ทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลสาบมรณะ หรือ ทะเลตาย มีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า “อัลบะห์รุ้ลมัยยิต” เป็นทะเลสาบที่มีน้ำเค็มเข้มข้นมากใหญ่ที่สุด
ทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลสาบมรณะ หรือ ทะเลตาย - Dead Sea มีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า “อัลบะห์รุ้ลมัยยิต” เป็นทะเลสาบที่มีน้ำเค็มเข้มข้นมากใหญ่ที่สุด
ตั้งอยู่ในระหว่างเขตแดนของประเทศจอร์แดนและอิสราเอล ขนาดของทะเลมีความยาวสูงสุดประมาณ 80 กิโลเมตรกว้างสูงสุดประมาณ 18 กิโลเมตร คลอบคลุมพื้นที่ประมาณ หนึ่งพันตารางกิโลเมตร ส่วนความลึกสูงสุดประมาณ 400 เมตร สำหรับตอนเหนือตื้นประมาณเพียง 3 เมตรเท่านั้น และอยู่ต่ำกว่าน้ำทะเลปานกลางประมาณ 400 เมตร
ที่ให้ชื่อว่าทะเลสาบมรณะหรือทะเลตายนั้น เพราะทะเลสาบนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปน้ำในทะเลนี้ระเหยขึ้นทำให้เกลือในทะเลสาบเดดซีตกค้างอยู่ในบริเวณเดิมน้ำในทะเลสาบเดดซีจึงมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเลปกติถึง 8 เท่า จนทำให้ผู้ที่ลงไปสามารถลอยตัวอยู่ในน้ำทะเลมรณะนี้ได้ และด้วยเหตุที่น้ำมีความเค็มมากขนาดนี้ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จึงเรียก ทะเลสาบนี้ว่าทะเลสาบเดดซี มีความหมายว่าทะเลสาบมรณะ
สำหรับประเด็นที่ว่า ทะเลเดดซีเกี่ยวข้องกับประชากรยุคก่อนหรือไม่อย่างไร?.
“นักประวัติศาสตร์เกือบจะทั้งหมดยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับประชากรยุคก่อนแน่นอนเมื่อประมาณ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กล่าวคือ เป็นประชากรของเมืองสะดูมหรือโสโดมและเมืองอัมมูเราะห์หรือกอมอร์ราห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับทะเลเดดซี และบ้างก็ว่าเป็นสองเมืองที่จมอยู่ภายใต้ทะเลเดดซีนี่เอง ซึ่งประชากรสองเมืองนี้เป็นประชากรในยุคท่านศาสดาลูฏ อะลัยฮิสสลาม ถูกพระเจ้า(อัลลอฮฺ) ลงโทษพลิกแผ่นดินทั้งสองเมืองให้จมอยู่ใต้พื้นดิน เพราะการกระทำการอันเป็นบาปใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก นั่นคือ “คือการร่วมการมย์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน” ซึ่งในยุคนี้แพร่หลายภายใต้ชื่อว่า “รักร่วมเพศ” นั่นเอง”
เหตุการณ์ในยุคนบีลูฏอะลัยฮิสลาม...
