ฟิรเอาวน์ (ฟาห์โร)กับการเสียชีวิตกลางทะเล นี่คือเรื่องราวที่เลวทราม ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจะต้องจารึกไว้
ฟาห์โร กับ การเสียชีวิตกลางทะเล
“ และเราได้ให้บะนีอิสรออีลข้ามทะเลพ้นไป ดังนั้น ฟิรเอาวน์ (ฟาห์โร) และพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขา(บนีอิสรออีล)ไปโดยอธรรม และเป็นศัตรูจนกระทั่งเมื่อการจมน้ำได้ประสบกับเขา
เขากล่าวว่า ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากผู้ที่วงศ์วานอิสรออิลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม
บัดนี้ และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา” (Al-Quran 10: 90-92)
- อ่าน ฟิรเอาน์ สัญลักษณ์หนึ่งจากบรรดาผู้ฝ่าฝืน
- อ่าน เรื่องราวของ นางมาซีเตาะฮฺ หญิงรับใช้ฟาโรห์
- อ่าน ปาฎิหารย์แห่งอิสลาม มัมมี่ ฟาร์โรห์ และการรับอิสลามของแพทย์ผู้โด่งดังชาวฝรั่งเศส
Dr. Maurice Bucaille เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของฝรั่งเศส เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ การเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นของเขา ทำให้เขาได้รับการติดต่อให้ทำการศึกษามัมมี่ของ Merneptah (Pharaoh) ที่ถูกค้นพบขึ้น ซึ่งเขาได้ตัดสินใจรับคำเชิญดังกล่าว
และในระหว่างการเยือนประเทศซาอุดิอาระเบียนั้น เขาได้รับทราบข้อมูลในอัลกุรอาน ในโองการที่อัลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าร่างที่ไร้วิญญาณของฟาห์โรจะถูกรักษาไว้ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือสิ่งเตือนใจแก่ชนรุ่นหลัง แน่นอนข้อมูลดังกล่าวนี้ สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากแก่นักวิทยาศาสตร์อย่าง Dr. Maurice Bucaille ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิล
ในส่วนที่เกี่ยวกับฟาห์โรที่ได้ตายจากการถูกกลืนด้วยทะเลในสมัยของศาสดาโมเสส ที่เขาแปลกใจเพราะมันไม่เคยได้รับการยืนยันมาก่อนในเรื่องราวถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับการตายดังกล่าว นักวิชาการศาสนาบางท่านยังเกิดความสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องราวการตายของฟาห์โรที่ถูกกลืนไปในทะเลนั้นอาจจะเป็นเพียงนิทาน แต่ในทางกลับกัน เขากลับพบว่า อัลกุรอานนั้น
1. ยืนยันถึงเรื่องราวการตายของฟาห์โรในยุคของศาสดาโมเสสว่า ตายจากการถูกกลืนลงไปในทะเล
2. สัญญาว่าร่างอันไร้วิญญาณของฟาห์โร (มัมมี่) จะถูกนำขึ้นมา
3. มัมมี่ดังกล่าวจะกลายเป็นสัญลักษณ์ เป็นสิ่งเตือนใจต่อชนรุ่นหลัง
4. แต่เรากลับไม่รู้ตัว
เรื่องราวของกษัตริย์ฟาห์โร ลูกชายของ Rameses II (ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์)ท่านนี้ เสียชีวิตจากการถูกกลืนลงไปในทะเล หลังจากพยายามตามล่าศาสดาโมเสสและผู้ติดตามชาวบะนีอิสรออีลในตอนนั้น ในยุคที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องราวของฟาห์โรท่านนี้ เราจะไม่พบข้อมูลเดียวกันนี้ที่ไหนเลยยกเว้นในคัมภีร์ไบเบิล ที่ได้กล่าวใน Exodus ไว้ว่า
“and the waters returned, and covered the Chariots, and the horsemen, and all the host of Pharaoh that came into the sea after them; there remained not so much as one of them”
(Exodus 14:28)
สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ ในส่วนของการตายของฟาห์โร ที่ได้กล่าวใว้ในอัลกุรอานว่า
“ ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา” (Al-Quran 10: 92)
เรื่องราวเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศพของฟาห์โรในรูปของมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบนั้น ไม่เคยทราบและไม่เคยค้นพบมาก่อน ทั้งๆ ที่ข้อมูลดังกล่าวถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานนานกว่า 1400 ปีมาแล้ว เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้นที่ความจริงดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นให้เห็นต่อสายตาประชาคมโลก ในปี ค.ศ. 1898 ศาสตราจารย์ Loret
คือท่านแรกที่ค้นพบร่างมัมมี่ของฟาห์โรยุคศาสดาโมเสส 3000 กว่าปีที่ผ่านมา ศพของฟาห์โรนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าอยู่ภายในสุสานของ Necropolis ณ Thebes ซึ่งเป็นที่ที่ ศาสตราจารย์ Loret ค้นพบและได้ทำการวิจัยตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
