วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ


60,108 ผู้ชม

วันนี้วันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.)....


วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

วันนี้วันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.)

เมาลิดนบี วันเกิดนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ปีช้าง

ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

การเกิดของนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)

ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกิดที่นครมักกะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่แถบตะวันออกกลาง เกิดเมื่อเวลาเช้าตรู่ของ วันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ปีช้าง ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.571 หรือ พ.ศ.1114 เมื่อท่านอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ทราบข่าวการเกิด จึงได้รีบไปเยี่ยมและได้ตั้งชื่อให้หลานชายว่า มุฮัมหมัด ผู้ได้รับการสรรเสริญ 

วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

เชื้อสายของนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)

บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮฺ เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ บุตรของฮาชิม บุตรของอับดุลมะนาฟ บุตรของกุศ็อย บุตรของกิลาบ มารดาของท่านชื่อ อะมีนะฮฺ บุตรของวะฮับ บุตรของอับดุลมะนาฟ บุตรของชุรอฮฺ บุตรของกิลาบ บิดาและมารดาของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นต้นตระกูลเดียวกัน หรือเผ่าเดียวกัน คือเผ่ากุเรช บิดาของท่านเสียชีวิตในขณะท่านอยู่ในครรภ์มารดา และต่อมามารดาของท่านก็เสียชีวิตอีก ในขณะที่ท่านมีอายุได้ 6 ปี ท่านศาสดาจึงได้ไปอยู่กับปู่ชื่อ อับดุลมุฏฏอลิบ 

เมื่อยังเป็นเด็กท่านเคยทำงานโดยมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงแกะ และได้เคยติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศซีเรีย 2 ครั้ง ครั้งแรกไปเมื่ออายุ 12 ปี ครั้งที่ 2 ไปเมื่ออายุ 25 ปี ในขณะที่ท่านมีอายุ 25 ปีนั้น ท่านไปทำงานอยู่กับท่านหญิงค่อดีญะฮฺ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการค้าในนครมักกะฮฺด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีไมตรีและมิตรภาพ ประกอบกับมีประสบการณ์ในเรื่องการค้าขายเมื่อสมัยที่ยังอยู่กับลุง จึงทำให้กิจการค้าของท่านหญิงค่อดีญะหฺได้เจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ 

แม่นมของศาสดา เมื่อท่านศาสดาเกิดได้ 2-3 วัน ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากสุวัยบะฮ์ ซึ่งเป็นแม่นมคนแรก สำหรับแม่นมคนที่ 2 คือ ฮาลีมะฮ์ อัซซะอ์ดียะฮ์ ซึ่งเป็นแม่นมโดยถาวร 
วัยเติบโตของท่านศาสดา ท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมไปด้วยความประเสริฐหลายด้าน เช่นความสัจจะ ความซื่อสัตย์ ท่านได้รับสมญานาม อัซซอดิก ผู้มีวาจาสัจจะ และ อัลอะมีน ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ 

การตายของบิดา อับดุลลอฮ์ บิดาของท่านศาสดาสิ้นชีวิต ขณะที่ท่านศาสดาอยู่ในครรภ์มารดา 2 เดือน 

การตายของมารดา อามีนะฮ์ มารดาของท่านศาสดาสิ้นชีวิต ขณะที่ท่านศาสดาอายุ 6 ปี 

การตายของปู่ อับดุลมุตตอลิบ ปู่ของท่านศาสดาสิ้นชีวิต ขณะที่ท่านศาสดาอายุ 8 ปี 

อาศัยอยู่กับลุง อบูตอลิบ ลุงของท่านศาสดาเลี้ยงดูท่านศาสดาด้วยความรักและเอ็นดู ท่านศาสดาเป็นเด็กฉลาด มีความประพฤติดีและขยัน ท่านช่วยลุงเลี้ยงแพะ แกะ และช่วยลุงทำงานหลายอย่าง

วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

การสมรสของนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)

ท่านได้รับการยกย่องและขนานนามว่า ” อัลอามีน ” แปลว่า ผู้ซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และการได้รับความไว้วางใจของท่านนี้เองทำให้ท่านหญิงค่อดีญะฮฺ ซึ่งเป็นนายจ้างของท่านได้ขอแต่งงานกับท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ 25 ปี ส่วนท่านหญิงค่อดีญะฮฺอายุได้ 40 ปี ซึ่งเป็นแม่หม้าย ท่านหญิงค่อดีญะฮฺได้สิ้นชีวิตลงก่อน ฮิจเราะฮฺประมาณ 3 ปีกว่า

ซึ่งขณะนั้นท่านศาสดามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีอายุ 50 ปีเต็ม ดังนั้นท่านทั้งสองจึงใช้ชีวิตร่วมกันไม่น้อยกว่า 25 ปี และตลอดเวลาอันยาวนานนั้น ท่านศาสดามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ ท่านหญิงค่อดีญะฮฺ ทั้งๆที่ในประเทศอาหรับขณะนั้นการมีภรรยาหลายคนจะเป็นเหตุการณ์ปกติหรือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญก็ตาม   

การเป็นศาสดา

ท่านศาสดามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับวะฮฺยู (วะฮียฺ) = Revalation = การดลใจหรือการรวบรัดดวงจิตโดยฉับพลัน จากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำว่า อิดเราะอฺ แปลว่า จงอ่าน ” จงอ่าน ด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้าง (สากลจักรวาล) ผู้ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และผู้อภิบาลของเจ้าทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่ง ” (96 : 1-3) 

ท่านได้รับวะฮฺยูหรือการดลใจหรือการแต่งตั้งให้เป้นศาสดาจากพระผู้เป็นเจ้า ในเดือนร่อมาฎอน ณ ถ้ำฮิรออฺ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 40 ปี 

การแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ท่านศาสดามุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งเป็นรอซู้ลหลังจากวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบีได้ 6 เดือน ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นรอซู้ลในเดือนรอบีอุ้ลเอาวัล ตรงกับ ค.ศ. 610 

