บทว่าด้วย การร้องไห้ของท่านนบีมูฮัมหมัด
บทว่าด้วย การร้องไห้ของท่านนบีมูฮัมหมัด صلى الله عليه وسلم
บทความโดย : อ.มุรีด ทิมะเสน
หะดีษที่ 262
ท่านอิบนุ อับบาส เล่าว่า
أَخَذَ رَسُولُ اللَّهِ ابْنَةً لَهُ تَقْضِي فَاحْتَضَنَهَا فَوَضَعَهَا بَيْنَ يَدَيْهِ فَمَاتَتْ وَهِيَ بَيْنَ يَدَيْهِ وَصَاحَتْ أُمُّ أَيْمَنَ فَقَالَ يَعْنِي النَّبِيَّ أَتَبْكِينَ عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ فَقَالَتْ أَلَسْتُ أَرَاكَ تَبْكِي قَالَ إِنِّي لَسْتُ أَبْكِي إِنَّمَا هِيَ رَحْمَةٌ إِنَّ الْمُؤْمِنَ بِكُلِّ خَيْرٍ عَلَى كُلِّ حَالٍ إِنَّ نَفْسَهُ تُنْزَعُ مِنْ بَيْنِ جَنْبَيْهِ وهو يحمد الله عَزَّ وَجَلَّ
“ท่านรสูลุลลอฮฺอุ้มหลานหญิง [1] ของท่านนบีขณะวิญญาณ (ใกล้) จะออกจากร่าง, ท่านรสูลสวมกอดนาง (ด้วยความเมตตา) จากนั้น (สักพัก) ท่านรสูลก็วางนาง ณ เบื้องหน้าของท่านรสูล ต่อมานางก็สิ้นชีวิต ณ เบื้องหน้าของท่านรสูล (นั่นแล), (ห้วงเวลานั้น) อุมมุอัยมัน [2] ร่ำไห้โฮออกมา, เขา [3] เล่าว่า ท่านรสูลกล่าวแก่นาง (อุมมุอัยมัน) ว่า เธอร่ำไห้โฮ (เสียงดัง) ต่อหน้าศาสนทูตของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ?, นางตอบว่า ฉันไม่เคยเห็นท่าน (อยู่ในสภาพ) ร่ำไห้กระนั้นรึค่ะ? [4] ท่านรสูลตอบว่า อันที่จริงฉันมิได้ร่ำไห้เพื่อโอดครวญ (หรือโศกาอาดูร) หรอกนะ ที่ฉันร่ำไห้เพราะความเมตตาต่างหาก [5] , แท้จริงผู้ศรัทธา (มุอฺมิน) ต้องมั่นคงในทุกๆ ความดี แม้ว่า (เขา) จะอยู่ในสภาพใดก็ตาม [6] , ซึ่งชีวิตของผู้ศรัทธานั้นจะถูกถอด (วิญญาณ) ระหว่างสองสีข้างของเขา ในสภาพที่เขาสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ (เท่านั้น) [7] ” [8]
หะดีษที่ 263
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า
أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ قَبَّلَ عُثْمَانَ بْنَ مَظْعُونٍ وَهُوَ مَيِّتٌ وَهُوَ يَبْكِي أَوْ قَالَ عَيْنَاهُ تُهْرَقَانِ
“แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺจูบ [9] ท่านอุษมาน บุตรของมัซอูน [10] ในสภาพที่เขาเสียชีวิตแล้ว, โดยท่านรสูลร่ำไห้ [11] หรือ (เขาเล่าว่า [12]) ดวงตาทั้งสองของท่านรสูลมีน้ำตาไหลออกมา” [13]
หะดีษที่ 264
ท่านอนัส บุตรของมาลิกเล่าว่า
شَهِدْنَا ابْنَةً لِرَسُولِ الله وَرَسُولُ اللَّهِ جَالِسٌ عَلَى الْقَبْرِ فَرَأَيْتُ عَيْيَنْهِ تَدمَعَانِ فَقَالَ أَفِيْكُمْ لَمْ يُقَارِفِ اللَّيْلَةَ قَالَ أَبُو طَلْحَةَ أَنَا قَالَ انْزِلْ فَنَزَلَ فِي قَبْرِهَا
“ฉันร่วมอยู่ร่วม (ในเหตุการณ์) ฝังศพลูกสาวของท่านรสูลุลลอฮฺ [14] , ท่านรสูลนั่ง (บริเวณ) ปากหลุมศพ (ของนาง) ฉันเห็นดวงตาทั้งสองมีน้ำตาไหลออกมา [15] , พลางท่านรสูลเอ่ยว่า ในหมู่พวกท่านมีบุคคลใดมิได้หลับนอนกับภรรยาของพวกท่านเมื่อคืนบ้างไหม? [16] , ท่านอบูฏ็อลหะฮฺ [17] เอ่ยขึ้นว่า ผมครับท่านรสูล, ท่านรสูลเอ่ยต่อว่า ท่านจงลงไป (ยังก้นหลุม) เถิด แล้วเขาก็ลงไปยัง (ก้น) หลุมศพ (เพื่อฝังศพ) ของนาง [18] ” [19]