“เรื่องราวประวัติของท่านศาสดาลูฏอะลัยฮิสสลามและประชากรของท่านที่อาศัยอยู่ที่เมืองสะดูมนั้น มีปรากฏในคัมภีร์จากฟ้าทั้งสามคัมภีร์คือ คัมภีร์เตารอต(โตราห์) คัมภีร์อินญีล(ไบเบิ้ล) และคัมภีร์อัลกุรอาน โดยเฉพาะในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีปรากฏอยู่ในหลายบท(ซูเราะห์) และหลายโองการ ดังจะนำมาเสนอประวัติโดยย่อของศาสดาลูฏ อะลัยฮิสสลาม ดังนี้
ศาสดาลูฏอะลัยฮิสสลาม เป็นศาสดาในยุคเดียวกับท่านศาสดาอิบรอฮีมอะลัยฮิสสลาม และถือเป็นญาติใกล้ชิดกันด้วย กล่าวคือศาสดาลูฏมีศักดิ์เป็นหลานของท่านศาสดาอิบรอฮีม กล่าวคือลูฏเป็นบุตรของฮารอนซึ่งเป็นพี่น้องของศาสดาอิบรอฮีมอะลัยฮิสสลาม ทั้งสองอพยพจากเมืองบาบิโลนประเทศอิรัคไปยังประเทศอียิปต์ ทั้งสองพักอยู่ที่อียิปต์ช่วงเวลาหนึ่ง ก็เดินทางต่อไปยังประเทศปาเลสไตน์ ในระหว่างทางศาสดาลูฏขออนุญาตศาสดาอิบรอฮีมผู้เป็นลุงว่าตนเองจะเดินทางไปยังเมืองสะดูมในประเทศจอร์แดนปัจจุบัน เพราะอัลลอฺ(ซบ.) ทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ศาสดาเผยแผ่ศาสนาแก่ประชาชนในเมืองสะดูมนี้ ท่านศาสดาอิบรอฮีมก็อนุญาต ลูฏ จึงได้แยกทางออกไปยังเมืองสะดูมเพียงลำพัง เมื่อไปอยู่ที่เมืองสะดูมก็ได้สมรสกับหญิงชาวสะดูมคนหนึ่งชื่อ “วาฮิละห์”
ประชาชาติที่ถูกทำลาย...
“พฤติกรรมของชาวเมืองสะดูมเป็นที่ชั่วช้านัก ไม่ว่าเรื่องการประทุษร้ายร่างกายผู้อ่อนแอ ทรยศต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ละอายที่จะกระทำการอันเป็นบาป และที่สำคัญคือ ก่ออาชญากรรมทางเพศ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกัน โดยเฉพาะชายกับชายที่เรียกว่า “รักร่วมเพศ” ซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนนับแต่สร้างโลก ท่านศาสดาลูฏได้ตักเตือน ห้ามปรามและสั่งสอนให้เลิกพฤติกรรมอันชั่วช้านี้ โดยให้ยึดศาสนาของอัลลอฺ(ซบ.) ให้ยำเกรงพระองค์ และให้ละเลิกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน เพราะเป็นบาปที่อัลลอฮฺ(ซบ.) ทรงห้ามไว้ เพราะการคงอยู่ในบาปดังกล่าวนั้นจะนำมาซึ่งภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่
แต่คำสอนคำเตือนของศาสดาลูฏ ก็มิได้รับการตอบรับจากคนส่วนใหญ่ของเมืองนี้แม้แต่ผู้เป็นภรรยาของศาสดาลูฏเองก็หาได้เชื่อในคำสอนของศาสดาผู้เป็นสามีไม่ แต่ศาสดาลูฏก็มิได้ย่อท้อในการเผยแผ่ศาสนายังคงเชิญชวนให้ประชากรชาวสะดูมหันกลับมาสู่การสักการะอัลลอฮฺ(ซบ.) เพียงพระองค์เดียว แทนที่ชาวสะดูมจะยอมรับและเชื่อฟังกลับหันหลังให้คำสั่งสอนนั้นอีกทั้งยังเยาะเย้ยถากถางและท้าทายว่า “หากเจ้า(ลูฏ) พูดจริงก็ให้พระเจ้าลงโทษพวกเราซิ” รวมทั้งยังขับไล่ศาสดาลูฏให้ออกจากเมืองสะดูมด้วย เพราะพวกเขาถือว่าลูฏมิใช่เป็นคนเมืองสะดูมแต่เดิมหากแต่เป็นเพียงคนต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ที่สะดูมเท่านั้น