ในปี ค.ศ. 1912 การวิจัยของเขายืนยันว่า ฟาห์โรดังกล่าวเป็นฟาห์โรที่น่าจะรู้จักศาสดาโมเสส สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากยุคของฟาห์โรท่านนี้ ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์ มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์และเป็นสิ่งเตือนใจแก่หมู่มนุษย์
ในปี ค.ศ. 1975 Dr. Maurice Bucaille ได้ทำการวิจัยศพของฟาห์โรท่านนี้เพิ่มเติม การค้นพบของเค้าสร้างความมั่นใจให้เขาสามารถป่าวประกาศออกไปอย่างดีใจและประหลาดใจว่า “สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลที่พิสูจน์ได้ทางหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคัมภีร์ทางศาสนา จะค้นพบถึงอุทาหรณ์ที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของฟาห์โร ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการเยือนห้องเก็บศพมัมมี่ ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ เมืองไคโร” และที่สำคัญในส่วนของข้อความที่ว่า
“...และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา “ (Al-Quran 10:92)
คงไม่ทำให้เราประหลาดใจเกินไปหากได้สังเกตถึงอากัปกิริยาของผู้เข้าชมมัมมี่ดังกล่าวที่ไม่มีความตระหนักถึงความเป็นจริงที่แฝงอยู่ในร่างมัมมี่นั้นเลย นอกเสียจากความสนุกสนานและความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการชมของโบราณชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้นเขาทำการศึกษาอัลกุรอานเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ จนในที่สุด เขาได้ข้อสรุปว่า อัลกุรอาน เป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากมนุษย์ จนทำให้ในที่สุดเขาตัดสินใจ เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
เรื่องราวบางตอนจากอัลกุรอ่าน
เมื่อมูซาและสมัครพรรคพวกของท่านได้เดินทางมาถึงชายฝั่งทะเล ซึ่งวงศ์วานอิสรอเอลทราบแล้วในขณะนั้นว่า ฟิรเอาน์กำลังนำกองทัพตามหลังพวกเขามา พวกเขาเลยตื่นตระหนก และพูดกับมูซาว่า (พวกเราจะถูกจับได้) อัชชูอารออฺ อายะห์ ที่ 61
มูซาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า (ไม่หรอก แท้จริงพระเจ้าของฉันอยู่กับฉัน พระองค์ทรงชี้แนะทางแก่ฉัน)
อัลลอฮ์กล่าวว่า (ดังนั้น เราได้ดลใจให้มูซาว่า จงฟาดทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า แล้วมันก็ได้แยกออก แต่ละข้างมีสภาพเหมือนภูเขาใหญ่)
ซึ่งมูซาและสมัครพรรคพวกของท่านได้เดินผ่านรอยแยกดังกล่าวนั้น ในขณะเดียวกันกองกำลังทหารของฟิรเอาน์ตามหลังพวกเขามาจนถึงชายทะเล
และเห็นทะเลแยกออกจากกันก็กล่าวว่า
“ทะเลได้แยกออกจากกัน เนื่องจากเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของฉัน” ฟิรเอาน์และกองกำลังของเขาก็เดินผ่านรอยแยกนั้นตามหลังมูซาไปจนถึงกึ่งกลางของทะเล ในขณะที่กลุ่มของมูซาได้เดินไปถึงอีกฝั่งแล้ว ทันใดนั้น น้ำทะเลที่เคยแยกออกจากกันก็มาบรรจบกันในสภาพเดิมกลืนกินพวกเขาไปอยู่ใต้น้ำ ซึ่งขณะนั้นฟิรเอาน์เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่า ตัวเองจะต้องจมน้ำตาย ก็เลยกล่าวว่า
(ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากผู้ซึ่งวงศ์วานอิสรออีลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือคนหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม) ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 90
อนิจจา การขออภัยโทษในขณะที่คับขันและไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้นั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรแก่ผู้ขอเลย และอัลลอฮ์ก็มิได้ทรงรับการร้องขอของเขา
* จากท่านอิบนิอับบาส รายงานจากท่านนาบี (ซ.ล)ว่า “ญิบรีลกล่าวว่า หากท่านเห็นฉัน จะรู้ว่าฉันเป็นคนนำดินโคลนขึ้นมาจากท้องทะเล และฉันนำไปอุดปากชองฟิรเอาน์ เพราะกลัวว่า เขาจะได้รับความเมตตาของอัลลอฮ์”
อัลลอฮ์กล่าวตอบคำปฏิญาณของฟิรเอาน์ว่า (บัดนี้และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นคนหนึ่งที่บ่อนทำลาย ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆ ของเรา) ซูเราะห์ยูนุส อายะที่ 91-92
ด้วยความประสงค์ของพระองค์ที่จะนำร่างของฟิรเอาน์ออกมาไม่ให้สูญหายจมอยู่ใต้น้ำ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นร่างของเขาจนถึงวันกียามะห์ เพื่อให้พวกเราได้พิเคราะห์พิจารณา นำมาเป็นบทเรียนว่าอัลลอฮ์คือผู้ตัดสินในทุกการกระทำ และพระองค์ไม่ได้ชักช้าในการลงโทษ
นี่คือเรื่องราวที่เลวทราม ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจะต้องจารึกไว้
ชมคลิป ร่างศพฟาห์โรที่เป็นศัตรูโมเสส