การประกาศอิสลามอย่างลับๆ

พระผู้เป็นเจ้าทรงมีบัญชาให้ท่านศาสดามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประกาศอิสลามอย่างลับๆก่อน คือประกาศแก่ญาติผู้ใกล้ชิดเป็นประการแรก หญิงคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม คือ ท่านหญิงค่อดีญะฮฺ ภรรยาของท่าน ชายหนุ่มคนแรกที่รับอิสลามคือ ท่านอบูบักร เยาวชนคนแรกที่รับอิสลาม คือท่านอลี ซึ่งมีอายุเพียง 8-10 ปี ทาสคนแรก คือ ท่านซัยดฺ ซึ่งเป็นบุตรของฮาริซะฮฺ และต่อมาได้รับกรปลดปล่อยให้เป็นอิสระ การประกาศอิสลามอย่างลับๆ ได้กระทำมาเป็นเวลา 3 ปี สาเหตุที่ประกาศอย่างลับๆ นี้เพราะบรรดามุสลิมยังมีกำลังน้อยอยู่

การประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย

หลังจากที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้ประกาศศาสนาอย่างลับๆ เป็นเวลา 3 ปี แล้วก็ได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้ประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีผู้นับถืออิสลามยังไม่มากนัก ถือกำเนิดจากตระกูลกุร็อยส์ วงศ์ระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาจากนบีอิสมาอีล บุตร นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) 

การเดินทางไปต่างแดน ท่านศาสดาเดินทางไปค้าขายกับลุงที่ซีเรีย ขณะที่ท่านมีอายุเพียง 12 ปี ใน ระหว่างทางท่านได้พบกับบาทหลวงชื่อ บะฮีรอ ซึ่งกล่าวถึงความเป็นศาสดาของท่านในอนาคต

ร่วมสงครามฟุจญ้าร ครั้งที่ 1 และ 2 ท่านศาสดามุฮัมมัดเข้าร่วมทำสงครามระหว่างเผ่าในเมืองมักกะฮ์ขณะที่ท่านมีอายุ 15 ปี 

ร่วมขบวนการฟื้นฟู ฮิลฟุล ฟุดุ้ล ท่านศาสดาเข้าร่วมองค์กรช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นองค์กรของเยาวชน ในขณะที่ ท่านมีอายุ 16 ปี 

การเดินทางไปค้าขาย ท่านศาสดาเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียในฐานะพ่อค้า ท่านทำการค้าให้กับพระนางคอดีญะฮ์ ในขณะที่ท่านศาสดามีอายุ 23 – 24 ปี 

การตัดสินชี้ขาดด้วยชาญฉลาด ท่านศาสดามุฮัมมัดทำการตัดสินชี้ขาดกรณีขัดแย้งเกี่ยวกับการยกหินดำไปวางไว้ที่เดิม การแก้ปัญหาของท่านได้สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน ทำให้ทุกคนยอมรับในความเฉลียวฉลาดของท่าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ท่านมีอายุ 35 ปี 

การประทานวะฮีย์ครั้งแรก อัลลอฮ์ทรงประทานอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลอะลัก อายะฮ์ที่ 1 – 5 ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 17 เดือนรอมฎอนที่ถ้ำฮิรออ์เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงถึง การได้รับแต่งตั้งเป็นนบีของท่านศาสดามุฮัมมัด ในขณะที่ท่านมีอายุ 40 ปี 

วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

การละหมาดฟะญัรและอัสรี่ อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้ละหมาดฟะญัร เวลารุ่งอรุณ และอัสรี่ เวลาเย็นอย่างละ 2 ร็อกอะฮ์ นับตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูต 

ชาวกุร็อยส์ต่อต้านท่านศาสดา ปีที่ 3 – 5 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวกุร็อยส์ประชุมหารือ เพื่อขอร้องให้ลุงของท่านศาสดาอบูตอลิบช่วยบอกให้ศาสดาเลิกล้มการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม แต่ท่านศาสดาปฏิเสธข้อเสนอ ท่านกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะไม่ทิ้งงานเผยแผ่เป็นอันขาด จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงให้ได้รับชัยชนะหรือไม่ฉันก็พินาศไป แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเผยแผ่ของท่านศาสดา 

ชาวกุร็อยส์ต่อต้านอย่างรุนแรง ปีที่ 5 – 7 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวกุร็อยส์เริ่มทำร้ายบรรดาศอฮาบะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็นทาส พวกอ่อนแอซึ่งไม่มีคนคอยช่วยเหลือ 

การอพยพสู่อบิสสิเนีย เมื่อศาสดาเห็นบรรดาศอฮาบะฮ์ได้รับความทุกข์ทรมานและการทำทารุณ ท่านศาสดามุฮัมมัดสั่งให้ศอฮาบะฮ์อพยพไปอบิสสิเนีย – เอธิโอเปีย ในปีที่ 5 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล 

บุคคลสำคัญรับอิสลาม ท่านฮัมซะฮ์ บุตร อับดุลมุตตอลิบ และอุมัร บุตรค็อตต็อบ เข้ารับอิสลามในปีที่ 5 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ลต่อมาอัลลอฮ์ได้ให้อิสลามมีความเกรียงไกรด้วยการรับอิสลามของทั้งสอง 

การคว่ำบาตรท่านศาสดา ชาวกุร็อยส์ต่อต้านและคว่ำบาตร ไม่คบหาสมาคมกับท่านศาสดา ตระกูลบนูฮาชิมและบรรดาผู้ศรัทธา ในปีที่ 7 – 10 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล 

ปีแห่งความโศกเศร้า ปีที่ 10 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจากพระนางคอดีญะฮ์ผู้เป็นภรรยาและ อบูตอลิบผู้เป็นลุงที่ได้ให้การอุปการะได้สิ้นชีวิต 

การเผยแผ่ที่เมืองฎออิฟ ปีที่ 10 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ท่านศาสดาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่เมืองฎออิฟ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมักกะฮ์ แต่ก็ได้รับการปฎิเสธ 

