีความหมายว่า “ชายซินานั้นจะไม่ทำพิธีนิกาห์นอกจากกับหญิงซินาหรือกับหญิงมุชริก และหญิงซินานั้น จะไม่มีใครนิกาห์กับนางนอกชายซินาหรือชายมุชริก และสิ่งนั้น (การนิกาห์กับชายซินาหรือหญิงซินา) เป็นสิ่งต้องห้ามต่อบรรดาผู้ศรัทธา
นี่คือทัศนะของท่านอิหม่ามอะห์มัด อิบนุหัมบัล
ตามทัศนะนี้ การนิกาห์กับผู้ที่ทำซินา - ไม่ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง - จึงเป็นเรื่องต้องห้ามและจะกระทำมิได้
แต่หากผู้ใดที่ต้องการจะนิกะห์กับคนทำซินา ท่านอิหม่ามอะห์มัด ได้วางเงื่อนไขไว้ 2 ประการคือ
1. เขาหรือนางจะต้องเตาบะฮ์ก่อนการนิกะห์ เพราะเมื่อเขาหรือนางเตาบะฮ์ถูกต้องตามหลักเตาบะฮ์แล้ว ถือว่าเขาได้หลุดพ้นจากสภาวะ “การเป็นผู้ทำซินา” ที่ “ห้ามนิกะห์” จากโองการข้างต้นและเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว จึงสามารถนิกาห์กับใครก็ได้ ไม่ว่ากับคู่ซินาของนางหรือกับผู้อื่น
2. สตรีที่ทำซินาจะต้อง “หมดอิดดะฮ์” เสียก่อน จึงจะนิกะห์ได้
(แต่อีกรายงานหนึ่งจากท่านอิหม่ามอะห์มัดคือ นางจะต้อง “อิสติบรออ์”เสียก่อน จึงจะนิกาห์ได้ ซึ่งความแตกต่างระหว่าง “อิดดะฮ์” กับ “อิสติบรออ์” ผมจะอธิบายในตอนต่อไป) ...
เมื่อเราได้พิจารณาดูทัศนะที่ขัดแย้งกันของอิหม่ามทั้งสี่ท่านข้างต้นในเรื่องนี้ รวมทั้งนำเอาหลักฐานและข้อมูลอื่นๆมาพิจารณาร่วมแล้ว ขอเรียนว่า
ในมุมมองส่วนตัวของผม เห็นด้วยกับทัศนะของท่านอิหม่ามอะห์มัดในแง่ที่ว่า ผู้ที่ทำซินา จะนิกาห์กับใครเลยไม่ได้ นอกจากจะต้องเตาบะฮ์เสียก่อน
แต่ทว่า ผมเห็นแย้งกับท่านอิหม่ามอะห์มัด (แต่สอดคล้องกับท่านอิหม่ามชาฟิอีย์และท่านอิหม่ามอบูหะนีฟะฮ์) ในแง่ที่ว่า การนิกาห์กับสตรีที่ทำซินา (หลังจากเตาบะฮ์แล้ว) สามารถกระทำได้ โดยไม่จำเป็นให้นางต้องมีอิดดะฮ์ก่อนนิกาห์ ไม่ว่านางจะตั้งครรภ์หรือไม่ก็ตาม
ทั้งนี้ เพราะเรื่อง “อิดดะฮ์” ของสตรีที่ทำซินา เป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยัน นอกจากความเข้าใจจากหลักฐานกว้างๆบางบท ดังที่จะได้อธิบายต่อไป
ส่วนการมีเพศสัมพันธ์หลังนิกะห์ (หากนางตั้งครรภ์) ถือเป็นอีกกรณีหนึ่งซึ่งต้องแยกแยะระหว่างผู้ที่นิกาห์กับนางว่า เป็นผู้ชายอื่นหรือเป็นคู่ซินาของนาง ดังจะได้อธิบายในตอนหลังเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ เพราะ “การนิกะห์” กับ “การมีเพศสัมพันธ์” แม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันในทางทฤษฎี แต่ในแง่หลักฐานถือเป็นคนละกรณีกัน จะนำมารวมกันไม่ได้ ดังหลักฐานที่จะถึงต่อไป
หลักฐานจากหะดีษเรื่อง การนิกะห์กับผู้ทำซินาเป็นเรื่องต้องห้าม
ก. ท่านอัมร์ บินชุอัยบ์, ได้รายงานจากบิดาของท่าน, จากปู่ของท่าน (ซึ่งสำนวนในที่นี้เป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอบูดาวูด) ว่า
أَنَّ مَرْثَدَ بْنَ أَبِىْ مَرْثَدٍ الْغَنَوِيَّ كَانَ يَحْمِلُ اْلأُسَارَي بِمَكَّةَ، وَكَانَ بِمَكَّةَ بَغِىٌّ يُقَالُ لَهَا عَنَاقُ، وَكَانَتْ صَدِيْقَتَهُ، قَالَ : جِئْتُ النَّبِىَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُلْتُ : أَنْكِحُ عَنَاقَ ؟ قَالَ : فَسَكَتَ عَنِّىْ، فَنَزَلَتْ (وَالزَّانِيَةُ لاَ يَنْكِحُهَا إلاَّ زَانٍ أَوْ مُشْرِكٌ) فَدَعَانِىْ، فَقَرَأَهَا عَلَىَّ وَقَالَ : لاَ تَنْكِحْهَا!