[1] นางเป็นลูกสาวของนางซัยนับซึ่งเป็นลูกสาวของท่านนบี นางจึงศักดิ์เป็นหลานของท่านนบี ส่วนพ่อของนางคือ ท่านอบุลอาศ บุตรของอัรฺรอบีอฺ, โดยหลานของท่านนบีเสียชีวิตในปี 9 ของการฮิจญ์เราะฮฺ
[2] นางอุมมุอัยมัน คือคนรับใช้ของท่านนบี ซึ่งนางใกล้ชิด และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของท่านนบีอีกด้วย
[3] เป็นการอธิบายของตาบิอีน ที่รับหะดีษจากท่านอิบนุอับบาส, ส่วนคำว่า “يعني “ หมายถึง ท่านอิบนุอับบาส
[4] นางอุมมุอัยมัน ต้องการจะบอกว่า นางเข้าใจว่า การร้องไห้ให้แก่ผู้คนเป็นสิ่งอนุญาต อีกทั้งนางยังเห็นท่านนบีมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง นางจึงสงสัย แล้วเอ่ยถามท่านนบีด้วยสำนวนข้างต้น
[5] ท่านนบีจึงตอบนางอุมมุอัยมันไปว่า ท่านนบีมิได้ร้องไห้คร่ำครวญ หรือโศกาอาดูรต่อหลานสาวที่เสียชีวิตหรอก ทว่าท่านนบีร่ำไห้ก็เพราะความเมตตาสงสารหลานสาวขณะวิญญาณออกจากร่างกายของนางต่างหาก, ท่านนบีวัจนะไว้ว่า “แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงเมตตาปวงบ่าวของพระองค์ซึ่ง (พวกเขา) มีความเมตตา (ต่อผู้อื่น)” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 1284)
[6] ผู้ที่ได้ชื่อว่า “ผู้ศรัทธามั่น” แล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่สุขสบาย เขาก็ขอบคุณอัลลอฮฺ หรือไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพทุกข์ร้อนเพียงใด เขาก็อดทน ซึ่งสิ่งข้างต้น ล้วนเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่า “ผู้ศรัทธามั่น (มุอฺมิน)” ส่วนสิ่งที่พวกเขาจะได้รับรางวัลแรก คือ ผลบุญในฐานะผู้ขอบคุณ และรางวัลที่สองที่พวกเขาจะได้รับคือ ผลบุญในฐานะผู้อดทน
[7] อนึ่ง เราจะพบบรรดาคนดีๆ (คนศอลิหฺ) ที่เขากำลังใกล้จะสิ้นชีวิต เขาอยู่ในสภาพที่สรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ พวกเขาจะไม่หลงลืมการสรรเสริญพระองค์โดยเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะเจ็บปวด หรือทุรนทุรายเพียงใด ทว่าลิ้นของพวกเขาก็ยังคงเปียกชุ่มไปด้วยรำลึก และสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺอยู่มิวาย
[8] หะดีษเศาะหี้หฺ, หนังสือ “มุคตะเศาะรุชชะมาอิล” หน้า 171-172 หะดีษที่ 279
[9] การกระทำของท่านนบีข้างต้นบ่งชี้ว่า การจูบผู้ตาย (มัยยิต) นั้นเป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ อีกทั้ง ท่านอบูบักรฺยังเคยจูบท่านนบีในสภาพที่ท่านนบีสิ้นชีวิต
[10] ท่านอุษมาน บุตรของมัซอูน หรือ อบุลสาอิบ เขาเป็นผู้เข้ารับอิสลามในช่วงต้นๆ ของการประการศาสนา (เขาเข้ารับอิสลามลำดับที่ 14), เขาอพยพสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรก อพยพไปยังดินแดนหะบะชะฮฺ (อบิสิเนีย) และครั้งที่สองอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ, เขาสิ้นชีวิตในเดือนชะอฺบาน ปีที่ 3 ของการฮิจญ์เราะฮฺ ก่อนเกิดสงครามอุฮุด, เขาเป็นผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) คนแรกที่เสียชีวิตที่เมืองมะดีนะฮฺ และเขายังเป็นเศาะหาบะฮฺคนแรกซึ่งถูกฝังที่กุบูรฺบะกีอฺ, เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านอุษมานเป็นผู้ที่มีความเคร่งครัดทั้งในเรื่องอิบาดะฮฺ และเรื่องทั่วๆ ไป จนกระทั่งว่า เขาไปขออนุญาตท่านนบีว่า ขอให้เขาไม่ต้องแต่งงาน เพื่อทำอิบาดะฮฺเพียงอย่างเดียว, ท่านสะอฺด์ บุตรของอบูวักกอศเล่าว่า “ท่านรสูลุลลอฮฺปฏิเสธท่านอุษมาน บุตรของมัซอูนว่าด้วยการตัดขาดจากสตรี (ปฏิเสธการแต่งงาน) ซึ่งหากท่านนบีอนุญาตท่านอุษมานแล้วไซร้ เขาจะตัดลูกอัณฑะ (ทั้งสอง) ทิ้ง (เพื่อไม่ต้องแต่งงาน)” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5974)
[11] กล่าวคือ ท่านนบีร่ำไห้ด้วยการจากไปของท่านอุษมาน บุตรของมัซอูน จนกระทั่งน้ำตาของท่านนบีไหลหยดลงใบหน้าของท่านอุษมาน, อีกรายงานหนึ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า “ท่านรสูลุลลอฮฺจูบท่านอุษมาน บุตรของมัชอูนในสภาพที่เขาเสียชีวิต, เสมือนหนึ่งฉันเห็นน้ำตาของท่านนบีไหลหยดลงแก้มทั้งสองของท่านอุษมาน” (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ หะดีษที่ 1456), อนึ่ง สาเหตุที่ท่านนบีร่ำไห้ให้แก่ท่านอุษมาน ก็เพราะเขาคือผู้ซึ่งมีความสำคัญยิ่งคนหนึ่งจากประชาชาติของท่านนบี
[12] เป็นการสงสัยของนักรายงานหะดีษ
[13] หะดีษเศาะหี้หฺ, หนังสือ “มุคตะเศาะรุชชะมาอิล” หน้า 172 หะดีษที่ 280
[14] คือนางอุมมุ กัลษูม ภรรยาของท่านอุษมาน บุตรของอัฟฟาน (ซุลนูร็อยน์) สถานะเคาะลีฟะฮฺคนที่ 3
[15] บ่งบอกถึงท่านนบีซึ่งอยู่ในฐานะของพ่อที่มีความรักต่อลูกสาวของท่านนบี อันเป็นเรื่องปกติที่ลูกสาวมักจะใกล้ชิดผู้เป็นพ่อ จึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อจะหลั่งน้ำตาต่อการจากไปของลูกสาวอันเป็นที่รักของตน
[16] อนึ่ง การฝังผู้ตาย มิได้มีเงื่อนไขว่า บุคคลซึ่งหลับนอนกับภรรยาจักต้องเป็นคนขุดหลุมฝังศพมัยยิตเท่านั้น กล่าวคือ ท่านนบีก็ร่วมฝังมัยยิตของบรรดาเศาะหาบะฮฺ แต่ท่านนบีก็มิได้กล่าวอะไรแบบนั้น ยกเว้นศพลูกสาวของท่านนบีเท่านั้น ที่ท่านกล่าวเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้นักวิชาการบางส่วนมีทัศนะว่า ให้ผู้ที่มิได้หลับนอนกับภรรยามาเป็นขุดหลุมฝังศพให้แก่นางอุมมุกัลซูมเท่านั้น เนื่องจากให้เกียรติในฐานะลูกสาวของท่านนบี (วัลลอฮุอะอฺลัม)
[17] ท่านอบูฏ็อลหะฮฺ คือท่านซัยด์ บุตรของสะฮฺล์ อัลอันศอรีย์ อัลค็อซเราะญีย์, เขาเป็นบุคคลที่กล้าหาญมาก, ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านนบีมาโดยตลอด, เขาเคยสังหารศัตรูในสงครามหุนัยน์ถึง 20 คน, เขาเคยบริจาคสวนของเขาในทันที ขณะอายะฮฺอัลกุรฺอ่านที่ตรัสว่า “สูเจ้าจะไม่บรรลุถึงคุณธรรม จนกว่าสูเจ้าจะบริจาคในสิ่งที่สูเจ้ารัก (เสียก่อน)” (สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 92) ถูกประทานลงมา
[18] เหตุการณ์ข้างต้น บ่งชี้ให้ทราบว่า บุคคลที่มิใช่มะหฺร็อมของผู้ตาย สามารถขุดหลุมฝังศพสตรีที่แต่งงานกับเขาได้ เพราะท่านอบูฏ็อบหะฮฺมิได้เป็นมะหฺร็อมของนางอุมมุกัลซูมแต่อย่างใดไม่ ทว่าท่านนบีก็อนุญาตให้เขาทำหน้าที่ขุดหลุมฝังศพนาง, อนึ่ง หากผู้ขุดหลุมฝังศพเป็นมะหฺร็อมกับผู้ตาย นั่นถือว่า ประเสริฐที่สุด
[19] หะดีษเศาะหี้หฺ, หนังสือ “มุคตะเศาะรุชชะมาอิล” หน้า 172-173 หะดีษที่ 281