การละหมาดฟัรดู อัลลอฮ์ทรงกำหนดการละหมาดฟัรดู 5 เวลาในขณะที่ท่านศาสดาเมี๊ยะรอจญ์ 

การเริ่มต้นของอิสลามที่มะดีนะฮ์ ปีที่ 11 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์ 6 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม 

สนธิสัญญาอัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ 1 ปีที่ 12 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์ 12 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญาอัลอะกอบะฮ์ครั้งที่ 1 โดยให้สัตยาบันว่าจะเคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว 

สนธิสัญญา อัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ 2 ปีที่ 13 ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ 2 โดยให้สัตยาบันว่าพวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่าน ศาสดาพร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะฮ์ที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะฮ์

ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์สู่มะดีนะฮ์ ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์โดยมีอบูบักรร่วมเดินทางไกลด้วย ระหว่างทางท่านได้สร้าง มัสญิดกุบาอ์ ซึ่งเป็นมัสญิดหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้น ท่านศาสดาเข้าเมืองมะดีนะฮ์ในวันศุกร์ ท่านได้ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น ซึ่งถือว่าเป็นการละหมาดวันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม เมื่อถึงเมืองมะดีนะฮ์ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาระหว่างชาวมุฮาญิรีน ผู้อพยพ กับชาวอันซ็อร ผู้ช่วยเหลือการอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์อิสลาม มุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า ฮิจญเราะฮ์ศักราช ( ฮ.ศ. ) ปีแห่งการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด

วันเกิดนบีมูฮัมหมัด 12 รอบีอุลเอาวัล ชีวประวัติ นบีมูฮัมหมัด ย่อ

บรรดาภรรยาของท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด

 ฉันเคยคิดว่าจะไม่เขียนถึงกรณีนี้ เพราะเห็นว่าไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกรณีในเรื่องปัญหา ปาเลสไตน์ หรือการก่อการร้อยการเมืองและเหตุการณ์ในปัจจุบันที่อิสลามเข้าไปเกี่ยวข้อง และยากที่จะเขียนออกมาออกมาแล้วจะไม่ถูกมองไปในแง่มุมต่างๆ แต่เรื่องนี้ก็มีคนกล่าวถึงบ่อยๆในกรณีต่างๆบางทีก็ในแง่สนุก หรืออย่างอื่น แต่ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ของท่านก็มีจริง 

“ท่านนบีมุฮัมหมัด ซ.ล. มีภรรยาหลายคนอันเป็นไปตามคำบัญชาของอัลเลาะฮ์ มิได้เกิดจากความมักมากทางกามรมณ์ หรือมีตัณหาราคะรุนแรงแต่อย่างใด ทั้งนี้ด้วยเหตุสองประการคือ 
1 ภาวะการมีภรรยาหลายคนของท่านนบีปรากฏขึ้น หลังจากที่ท่านบรรลุวัยชราแล้ว คือ ท่านอายุเข้าวัย 50 ปี 

2 บรรดาภรรยาทั้งหมดของท่าน เป็นหญิงหม้าย มีอายุล่วงเข้าสู่วัยชราเช่นเดียวกัน ท่านมีภรรยาที่เป็นสาวโสดเพียงท่านเดียว คือ นาง อาอิชะฮ์ รฎิยัลลอฮุอันฮา 

ดังนั้น การที่มีผูใส่ใคล้ว่า ท่านนบีแต่งงานเนื่องจากมีตัณหาราคะสูง หรือต้องการสนุกสนานในทางเพศจึงไม่เป็นจริงแต่อย่างใด ภรรยาของท่านนบีได้แก่ 

นางคอดีะฮ์ บินตุวัยลิด เป็นภรรยาคนแรกของท่านนบี ก่อนหน้าที่นางจะแต่งงานกับท่านนบี นางได้แต่งงานกับ ซะอด์ นางคอดีญะฮ์ มีบุตรกับ ซุอด์ 1 คน ต่อมาได้ถึงแก่กรรม…..ขณะแต่งงานท่านนบีอายุ 25 ปี นางคอดีญะฮ์ อายุ 40 ปี ท่านนบีอยู่กินกับนางเป็นเวลา 25 ปี ระหว่างที่นางมีชีวิตอยู่ ท่านนบีมิได้แต่งงานใหม่กับหญิงใดเลย จนกระทั่งนางถึงแก่กรรมขณะอายุได้ 65 ปี ท่านนบีอายุ 50 ปี 
นางอาอิชะฮ์ ฯ นางเป็นภรรยที่เป็นสาวโสดคนเดียวของท่านนบี (หลังจากที่นางคอดีญะฮ์จากไป) 

นางรอมละฮ์ บินตะ อบีซุฟยาน ……ก่อนหน้านั้นนางแต่งงานกับอับดุลเลาะฮ์ อิบนิญะฮซ์ ทั้งสองได้อพยพไปเอธิโอเปีย และอับดุลเลาะฮ์ ได้เข้ารีตเป็นคริสเตียน และได้ถึงแก่กรรมลง ส่วนนางปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาคริสต์ และยืนยันในการนับถืออิสลาม ท่านนบีจึงได้แต่งงานกับนาง 

นางมารียะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ซึ่ง มุเกากิส กษัตริย์อียิป์ ได้มอบให้เป็นของขวัญ 

บุตรของท่านนบีมี 7 คน ถึงแก่กรรมก่อนท่าน นอกจาก ฟาติมะฮ์ ซึ่งถึงแก่กรรมหลังจากที่ท่านนบีถึงแก่กรรมได้ 6 เดือน

ท่านศาสดาสิ้นนชีวิต

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า “วันนี้เป็นวันที่ฉันได้ทำให้ศาสนาสมบูรณ์สำหรับพวกท่านแล้ว เป็นวันที่ฉันได้ให้เนียะอฺมัตแก่พวกท่านอย่างครบถ้วนแล้ว และวันที่ฉันยินดีให้อิสลามเป็นครรลองในการดำเนินชีวิตของพวกท่าน”

มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า เมื่อโองการนี้ได้ถูกประทานลงมา ท่านซัยยิดินาอุมัรถึงกับร้องไห้ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พูดกับท่านอุมัรว่า “โอ้อุมัร เหตุใดท่านจึงร้องไห้” ท่านอุมัรกล่าวว่า “ฉันร้องไห้เพราะพวกเราได้รับทราบข้อมูลในเรื่องศาสนาเพิ่มเติม เมื่อศาสนาสมบูรณ์แล้วก็จะไม่มีสิ่งใด ๆ อีกนอกจากจะค่อย ๆ เสื่อมลง” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้บอกกับท่านอุมัรว่า “ความจริงเป็นอย่างที่ท่านเข้าใจ”

 มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาเมื่อตอนหลังละมาดอัสริของวันอารอฟะฮฺ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ในขณะที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังบำเพ็ญหัจญ์ครั้งสุดท้าย (หัจญ์วะดาอ์) ในขณะที่โองการนี้ถูกประทานลงมานั้น ท่านนบีวุกูฟอยู่บนหลังอูฐ ( หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาแล้ว ไม่มีโองการใด ๆ จากอัลกุรอานที่เกี่ยวกับข้อกำหนด (ฟัรฎู) ประทานลงมาอีก ) ท่านกล่าวว่า “ฉันมิอาจจะประคองตัวเพื่อรับความเข้าใจในความหมายของโองการนี้ได้ จึงนั่งประคองบนหลังอูฐ จนในที่สุดอูฐก็ต้องนอนลงกับพื้น” แล้วญิบรีล อะลัยฮิสลาม ได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับบอกว่า “โอ้มุฮัมมัด ท่านจงเรียกศ่อฮาบะฮฺของท่านมาชุมนุม และท่านจงบอกกับพวกเขาว่า ฉัน (ญิบรีล) จะไม่มาพบกับท่านอีกแล้วหลังจากวันนี้”

เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เดินทางกลับจากมักกะฮฺ สู่มะดินะฮฺ ท่านได้เรียกศ่อฮาบะฮฺของท่านมาชุมนุมกัน จากนั้นท่านก็อัญเชิญอัลกุรอานโองการนี้แก่บรรดาศ่อฮาบะฮฺ แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ญิบรีลได้แจ้งแก่ท่าน ปรากฏว่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺทั้งหมดต่างมีความปิติยินดีและกล่าวว่า “ศาสนาของเราสมบูรณ์แล้ว” ด้านท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ หลังจากที่ได้ฟังคำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้ว ท่านก็รีบเดินทางกลับบ้านปิดประตูใส่กลอน และอยู่ในนั้นตลอดวันตลอดคืน บรรดาศ่อฮาบะฮฺต่างก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของท่าน อบูบักรจึงได้ไปรวมตัวกันที่บ้านของท่าน

 พวกเขาได้ถามท่านอบูบักรว่า ท่านนั้นร้องไห้ด้วยสาเหตุใด ในขณะที่ทุกคนกำลังปิติยินดีที่อัลลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประกาศถึงความสมบูรณ์ของอิสลาม ท่านอบูบักรกล่าวว่า “โอ้บรรดามิตรสหาย พวกท่านไม่ทราบกันหรือว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกท่านไม่ได้ยินหรือว่า เมื่อสิ่งใดบรรลุสู่ความสมบูรณ์สูงสุดแล้ว นั่นย่อมหมายถึง หะซันและฮุเซ็น กำลังจะกำพร้า ( กำพร้าปู่ ) บรรดาภรรยานบีกำลังจะเป็นหม้าย” บรรดาศ่อฮาบะฮฺได้ฟังเช่นนั้นต่างก็พากันร่ำไห้ และเมื่อผู้คนได้ยินเสียงร่ำไห้นั้น จึงได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า “โอ้ท่าน ร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเราไม่ทราบว่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺเหล่านั้นร้องไห้กันเพราะเหตุใด ?” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนสี และรีบเดินไปยังบ้านของท่านอบูบักร ซึ่งท่านได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองจึงถามว่า “สาเหตุใดกันที่ทำให้พวกท่านร้องไห้”

 ท่านอะลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวตอบว่า “ฉันได้ยินท่านอบูบักรกล่าวว่า ฉัน(อบูบักร) ได้ยินโองการนี้บ่งบอกว่า ท่านใกล้ที่จะจากเราไปแล้วใช่ไหม ?” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “อบูบักรเข้าใจถูกต้องแล้ว” และกล่าวอีกว่า “ ใกล้จะถึงเวลาที่ฉันต้องพรากจากพวกท่านไปแล้ว” เมื่อท่านอบูบักรได้ยินคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ถึงกับร้องไห้โฮ…แล้วร่างของท่านก็ทรุดลงกับพื้น 

ทำให้ท่านอะลี และบรรดาศ่อฮาบะฮฺต่างก็ร้องไห้กันมากขึ้น และในการยืนยันของท่านนบี 

ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับความเข้าใจของท่านอบูบักรในครั้งนี้ ได้ทำให้ภูเขา , มวลมะลาอิกะฮฺบนฟากฟ้า , สรรพสัตว์ทั้งบนบก ในน้ำ และในอากาศต่างก็ร่ำไห้ หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้สัมผัสมือกับบรรดาศ่อฮาบะฮฺทุกคนพร้อมกับบอกอำลา พลางร้องไห้ และให้คำตักเตือน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีชีวิตอยู่หลังจากโองการนี้ถูกประทานลงมาเพียง 81 วัน

ก่อนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเสียชีวิตไม่นานนัก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขึ้นแสดงธรรมบนมิมบัร ท่านได้แสดงคุตบะฮฺพร้อมทั้งน้ำตาและหัวใจที่ยำเกรง ร่างกายของท่านนบี 

ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สั่นสะท้าน ท่านได้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ประพฤติดี และแจ้งข่าวร้ายแก่บรรดาผู้ประพฤติชั่ว มีรายงานจากท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะสิ้นชีวิต ท่านได้ใช้ให้บิลาลทำการอะซานเรียกบรรดาศ่อฮาบะฮฺมาละหมาด บรรดามุฮาญิรีน และชาวอันศอรก็ได้มาร่วมละหมาด 2 ร่อกะอัต พร้อมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่มัสญิด หลังจากนั้นท่านนบี 

ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขึ้นบนมิมบัรสรรเสริญอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วแสดงธรรม ซึ่งเป็น คุตบะฮฺที่สุดจะบรรยายด้วยหัวใจ และด้วยดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา ท่านกล่าวว่า “โอ้บรรดามุสลิมทั้งหลาย ฉันเคยเป็นนบีของพวกท่าน , เคยเป็นผู้ตักเตือนพวกท่าน , เคยเป็นผู้เชิญชวนพวกท่านสู่อัลลอฮฺ ซุบฮนะฮูวะตะอาลา ด้วยความปรารถนาดีของพระองค์ ฉันเคยเป็นประดุจพี่น้องที่คลานตามกันมากับพวกท่าน , ฉันเคยเป็นพ่อที่มีแต่ความรักและมีความปรารถนาดีต่อท่านทั้งหลาย ดังนั้นใครมีสิ่งที่ให้อภัยฉันไม่ได้ ขอได้โปรดเรียกร้องสิทธิของท่านกลับคืน ก่อนที่ฉันจะถูกพิพากษาในวันกิยามะฮฺ” ซึ่งก็ไม่มีใครทวงสิทธิใด ๆ จนกระทั่งท่านได้พูดถึงเรื่องสิทธิซ้ำถึงสามครั้ง

 ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งมีนามว่าอุกาซะฮฺ บิน มุอฺซิน ได้ออกมายืนต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า “หากท่านพูดในเรื่องสิทธิอย่างเมื่อครู่นี้ เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง ฉันก็จะทวงคืนในวันสงครามบะดัร อูฐซึ่งเป็นพาหนะที่ฉันได้ขี่อยู่เคียงข้างอูฐซึ่งเป็นพาหนะของท่าน ฉันได้ลงจากหลังอูฐเพื่อที่จะให้ร่างกายของฉันได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านให้มากที่สุด ทั้งนี้เพื่อที่ฉันจะได้สัมผัสบนขาอ่อนของท่าน เผอิญในวันนั้นท่านได้ยกแส้ขึ้นเพื่อตีอูฐให้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น แต่ปรากฏว่า แส้นั้นได้หวดลงบนหลังของฉัน ขณะนั้นฉันไม่ทราบว่า ท่านต้องการที่จะตีฉันหรือตีอูฐ”

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ฟังคำกล่าวของอุกาซะฮฺแล้ว ท่านยังกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือที่ 

ร่อซูลุลลอฮฺ จะใช้แส้ตีท่าน โอ้อุกาซะฮฺ” แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็สั่งท่านบิลาลว่า 

“โอ้บิลาล ท่านจงไปเอาแส้ที่บ้านของฟาติมะฮฺมาให้ฉัน” บิลาลได้เดินเอามือกุมศีรษะออกไปจากมัสญิดพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังจะถูกแก้แค้นหรือนี่ !” บิลาลจึงมาเคาะประตูบ้านฟาติมะฮฺ และแจ้งกว่าฟาติมะฮฺว่า “โอ้ฟาติมะฮฺ ฉันมาเอาแส้ของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ซึ่งบิดาของท่านจะเอาแส้ไปให้ตีเพื่อชำระความแค้น” ฟาติมะฮฺรำพึงว่า “ใครกันที่มีจิตใจจะแก้แค้นท่านร่อซูลุลลอฮฺ” แล้วบิลาลก็นำแส้จากฟาติมะฮฺเดินไปในมัสญิด และให้แก่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ เมื่อท่านรับแส้แล้วก็ส่งให้แก่อุกาซะฮฺ

เมื่อท่านอบูบักรและท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เห็นเหตุการณ์ ทั้งสองจึงได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “โอ้ อุกาซะฮฺ เราทั้งสองยืนต่อหน้าท่านแล้ว ขอท่านจงตีเราแทนท่านร่อซูลุลลอฮฺเถอะ ท่านอย่าได้ตีท่านร่อซูลุลลอฮฺเลย” ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า “อบูบักรและอุมัรท่านทั้งสองจงนั่งลง” อัลลอฮฺทรงรู้ดีในเจตนาของท่านทั้งสอง แล้วท่านอะลีก็ยืนขึ้นอีกและหันไปพูดกับอุกาซะฮฺว่า “ทั้งชีวิตของฉันฉันอยู่กับท่านร่อซูลุลลอฮฺมาโดยตลอด ขอให้ตีฉันแทนท่านร่อซูลุลลอฮฺเถิด นี่คือหลังและนี่คือท้องของฉัน จงตีฉันด้วยมือของท่าน” ท่านร่อซูลุลลอฮฺจึงกล่าวว่า “โอ้อะลี อัลลอฮฺทรงรู้ดีในเจตนาของท่าน” และท่านหะซันและฮุเซ็นได้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “โอ้ อุกาซะฮฺ ท่านก็รู้จักเราดีมิใช่หรือ ว่าเราทั้งสองเป็นหลานของท่านร่อซูลุลลอฮฺ” ท่านร่อซูลุลลอฮฺได้พูดกับหลานทั้งสองว่า “จงนั่งลงโอ้สุดที่รักของฉัน”

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “โอ้อุกาซะฮฺ ท่านจงตีฉันหากฉันได้ตีท่านในวันนั้น” 


อุกาซะฮฺ กล่าวว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ วันที่ท่านตีฉันนั้น ฉันไม่ได้สวมเสื้อ” และท่านร่อซูลุลลอฮฺ ก็ถอดเสื้อออก บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างส่งเสียงร้องไห้ และเมื่ออุกาซะฮฺได้เห็นความขาวของผิวกายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อุกาซะฮฺได้ก้มลงจูบ ที่กลางหลังของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นการไถ่ความผิด เพื่อวิญญาณของฉัน โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ จะมีใครหรือที่จะใจถึงในการล้างแค้นท่าน การที่ฉันได้ทำทุกอย่างไปก็เพื่อเรือนร่างของฉันจะได้สัมผัสกับเรือนร่างของท่าน ทั้งนี้ก็เพื่อพระผู้อภิบาล จะได้ปกป้องฉันให้คลาดแคล้วจากขุมนรก”