“ท่านมัรฺษัด บินอบีย์มัรฺษัด อัล-ฆอนะวีย์ เป็นผู้ควบคุมเชลยชาวมักกะฮ์ และที่นครมักกะฮ์ ก็มีโสเภณีนางหนึ่งชื่ออะนากซึ่งเคยเป็นคู่ขาของเขามาก่อน(คือก่อนรับอิสลาม) ท่านมัรฺษัดกล่าวว่า : ฉันจึงไปหาท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ฉันจะนิกาห์กับอะนากได้ไหม ? ท่านนบีย์ได้นิ่งจากคำถามของเขา แล้วโองการที่ว่า ...
“สตรีที่ซินานั้น จะไม่มีผู้ใดนิกาห์กับนางนอกจากชายที่ซินา(เหมือนกัน)หรือชายมุชริกเท่านั้น” ก็ถูกประทานลงมา
ท่านนบีย์จึงเรียกฉัน (มัรษัด) แล้วอ่านโองการนี้แก่ฉัน และกล่าวว่า .. “ท่านอย่านิกาห์กับนางเลย”
(บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 2051, ท่านอัน-นซาอีย์ หะดีษที่ 3228, ท่านอัต-ติรฺมีซีย์ หะดีษที่ 3177 และท่านอื่นๆด้วยสายรายงานซึ่งท่านอัล-อัลบานีย์ได้กล่าวในหนังสือ
“เศาะเหี๊ยะฮ์อบูดาวูด เล่มที่ 2 หน้า 386 ว่า حَسَنٌ صَحِيْحٌ คือสวยงาม, ถูกต้อง)
ข. ท่านอับดุลลอฮ์ บินอัมร์ ร.ฎ. ได้รายงานมาว่า
أَنَّ رَجُلاً مِنَ الْمُسْلِمِيْنَ إسْتَأْذَنَ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِىْ (تَزَوُّجِ) امْرَأَةٍ يُقَالُ لَهَا : أُمُّ مَهْزُوْلٍ، كَانَتْ تُسَافِحُ، وَتَشْتَرِطُ لَهُ أَنْ تُنْفِقَ عَلَيْهِ، فَاسَتَأْذَنَ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْ ذَكَرَ لَهُ أَمْرَهَا، فَقَالَ : فَقَرَأَ عَلَيْهِ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ
وَسَلَّمَ (اَلزَّانِىْ لاَ يَنْكِحُ إِلاَّ زَانِيَةً أَوْ مُشْرِكَةً وَالزَّانِيَةُ لاَ يَنْكِحُهَا إِلاَّ زَانٍ أَوْ مُشْرِكٌ)
“ผู้ชายมุสลิมคนหนึ่งได้ขออนุญาตต่อท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเพื่อนิกาห์กับสตรีนางหนึ่งชื่ออุมมุมะฮ์ซูล โดยที่นางเป็นหญิงรักสนุก(ชอบผิดประเวณี)และนางกำหนดเงื่อนไขแก่เขาว่า (หากเขายอมนิกาห์กับนาง) นางจะจ่ายเงินให้เขาด้วย (ท่านอับดุลลอฮ์กล่าวต่อไปว่า) ดังนั้นเขา (ผู้ชายคนนั้น) จึงขออนุญาตต่อท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมหรือเล่าเรื่องของนางให้ท่านฟัง ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงอ่านโองการที่ว่า
“ชายซินานั้นจะไม่นิกาห์นอกจากกับหญิงซินาหรือกับหญิงมุชริก และหญิงซินานั้น จะไม่มีใครนิกาห์กับนางนอกชายซินาหรือชายมุชริก” ให้เขาฟัง
(บันทึกโดย ท่านอิหม่ามอะห์มัดในหนังสือ “อัล-มุสนัด” เล่มที่ 2 หน้า 159, 225และผู้บันทึกอื่นๆอีกหลายท่าน)
ท่านอัล-ฮัยษะมีย์ได้กล่าวในหนังสือ “มัจญมะอฺ อัซ-ซะวาอิด” เล่มที่ 7 หน้า 176 ว่า وَرِجَالُ أَحْمَدَ ثِقَاتٌ คือผู้รายงาน(หะดีษนี้)ของท่านอะห์มัดล้วนเชื่อถือได้ ...