เมื่อชาวสะดูมไม่ยอมเชื่อและไม่ยอมรับในคำสั่งสอนของท่านศาสดาลูฏ พวกเขายังคงก่อบาปใหญ่ด้วยการมีรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและไม่กลัวเกรงสิ่งไดๆ อัลลอฮฺ(ซบ.) จึงทรงลงโทษชาวสะดูมด้วยการส่งมาลาอิกะห์ (เจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ) ลงมาในรูปของชายหนุ่มรูปงาม 3 ท่าน ทั้งสามได้ผ่านมายังศาสดาอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ซึ่งพำนักอยู่ ณ เมืองที่ไม่ไกลกันนัก ศาสดาอิบรอฮีมคิดว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา ท่านจึงต้อนรับขับสู้ในฐานะแขกผู้มาเยือนอย่างดี ด้วยการเชือดแพะแกะทำอาหารอย่างดีเลิศรับแขก แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับประทาน และแจ้งว่าพวกเขาเป็นใครพร้อมกับบอกข่าวดีแก่ศาสดาอิบรอฮีมว่าเขาจะมีบุตรที่เกิดจากพระนางสาเราะห์ ชื่อ “อิสหาก” จากนั้นก็บอกแก่อิบรอฮีมว่า พวกตนได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังเมืองสะดูม เพื่อลงโทษคนในชุมชนนั้น ท่านศาสดาอิบรอฮีมแจ้งแก่ทั้งสามว่า ณ ที่เมืองนั้นมีศาสดาลูฏพักอยู่ด้วยนะ พวกเขาจึงบอกว่าพวกเราทราบและเขา(ลูฏ)และครอบครัวจะได้รับความปลอดภัยยกเว้นภรรยาของเขาที่ทรยศต่อคำสอนของเขา ซึ่งถือเป็นการทรยศต่ออัลลอฮฺ(ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า
มาลาอิกะห์ทั้งสามท่านได้เดินทางออกจากท่านศาสดาอิบรอฮีมมุ่งสู่เมืองสะดูม ครั้นถึงยังบ้านของท่านศาสดาลูฏในสภาพที่เป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อศาสดาลูฏได้พบเห็นก็ตกใจและกลัวว่าพวกสะดูมจะเห็นและทำมิดีมิร้ายกับชายรูปงามสามท่านนี้ ท่านจึงให้พวกเขาพักอยู่แต่ในบ้านห้ามออกนอกบ้าน โดยปิดไม่ให้ผู้ใดรู้เห็นว่ามีชายหนุ่มมาเป็นแขกของท่าน จะรู้ก็เฉพาะคนในครอบครัวของเขาเท่านั้น
หนึ่งในครอบครัวของศาสดาลูฏคือภรรยาของเขา ซึ่งภรรยาของเขาแอบหนีออกไปหาพวกสะดูมและแจ้งข่าวว่า มีหนุ่มรูปงามมาอยู่ที่บ้านของลูฏ ซึ่งฉันไม่เคยเห็นผู้ใดรูปงามเยี่ยงคนสามคนนี้เลย เมื่อชาวเมืองสะดูมทราบอย่างนั้นก็พากันมายังบ้านของศาสดาลูฏในทันที เมื่อมาถึงประตูบ้านของศาสดาลูฏก็ตะโกนเรียกร้องให้ศาสดาลูฏส่งตัวชายรูปงามทั้งสามออกมาให้พวกตน ท่านศาสดาลูฏได้ปกป้องแขกทั้งสามอย่างสุดกำลังไม่ยอมส่งตัวทั้งสามออกไปตามคำร้องขอ และกล่าวกับพวกเหล่านั้นว่า “พวกเขาเหล่านี้เป็นแขกของฉัน พวกท่านอย่าได้ทำให้ฉันอัปยศเลย ขอพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และโปรดอย่าทำให้ฉันต้องถึงกับอับอายขายหน้าเลย”(68-69/15) ขณะเดียวกันท่านก็ได้พูดจาโน้มน้าวให้พวกเหล่านั้นยอมอ่อนข้อไม่กระทำการอันน่าอัปยศคือ การนำเอาแขกทั้งสามไปปู้ยี้ปู้ยำทางเพศกับคนเพศเดียวกัน แต่พวกเหล่านั้นก็หาได้เชื่อฟังไม่ กลับต้องการจะพังประตูเข้าในบ้านของท่านศาสดาลูฏ
ระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น มาลาอิกะห์ทั้งสามท่านก็เปิดเผยตัวเองว่า พวกตนเป็นมาลาอิกะห์ที่อัลลอฮฺ(ซบ.) ส่งมาเพื่อลงโทษพวกเหล่านั้น พวกเขาจึงบอกกับท่านศาสดาลูฏว่า ท่านจงนำครอบครัวของท่านออกไปจากเมืองนี้เสีย เพราะในตอนรุ่งอรุณเช้านี้จะมีการลงโทษพวกที่ก่อความอัปยศในแผ่นดินนี้ และบอกว่าเมื่อท่านออกไปแล้วอย่าได้หันกลับมามองเมืองนี้เลย และแล้วท่านและครอบครัวก็เดินทางออกจากเมืองนี้ไป”บทลงโทษสำหรับผู้ที่ดื้อดึงต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)
“เมื่อถึงยามรุ่งอรุณในเช้าวันนั้น “อัลลอฮฺก็ทรงทำลายพวกของศาสดลูฏ ซึ่งพระองค์ทรงสั่งให้พลิกคว่ำเมืองของพวกนั้นจากข้างบนเป็นข้างล่าง โดยให้ญิบรีลยกเอาเมืองสะดูมขึ้นยังฟ้าแล้วปล่อยหกคว่ำยังพื้นดิน แล้วพระองค์ก็ยังได้ประดังหินที่แผดร้อนลงมาอย่างต่อเนื่องทำลายเมืองสะดูม ซึ่งหินนั้นจะมีชื่อของผู้ถูกทำลายแต่ละคนถูกสลักไว้ด้วยในหินแต่ละก้อน โดยที่เมืองนั้นอยู่ไม่ไกลจากกาฟิรชาวมักกะห์ผู้คดโกงขณะเดินทางผ่านไปยังประเทศซาม” (ความจากอัลกุรอานบท ฮูด โองการที่ 82-83) ท่านศาสดาลูฏและบุตรสาวอีกสองคนก็ปลอดภัยจากการลงโทษของอัลลอฮฺ(ซบ.) ในที่สุด”
“จากประวัติดังกล่าวจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การลงโทษของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นจริง และผู้ที่ได้รับการลงโทษคือผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซบ.) อันได้แก่ศาสนาของพระองค์ ดังนั้น กรณีพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงเป็นเหตุหนึ่งที่อัลลอฮฺ(ซบ.) จะลงโทษผู้ปฏิบัติ และหากผู้คนในสังคมไม่ตักเตือนกันและกันในเรื่องบาปกรรมนี้ ภัยพิบัติอาจประสบกับคนทุกคนในหมู่ชนนั้น เพราะอัลลอฮฺ(ซบ.) ทรงเตือนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงพึงระวังภัยพิบัติเถิด เพราะภัยนั้นมิได้ประสบแก่ผู้ละเมิดศาสนาเท่านั้น หากแต่จะประสบแก่หมู่ชนทุกคนหากพวกเขาเมินเฉยต่อพฤติกรรมความชั่วโดยไม่มีการแนะนำตักเตือนห้ามปราม แท้จริงการลงโทษของอัลลอฮฺนั้นรุนแรงยิ่งนัก” (ความจากอัลกุรอานบทอัลอัมฟานโองการที่ 25)
อย่างไรก็ตาม “รักร่วมเพศ” ในปัจจุบันได้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็น ชายรักชาย หญิงรักหญิง และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ แต่คนในสังคมกลับให้การยอมรับ เมื่อมองไปทางไหนก็เจอจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว พระองค์อัลลอฮฺ(ซบ.) ทรงมีพระประสงค์และเป็นวิทยปัญญาข้อเตือนใจให้ชนรุ่นหลังไปตรึกตรอง โดยทิ้งร่องรอยหลักฐานในอดีตของยุคนบีลูฏ นั่นก็คือสถานที่ที่เรียกว่า อัลบะห์รุ้ลมัยยิต หรือ ทะเลเดดซี เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่คนปัจจุบัน และเป็นภาพฟ้องประจานเรื่องราวในอดีต และจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ก็น่าจะพอทำให้ทุกท่านทราบแล้วว่า บั้นปลายของผู้ที่ดื้อดึงต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) จะเป็นอย่างไร?
ที่มา: http://ansorimas200.blogspot.com/2013/08/blog-post_16.html