และทันใดนั้น ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “พึงทราบโดยทั่วกันเถิดว่า ใครปรารถนาที่จะเห็นชาวสวรรค์ก็จงมองบุรุษผู้นี้” ทำให้บรรดามุสลิมทั้งหลายต่างก็เข้ามากอดจูบระหว่างตาของ อุกาซะฮฺ และพากันกล่าวว่า สวรรค์เป็นของท่าน ท่านเป็นผู้บรรลุตำแหน่งอันสูงส่ง ตำแหน่งของผู้ที่อยู่กับท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในสรวงสวรรค์

ท่านอิบนุมัสอูด กล่าวว่า เมื่อใกล้เวลาที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะอำลาจากเราไป พวกเราได้รวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เหลียวมองดูพวกเราด้วยน้ำตา พร้อมทั้งกล่าวว่า “ขออัลลอฮฺทรงประทานความสุขให้แก่พวกท่านทั้งหลาย ฉันขอเตือนพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะต้องพรากจากกันแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับคืนสู่อัลลอฮฺ สู่สวรรค์อันเป็นสถานที่พำนักอันนิรันดร์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันขอให้อะลีเป็นผู้อาบน้ำศพของฉัน ให้อัลฟัดลุ บิน อับบาส และ อุซามะฮฺ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ ขอให้กะฝั่นฉันด้วยผ้าของฉันที่มีอยู่หากเป็นความประสงค์ของพวกท่าน หรือไม่ก็ด้วยผ้าสีขาวจากเยเมน และเมื่อพวกท่านได้อาบน้ำศพของฉันแล้ว พวกท่านจงวางศพของฉันไว้บนเตียงในบ้านของฉัน และขอให้พวกท่านปล่อยฉันตามลำพังสักระยะหนึ่ง พึงทราบเถิดว่า อัลลอฮฺคือผู้แรกที่ประทานเราะฮฺมะฮฺให้แก่ศพของฉันถัดไปก็ญิบรีล พร้อมด้วยมะลิกุลเมาต์ และมวลมะลาอิกะฮฺตามลำดับ จากนั้นให้พวกท่านเข้ามาละหมาดให้ฉันเป็นคณะ ๆ”

 เมื่อพวกเขาได้ยินว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังจะจากไป พวกเขาต่างก็ส่งเสียงร้องไห้ พลางรำพึงรำพันว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านคือร่อซูลของพวกเรา , ท่านคือดวงประทีปของพวกเรา , ท่านคือศูนย์รวมจิตใจของพวกเรา เมื่อท่านจากเราไป พวกเราจะพึ่งใคร” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันได้ทิ้งไว้ให้พวกท่านแล้วซึ่งทางที่สว่างไสว และได้ทิ้งไว้ซึ่งสองสิ่งที่เป็นข้อตักเตือนสำหรับพวกท่าน คือ อัลกุรอาน และ ซุนนะฮฺ และหากหัวใจของพวกท่านแข็งกระด้าง หรือดื้อดึง พวกท่านจงทำให้นิ่มนวลด้วยการพิจารณาถึงความตาย”

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ล้มป่วยในเดือนศ่อฟัร ซึ่งท่านป่วยอยู่เพียง 18 วัน อาการเริ่มแรกนั้นท่านปวดศีรษะ เมื่อถึงวันจันทร์ในต้นสัปดาห์ อาการป่วยของท่านก็เริ่มหนักขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่บิลาล ทำการอะซานซุบฮิ เมื่ออะซานเสร็จแล้ว บิลาลได้ไปยืนที่ประตูบ้านของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับให้สลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน โอ้ร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” ท่านหญิงฟาติมะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮฺกำลังพะวงอยู่กับตัวเอง” บิลาลจึงเดินเข้าไปในมัสญิด ด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าในคำพูดของท่านหญิงฟาติมะฮฺ

เมื่อใกล้อรุณรุ่ง ซึ่งหมายถึงเวลาซุบฮิจะจากไป บิลาลได้ไปยืนหน้าบ้านของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกครั้งหนึ่ง และได้กล่าวสลามเหมือนครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยินเสียงของบิลาล จึงได้กล่าวว่า “จงเข้ามาเถิดบิลาลเอ๋ย ขณะนี้ฉันกำลังพะวงอยู่กับตัวเอง อาการป่วยของฉันยิ่งทวีขึ้น โอ้บิลาล ท่านจงบอกให้อบูบักร นำละหมาดไปก่อน” บิลาลได้เอามือกุมศีรษะเดินออกจากบ้านของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พร้อมกับกล่าวว่า

“เราหมดหวัง โอ้แม่ของฉัน ทำไมแม่ต้องให้ฉันเกิดมาด้วย” เมื่อบิลาลเดินเข้ามาในมัสญิดอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้กล่าวแก่อบูบักรว่า “ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มีคำสั่งให้ท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำละหมาด ซึ่งในขณะนี้ท่านร่อซูลุลลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังพะวงอยู่กับตัวของท่านมาก” ท่านอบูบักรจึงได้ผินหน้าไปมองที่เมียะหฺรอบของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านมิได้เห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนทำหน้าที่ของท่านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ท่านอบูบักรถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น ไม่สามารถประคองตัวให้ยืนเพื่อทำหน้าที่แทนร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ ท่านร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ทำให้มุสลิมทุกคนที่รอการนำละหมาดจากท่าน อบูบักรต่างก็ได้ร้องให้ตามไปด้วย ความโกลาหลได้เกิดขึ้น เสียงร่ำไห้ระคนไปกับเสียงถามไถ่ถึงท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้มารอละหมาด จึงได้ถามท่านหญิง ฟาติมะฮฺว่า “นั่นเป็นเสียงร้องไห้จากที่ไหน” นางตอบว่า “นั่นเป็นเสียงของบรรดาพี่น้องมุสลิมที่รอการละหมาด เพราะวันนี้ พวกเขาไม่มีท่านทำหน้าที่นำการละหมาดให้แก่พวกเขา” 