ค. ท่านอิบนุหัสม์ได้บันทึกในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 6 หน้า 465 จากเศาะหาบะฮ์ 3 ท่านคือ ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด, ท่านหญิงอาอิชะฮ์ และท่านอัล-บะรออ์ บินอาซิบ ร.ฎ. ที่กล่าวสั้นๆเกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่นิกาห์กับสตรีนางหนึ่งหลังจากเขาได้ซินากับนางแล้ว โดยทั้งสามท่านกล่าวตรงกันว่า
لاَ يَزَالاَنِ زَانِيَيْنِ (أَبَدًا)
“เขาทั้งคู่ยังคงซินากันตลอดไปนั่นแหละ” (หมายความว่า นิกาห์ของเขาทั้งสองหลังจากซินาเป็นโมฆะและใช้ไม่ได้)
ข้อมูลจากหะดีษเหล่านี้ เป็นหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการนิกาห์กับคนซินาว่า เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับมุสลิม
และการนิกะห์กับคนที่ทำซินา(หากมีขึ้น) ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ดังคำกล่าวของเศาะหาบะฮ์ทั้งสามท่านข้างต้น
ทว่า ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตด้วยว่า หลักฐานข้างต้นทั้งหมดนั้น แม้จะถูกต้อง แต่ไม่มีหลักฐานบทใดจะกล่าวถึงเรื่อง “การเตาบะฮ์” หรือการลุกะโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าก่อนการนิกาห์เอาไว้เลย
แต่ขณะเดียวกัน มีหลักฐานหลายบทยืนยันว่า ถ้าผู้ทำซินาได้ทำการเตาบะฮ์อย่างถูกต้องก่อนการนิกาห์ การนิกะห์ของเขาก็ถือว่าใช้ได้
หลักฐานเหล่านั้น มีดังต่อไปนี้
หลักฐานว่า ผู้ซินาที่เตาบะฮ์แล้ว จะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์
ก. พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงดำรัสในซูเราะฮ์อัล-ฟุรฺกอน อายะฮ์ที่ 68-70 มีข้อความว่า ...
