มารู้จักครอบครัวซัยตอนกันเถอะ เผื่อว่าเราจะได้ห่างไกลจากความชั่วร้ายของมันซัยตอน กล่าวว่า
มารู้จักครอบครัวซัยตอนกันเถอะ
เผื่อว่าเราจะได้ห่างไกลจากความชั่วร้ายของมันซัยตอน กล่าวว่า:
1.มุสลิมที่ได้ยินเสียงอาซานแต่ไม่รีบเร่งสู่การละหมาดเขาคือ บิดาของฉัน
2. มุสลีมะห์ ที่แสดงความโกรธ ในขณะที่มี แขกอยู่ในบ้านเขาคือ มารดาของฉัน
3. มุสลีมะห์ ที่ไม่สวมฮีญาบปกปิดเอารัต เขาคือ ภรรยา ของฉัน
4. บรรดาผู้คนที่ ฟุ่มเฟีอย กับสิ่งไร้ประโยชน์เขาคือ พี่น้องของฉัน
5. บรรดาผู้คนที่ กินอาหารโดยไม่กล่าว บิสมิลลาฮเขาคือ ลูกหลานของฉัน
โอ้ อัลลอฮได้โปรดให้เราห่างไกลจากครอบครัวซัยตอนที่ถูกสาปแช่งด้วยเถิด อามีน
ชัยฏอน หรือ ญิน หรือที่เรียกกันว่า ปีศาจนั่นเอง ช่วงแรกยุซรอมักเจอะเจอเจ้าชัยฏอนในความฝัน และได้ถามมันว่ารู้จักอัลลอฮ์ ไหมพวกมันบอกว่า อ๋อ ! ผู้ที่สร้างโลกใบนี้ใช่ไหมฉันไม่รู้จักหรอก เมื่อตื่นขึ้นยังนึกแปลกใจว่าทำไมถึงฝันไปได้ขนาดนั้น แต่มันทำให้ได้ข้อคิดว่าแม้แต่ชัยฏอนยังรู้ว่าพระองค์คือใคร แต่มันไม่ยอมรับเพราะมันต้องการหลอกลวงมนุษย์ต่อนั่นเอง ยุซรอจึงรำลึกถึงพระองค์ทันที พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นฟ้าและจักรวาล
“มัน(ชัยฏอน)กล่าวว่าด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ ” (Al-Quran 7:16)
ศาสนาอิสลามนั้นยอมรับการมีอยู่ของญินและสิ่งเร้นลับ แต่ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านั้น มุสลิมที่ไปข้องเกี่ยวหรือศรัทธากับสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการตั้งภาคีกับพระองค์เป็นการทำ“ชิริก” บุคคลนั้นต้องกล่าวคำปฏิญาณและปฏิบัติตนใหม่ แก้ไขและขออภัยกับพระองค์ด้วยความจริงใจเพื่อให้พระองค์ทรงยกโทษให้ และต้องไม่หวนกลับไปทำสิ่งนั้นอีกเพราะมันเป็นการหลอกลวงของชัยฏอนที่เสี้ยมสอนให้กับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และสิ่งเหล่านั้นได้อยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์อัลลอฮ์ ถ้ามุสลิมมีจิตใจที่เข้มแข็งละหมาดครบทุกเวลา ทุกวัน รำลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งไหนจะทำอันตรายมนุษย์ได้นอกจากได้รับการอนุมัติจากพระองค์ ที่จริงแล้วพี่น้องมุสลิมน่าจะเกรงกลัวอัลลอฮ์ มากกว่าที่จะกลัวชัยฏอนนะ เพราะนรกที่พระองค์ได้สร้างไว้ให้กับผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นมันน่ากลัวมากกว่ายิ่งนัก
“ แท้จริงชัยฏอนนั้น เพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิดหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา ”(Al-Quran 3:175)
ที่มา: www.islammore.com