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เรียกท่านอะลีและอัลฟัดลุ บิน อับบาส ให้เข้ามาใกล้ ๆ แล้วท่านก็ให้ทั้งสองช่วยพยุงร่างของท่านเข้าไปในมัสญิดเพื่อร่วมละหมาดซุบฮิในวันนั้นซึ่งตรงกับวันจันทร์

หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาด ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็หันมายังที่น้องมุสลิมพร้อมกับกล่าวว่า “โอ้พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย ขออำลาท่านทั้งหลาย ตามพระประสงค์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ วันนี้เป็นวันอาคิเราะฮฺวันแรกของฉัน และเป็นวันสุดท้ายแห่งดุนยาของฉัน” แล้วท่านก็ค่อย ๆ พยุงร่างของท่านเดินกลับบ้าน หลังจากนั้นอัลลอฮฺจึงทรงวะฮีย์ให้มะลิกุลเมาต์ลงมาพบท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยจำแลงร่างมาหาผู้เป็นที่รักของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หากร่อซูลุลอฮฺอนุญาตให้ท่านเข้าไปในบ้านแล้ว ก็จงเข้าไป แต่หากร่อซูลุลลอฮฺไม่อนุญาต ท่านอย่าได้เข้าไป และจงกลับมา แล้วมะลิกุลเมาต์ก็ลงไปโดยจำแลงกายเป็นชายอาหรับชนบท

เมื่อมะลิกุลเมาต์ไปถึง ท่านได้กล่าวสลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ครอบครัวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” แล้วกล่าวถามว่า “อนุญาตให้ฉันเข้าไปได้หรือไม่” ท่านหญิงฟาติมะฮฺ ตอบว่า “โอ้อับดุลลอฮฺ ( คือมะลิกุลเมาต์ ) ท่านร่อซูลุลลอฮฺกำลังป่วยหนัก” มะลิกุลเมาต์ ได้ให้สลามอีกครั้งในสำนวนเดิม ซึ่งในครั้งนี้ ร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านนหญิงฟาติมะฮฺว่าใครมา นางตอบว่า “ชายชาวชนบทผู้หนึ่งได้มาหาท่าน ซึ่งฉันได้บอกเขาแล้วว่าท่านป่วย ปรากฏว่าชายผู้นั้นได้เพ่งมองมายังฉันจนเนื้อตัวของฉันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว อีกทั้งหัวใจเต้นระรัว จนผิวกายของฉันเปลี่ยนสี” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามท่านหญิงฟาติมะฮฺว่า “ลูกรู้ไหม ว่าเขาผู้นั้นคือใคร” นางตอบว่า “ลูกไม่ทราบ” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงบอกนางว่า “เขาผู้นั้นคือผู้พิชิตความอร่อย ผู้สยบความอยาก ผู้ทำให้ต้องพลัดพราก ผู้ทำให้ครอบครัวอยู่ในอาการโศกเศร้า” ท่าหญิงฟาติมะฮฺร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางรำพึงรำพันออกมาว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลอฮฺ โอ้บิดา ท่านกำลังจะจากไปแล้วหรือ? วันนี้หรือที่เป็นวันซึ่งจะไม่มีวะฮีย์ประทานมาอีกแล้ว เป็นที่ท่านจะไม่พูดกับลูกอีกแล้ว เป็นวันที่ลูกจะไม่ได้ยินเสียงสลามจากท่านอีกแล้ว”

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านหญิงฟาติมะฮฺว่า “โอ้ลูกรัก ลูกอย่าร้องไห้ ลูกจะเป็นคนแรกจากครอบครัวของเรา ที่จะติดตามฉันไป” จากนั้นท่านก็อนุญาตให้มะลิกุลเมาต์เข้ามาหา มะลิกุลเมาต์ได้ให้สลามว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านเถิด โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ” 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตอบรับสลามว่า “และท่านก็เช่นเดียวกัน โอ้มะลิกุลเมาต์” แล้วท่านร่อซูลุลลอฮฺ ก็ได้เอ่ยถามมะลิกุลเมาต์ว่า “ท่านมาเพื่อเยี่ยม หรือมาเพื่อปลิดวิญญาณของเรา” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า “ทั้งเยี่ยม และปลิดวิญญาณหากท่านอนุญาต หากท่านไม่อนุญาตฉันก็จะกลับ”

ท่านร่อซูลุลลอฮฺได้ถามมะลิกุลเมาต์ว่า “ญิบรีลอยู่ที่ไหน?” มะลิกุลเมาต์ตอบว่า “อยู่บนฟ้าชั้นที่หนึ่ง ซึ่งบรรดา มะลาอิกะฮฺทั้งหลายกำลังทำการปลอบขวัญ และให้กำลังใจอยู่” สักครู่หนึ่งญิบรีล ก็ได้มานั่งเคียงข้างร่อซูลุลลอฮฺ ท่านได้ถามญิบรีลว่า “โอ้ญิบรีล ท่านรู้ไหมว่า ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น” ญิบรีลตอบว่า “ฉันรู้ดี โอ้ร่อซูลุลลอฮฺ” ท่านจึงได้ให้ญิบรีลบอกท่านถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบางขั้นตอนหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว ญิบรีลกล่าวว่า “ขณะนี้ประตูฟากฟ้าทุกชั้นเปิดหมดแล้ว มะลาอิกะฮฺทั้งหมดเข้ายืนรอรับดวงวิญญาณของท่าน อีกทั้งประตูสวรรค์ทั้งหมดก็เปิดอยู่