وَالَّذِيْنَ لاَ يَدْعُوْنَ مَعَ اللهِ إِلَهًا آخَرَ وَلاَ يَقْتُلُوْنَ النَّفْسَ الَّتِىْ حَرَّمَ اللهُ إلاَّ بِالْحَقِّ وَلاَ يَزْنُوْنَ وَمَنْ يَفْعَلْ ذَلِكَ يَلْقَ أَثَامًا * يُضَاعَفْ لَهُ الْعَذَابُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَيَخْلُدْ فِيْهِ مُهَانًا * إلاَّ مَنْ تَابَ وَآمَنَ وَعَمِلَ صَالِحًا فَاُولَئِكَ يُبَدِّلُ اللهُ سَيِّآتِهِمْ حَسَنَاتٍ وَكَانَ اللهُ غَفُوْرًا رَحِيْمًا
(68) “และบรรดาผู้ซึ่งไม่วิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์ และพวกเขาไม่ฆ่าชีวิตซึ่งอัลลอฮ์ทรงห้าม นอกจาก(การฆ่า)โดยชอบธรรม และพวกเขาไม่ทำซินา และผู้ใดกระทำสิ่งดังกล่าวเขาก็จะพบกับบาปมหันต์
(69) การลงโทษในวันกิยามะฮ์จะถูกเพิ่มเป็นสองเท่าสำหรับเขา และเขาจะอยู่ในนั้นอย่างอัปยศ
(70) เว้นแต่ผู้ที่เตาบะฮ์ และศรัทธา และประกอบความดี พวกเขาเหล่านั้นแหละที่อัลลอฮ์จะทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาให้เป็นความดี และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ให้อภัย ทรงเมตตาเสมอ”
โองการข้างต้นนี้เป็นหลักฐานว่า ผู้ที่ทำซินา, ผู้ที่ตั้งภาคี, และผู้ที่ฆ่าชีวิตอื่นโดยไม่ชอบธรรม หากพวกเขาเตาบะฮ์, มีศรัทธาและประกอบคุณงามความดีแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็จะทรงให้อภัยแก่พวกเขา และทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาให้เป็นความดีซึ่งเท่ากับเป็นการบ่งบอกว่า การเตาบะฮ์จากการซินาจะลบล้างร่องรอยและสภาพการซินาของเขาให้หมดสิ้นไป จนเขากลายเป็นผู้บริสุทธิ์เหมือนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานมาจากเศาะหาบะฮ์หลายท่านเกี่ยวกับเรื่องผู้ซินาที่เตาบะฮ์ สามารถนิกาห์กับอดีตคู่ซินาด้วยกันหรือกับใครก็ได้หลังจากเตาบะฮ์แล้ว เช่น ...
ข. มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด ร.ฎ. (ผู้ซึ่งเคยกล่าวว่าผู้ที่ทำซินาก่อนแล้วนิกาห์กันทีหลังก็คือผู้ทำซินาตลอดไป .. ดังข้อมูลที่ผ่านมาแล้ว) เมื่อถูกถามถึงปัญหาเรื่องการนิกาห์ผู้ที่ซินาอีกคราวหนึ่ง ท่านก็กล่าวอ้างถึงโองการที่ว่า
وَهُوَالَّذِيْ يَقْبَلُ التَّوْبَةَ عَنْ عِبَادِهِ (الشوري أية
25)
“และพระองค์(อัลลอฮ์) คือผู้ซึ่งทรงรับการเตาบะฮ์จากบ่าวของพระองค์เสมอ” (บันทึกโดยท่านอิบนุหัสม์ ในหนังสือ “อัล-มุหั้ลลา” เล่มที่ 6 หน้า 465)
แสดงว่าเจตนารมณ์ของท่านอิบนุมัสอูดที่เคยกล่าวว่า “เป็นผู้ทำซินาตลอดไป” ท่านหมายถึงการนิกาห์ของผู้ซินาก่อนการเตาบะฮ์
ค. มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺและท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. เมื่อท่านทั้งสองถูกถามเรื่องการนิกาห์ของผู้ที่ทำซินาด้วยกัน ทั้งสองท่านตอบตรงกันว่า
إِنْ تَابَا وَأَصْلَحَا (فَلاَ بَأْسَ)
“ก็ถ้าเขาทั้งสองเตาบะฮ์แล้ว และประพฤติดี(ก็ไม่เป็นไร คือสามารถนิกาห์กันได้)”
(จากหนังสือ อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสม์ เล่มที่ 6 หน้า 475 และหนังสือ “ฟิกฮุสซุนนะฮ์” ของท่านซัยยิดซาบิกเล่มที่ 2 หน้า 86)
ง. ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์รายงานว่า ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. เคยกล่าวว่า : ฉันตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่ทำซินาในอิสลามคนใด นิกาห์กับสตรีที่ดีเป็นอันขาด .. แล้วท่านอุบัยย์ บินกะอฺบิน ร.ฎ. ก็กล่าวแย้งท่านว่า
يَا أَمِيْرَ الْمُؤْمِنِيْنَ! اَلشِّرْكُ أَعْظَمُ مِنْ ذَلِكَ، وَقَدْ يُقْبَلُ مِنْهُ إِذَا تَابَ
“โอ้ท่านผู้เป็นประมุขแห่งศรัทธาชน การตั้งภาคี(ชิริก)นั้น เป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องดังกล่าวนี้(ซินา)เสียอีก แล้วบางครั้งเตาบะฮ์ของเขาก็ยังถูกรับ(มิใช่หรือ?)”
(จากหนังสือ อัล-มุหั้ลลา” ของท่านอิบนุหัสม์ เล่มที่ 6 หน้า 475 และ หนังสือ “ฟิกฮุสซุนนะฮ์” เล่มที่ 2 หน้า 86)
จ. ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ ได้บันทึกรายงานจากท่านฏอริก บินชิฮาบว่า ...
أَنَّ رَجُلاً أَرَادَ أَنْ يُزَوِّجَ ابْنَتَهُ، ُ فَقَالَتْ : إِنِّىْ أَخْشَى أَنْ أُفْضِحَكَ، إِنِّىْ قَدْ بَغَيْتُ، فَأَتَى عُمَرَ، فَقَالَ : أَلَيْسَتْ قَدْ تَابَتْ ؟ قَالَ : نَعَمْ، قَالَ : فَزَوِّجْهَا
“ชายผู้หนึ่งประสงค์จะนิกาห์บุตรสาวของเขา(ให้แก่ผู้ชายคนหนึ่ง) นางจึงกล่าว(แก่บิดา)ว่า :ฉันเกรงว่าฉันจะทำให้พ่อขายหน้านะ เพราะฉันเคยทำชั่ว(คือซินา)มาแล้ว .. เขาจึงไปหาท่านอุมัรฺ (อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง) ท่านอุมัรฺจึงกล่าวว่า : ก็นางเตาบะฮ์แล้วมิใช่หรือ? เขาตอบว่า : ขอรับ, ท่านจึงกล่าวว่า : งั้นท่านก็จัดการนิกาห์ให้นางเถอะ”
(บันทึกโดย ท่านอิบนุอบีย์ชัยบะฮ์ในหนังสือ “อัล-มุศ็อนนัฟ” เล่มที่ 3 หน้า 377 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง)
ข้อมูลข้างต้นทั้งหมดจึงเป็นหลักฐานว่า การเตาบะฮ์ คือเงื่อนไขสำคัญสำหรับการนิกาห์ให้คนทำซินา
เพราะฉะนั้น คนทำซินาจะนิกาห์กับใครเลยไม่ได้ นอกจากจะต้องเตาบะฮ์เสียก่อน
และเมื่อผ่านการเตาบะฮ์ถูกต้องแล้ว เขาหรือหล่อนจึงสามารถนิกะห์ -ไม่ว่ากับอดีตคู่ซินาหรือกับผู้อื่น - ได้
เพราะฉะนั้น การนิกะห์ให้คู่ซินาใดๆ ดังที่อิหม่ามหลายท้องที่กระทำกันก่อนที่ทั้งคู่จะทำการเตาบะฮ์ - เพียงเพื่อป้องกันความอับอาย - จึงเป็นเพียง “นิกาห์หลอก” ที่ส่งผลให้คู่ซินาคู่นั้น ยังคง “ซินากันตลอดไป” ดังคำกล่าวของท่านอับดุลลอฮ์ บินมัสอูด ร.ฎ. ที่ผ่านมาแล้ว
ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆในเรื่องนี้ คือ อิหม่ามหรือใครก็ตามที่จัดการนิกะห์ให้คู่ซินานั่นแหละ
- มุสลิมสารภาพรักทางอินเตอร์เน็ต ได้หรือไม่?
- ดุอาอ์ขอให้ได้แต่งงานเร็ว
- วิธี จีบ ผู้หญิง อิสลาม รักต่างศาสนา อิสลาม พุทธ
- ผู้ชายที่ชอบตบตีเมีย ได้รับผลกรรมอย่างไร – โดนสามีตบหน้า ภรรยาในอิสลาม
- มะฮัร 125 คือ? มะฮัรกับสินสอด งานแต่งอิสลาม ใส่ซอง
- จดทะเบียนสมรส แต่งงานกับต่างชาติมุสลิม ต้องดำเนินการอย่างไร
- หน้าที่ของสามีมุสลิมต่อภรรยา ถ้า สามี ไม่ จ่าย ค่า เลี้ยงดู บุตร
- ดุอาอฺเรียกลูกค้า ดุอาอฺค้าขายดี การค้าขายในอิสลาม
- ชายพุทธเข้าอิสลาม – ศาสนาคริสต์และอิสลาม
- เกิดชอบใครขึ้นมา แนะนำวิธีการจีบอย่างถูกต้องตามหลักอิสลาม
บทความโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย
http://islamhouse.muslimthaipost.com/