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ” แล้วจึงถามต่อไป “ประชาชาติของฉันจะอยู่ในสภาพใด หลังจากพวกเขาไม่มีฉันแล้ว โดยเฉพาะในวันกิยามะฮฺพวกเขาจะเป็นอย่างไร ?” ญิบรีล กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ศาสนทูตท่านใดก็ตามเข้าสวรรค์ก่อนท่าน และห้ามมิให้ประชาชาติของบรรดาศาสนทูตใดๆ เข้าสวรรค์ก่อนประชาชาติของท่าน” ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า “ขณะนี้ฉันสบายใจแล้ว” ท่านได้หันไปพูดกับมะลิกุลเมาต์ว่า “จงเข้ามาใกล้ ๆ ฉัน” มะลิกุลเมาต์ปฏิบัติตาม แล้วเริ่มถอดวิญญาณของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

เมื่อวิญญาณมาอยู่ตรงสะดือ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้พูดกับญิบรีลว่า “ฉันเจ็บเหลือเกิน” เมื่อญิบรีลได้ยินดังนั้น ถึงกับผินหน้าไปทางอื่น ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวแก่ญิบรีลว่า “ท่านไม่อยากมองหน้าฉันแล้วหรือ ?”ญิบรีลตอบว่า “โอ้ที่รักของอัลลอฮฺ ใครกันที่จะมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะมองหน้าท่านได้ ในขณะที่ท่านกำลังเจ็บปวดอย่างนี้” ท่านอนัส บิน มาลิก กล่าวว่า เมื่อวิญญาณของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เลื่อนมาอยู่ที่อก ท่านได้กล่าวตักเตือนเรื่องละหมาด และสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านครอบครอง ท่านได้พูดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งสิ้นเสียงของท่าน ท่านอะลีกล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระดิกริมฝีปากสองครั้ง ฉันก้มศีรษะลงฟังใกล้ ๆ ฉันได้ยินท่านพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ประชาชาติของฉัน ประชาชาติของฉัน” ท่านสิ้นชีวิตในวันจันทร์ ที่ 12 เดือน ร่อบิอุลเอาวัล หากจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนิรันดร์แน่นอนเขาผู้นั้นคือ 
ศาสนทูตมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

มีรายงานว่า ท่านอะลี ได้อุ้มท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขึ้นวางบนเตียงเพื่ออาบน้ำและขณะนั้นมีเสียงตะโกนมาจากมุมด้านหนึ่งว่า “ไม่ต้องอาบน้ำให้มุฮัมมัด เพราะมุฮัมมัดสะอาด” ท่านอะลีจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เพราะท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ใช้ได้ฉันอาบน้ำให้ท่าน” และทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นอีกมุมหนึ่งว่า “โอ้อะลี จงอาบน้ำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เถิด เสียงตะโกนครั้งแรกเป็นของอิบลีส มันอิจฉาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มันมีเจตนาที่จะให้ท่านอยู่ในหลุมศพในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ” ท่านอะลีกล่าวว่า “ขออัลลลอฮฺทรงประทานความดีแก่ท่านที่ได้แจ้งแก่ฉันว่าเสียงเมื่อครู่นั้นคือเสียงของอิบลีส ครั้งนี้จงแจ้งแก่ฉันเถิดว่าท่านเป็นใคร”

ท่านอะลี ได้รับคำตอบว่า “ฉันคือ คิฎิร ฉันมาร่วมพิธีศพของมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” แล้วท่านอะลีได้อาบน้ำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยมีอัลฟัดลุ บิน อับบาส และอุซามะฮ์ บิน เซด เป็นผู้ช่วยรดน้ำ

ญิบรีลได้นำเอาอุปกรณ์ กะฝั่น จากสรวงสวรรค์ และได้ทำการกะฝั่น ฝัง ณ ที่ห้องในบ้านของท่านหญิง อาอิชะฮฺ ในคืนวันพุธ ตอนสองยาม มีบางรายงานว่า ฝังคืนวันอังคาร โดยมีท่านหญิงอาอิชะฮฺยืนเคียงข้าง กุบูร พร้อมกล่าวว่า “โอ้ผู้ที่ไม่สวมใส่ผ้าไหม ผู้ที่ไม่เคยนอนบนที่นอน โอ้ผู้ที่จากดุนยาทั้งที่ชีวิตไม่เคยกินอาหารอิ่มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โอ้ผู้ที่เลือกเอาเสื่อแทนเตียงนอน โอ้ผู้ที่ไม่เคยนอนเต็มตื่นเพราะความกลัวที่มีต่อพระผู้อภิบาล”

เป็นที่ทราบกันดีว่าในอดีตนั้นชนชาติอาหรับเป็นชนชาติที่มีความเสื่อมโทรมทางด้านอารยะธรรมอย่างถึงที่สุด และใคร่กระหายในสงครามเป็นอย่างมาก จนกระทั่งอิสลามได้เข้ามา โดยการนำของท่านศาสดามูฮัมมัด ศ็อลฯ ศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่านได้นำสาส์นจากพระผู้เป็นเจ้ามาสู่มนุษยชาติ สาส์นที่มิใช่เพียงนิยายปรัมปราอย่างที่บรรดาผู้ปฏิเสธนั้นใส่ไคร้ แต่เป็นสาส์นอันยิ่งใหญ่ สาส์นที่เป็นพจนารถของอัลลอฮฺ อันเป็นสัจธรรมของชีวิต เป็นสิ่งที่บอกเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และยังได้บอกถึงวิทยาการต่างๆ อันเป็นที่มาของความรุ่งโรจน์ในอิสลาม ทำให้ท่านศาสดาสามารถเปลี่ยนแปลงชนชาติอาหรับจากชนชาติที่เคยอยู่ในจุดต่ำสุดของยุคสมัย มีแต่การกดขี่ ข่มเหง ให้กลายเป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง ความสงบสุข ความร่มเย็น และสิ่งนี้เอง ที่ทำให้ชาวโลกรับรู้ว่า อิสลามมิได้เป็นเพียงศาสนจักรเท่านั้น หากแต่เป็นอาณาจักรด้วย และนั่นจึงถือเป็นการเริ่มต้น อารยะธรรมอิสลาม อารยะธรรมแห่งสัจธรรม ธรรมในยุคสมัยของท่านศาสดาท่านนบีมูฮัมหมัด ( ซ.ล. )

 ที่มา: wipa2555.wordpress.com

อัพเดทล่าสุด