
ซูเราะห์อาลิอิมรอน ที่ต่อจากญุซที่ผ่านมา มีหลากหลายเรื่องราว ที่พระองค์ทรงบอกกล่าว
สรุปความ อัล-กุรอาน ญุซที่ 4
ซูเราะห์อาลิอิมรอน ที่ต่อจากญุซที่ผ่านมา มีหลากหลายเรื่องราว ที่พระองค์ทรงบอกกล่าว ... ส่วนหนึ่งในนั้น :-
____________________
อาลิ อิมรอน : 92
____________________
เริ่มต้นด้วยการบริจาคทาน ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า เขาจะไม่ได้ความดีใดๆ เว้นเสียแต่จะได้ให้สิ่งที่เขานั้นหวงแหนออกไป
________________
อาลิ อิมรอน : 93
____________________
จากนั้น กล่าวถึงบนีอิสรออีล ที่ครั้งหนึ่ง อัลลอฮทรงอนุมัติให้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด (แต่ในชารีอัต นบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ซึ่งเราเป็นอุมัตของท่านนั้น มีบางอย่างถูกสั่งห้าม)
_________________
อาลิ อิมรอน : 96
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวถึง กะอ์บะฮ์ ที่เป็นบ้านหลังแรกสำหรับการทำอีบาดัตสำหรับมนุษย์ (ซึ่งพระองค์ทรงสั่งให้มลาอีกัตสร้าง หลังจากที่ท่านนบีอดัม(อ.ฮ.) ลงมาบนโลก) ซึ่งเป็นบ้านที่มักกะฮ์ เป็นสถานที่ที่ถูก ให้มีความจำเริญ
___________________
อาลิ อิมรอน : 98
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวถึง บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทางนำแล้ว หากแต่ไม่ศรัทธา ปฏิเสธมัน ผินหลังให้มัน หรือแม้กระทั่งกระทำการขัดขวาง ผู้ศรัทธา อัลลอฮ์ทรงรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ อัลลอฮ์จะไม่ทรงมองข้ามการกระทำใดๆเด็ดขาด
__________________
อาลิ อิมรอน : 102
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงสั่งใช้ ให้เรานั้นยำเกรงต่อพระองค์ อย่าตายในฐานะผู้ฝ่าฝืน แต่จงตายในฐานะผู้นอบน้อมศรัทธาเท่านั้น
__________________
อาลิ อิมรอน : 103
____________________
จงรักผู้ศรัทธาดั่งพี่น้อง ยึดสายเชือกเดียวกัน จงรำลึกถึงความเมตตาของพระองค์ คนที่เป็นศัตรูอาจจะผันเปลี่ยนมาเป็นมิตรแท้ หากพระองค์ทรงเปิดใจ (อายัตนี้มีให้เห็นมากมาย ทุกยุคสมัย เช่นในสมัยท่านนบี ศัตรูหลายคนที่เคยคิดสังหารท่าน คือผู้ที่ได้รับทางนำ และกลายมาเป็นบรรดาซอฮาบัตที่ประเสริฐนั่นเอง)
(( อายัตนี้ลงมา พูดถึงเรื่องราวของชาวยิว 2 เผ่า ในนครมาดีนะฮ์ คือ เอาว์ซ และ ค็อซร็อตญ์ ที่ประหัตประหารฆ่าฟันกันมานาน .. กระทั่งชายหนุ่มจาก 2 เผ่านี้ รู้สึกเอือมระอา .. และในขณะนั้น เรื่องราวของท่านนบีมูฮัมหมัด (ศอลฯ) ที่มักกะฮ์ ก็เป็นที่รู้กันไปทั่ว .. พวกเขาจึงตัดสินใจไปมักกะฮ์ เพื่อพบท่าน
และเป็นที่มาของการเข้ารับอิสลามครั้งแรก ของชาวยัษริบ (ชื่อเดิมของนครมาดีนะฮ์) ซึ่งก็จะเป็นที่มาของการวางแผนช่วยเหลือท่านนบี (ศอลฯ) ฮจเราะฮ์ไปยังมาดีนะฮ์
หลังจากฮิจเราะฮ์มา .. ณ ที่ มาดีนะฮ์นี้ มีผู้เข้ารับอิสลามอย่างมากมาย .. อายัตนี้กล่าวถึง 2 เผ่านี้ ที่ทะเลาะกันฆ่ากันมานาน .. แต่ด้วยอิสลาม พวกเขาวางทิฐิ ความเคียดแค้นทั้งหมด และจับมือเป็นพี่น้องกัน ในฐานะ ชาวอันศอรนั่นเอง ))
__________________
อาลิ อิมรอน : 104
____________________
จากนั้นพระองค์ทรงกล่าว ถึงภารกิจของเรา ผู้ศรัทธา ว่าให้เชิญชวนผู้คนสู่การทำดี ชอบด้วยธรรม และจงห้ามปราม จากการทำความชั่ว และพวกเขาเหล่านี้แหละ คือผู้ที่จะได้รับชัยชนะ
__________________
อาลิ อิมรอน : 106
____________________
พระองค์กล่าวเตือนสติเราถึงผลการกระทำ ในวันที่จะมีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีใบหน้าขาวนวล ผ่องใส กับอีกกลุ่ม ที่มีใบหน้า ขุ่นมัว หมองคล้ำ พระองค์จะทรงตรัสถามถึงบุคคลที่มีใบหน้าขุ่นมัวว่า พวกเจ้าศรัทธาแล้ว เหตุใดถึงปฏิเสธมันผินหลังให้มัน.. และพระองค์ ก็ทรงเตรียมการลงโทษอันเจ็บแสบ รอพวกเขาไว้
ในขณะที่อีกกลุ่มที่มีใบหน้าผ่องใสนั้น พวกเขาจะได้อยู่ในความเมตตาของพระองค์ ตลอดกาล
__________________
อาลิ อิมรอน : 109
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวถึงทุกสรรพสิ่ง ในชั้นฟ้าและแผ่นดินนี้ ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
__________________
อาลิ อิมรอน : 110
____________________
ได้กล่าวถึง เรา ผู้ซึ่งเป็นประชาชาติที่ดีที่สุด สั่งใช้ผู้คนให้กระทำความดี และห้ามปรามกันจากการทำความชั่ว และศรัทธาต่ออัลลอฮ พระองค์ยังกล่าวถึงประชาชาติชนชาวคัมภีร์ ที่หากพวกเขาศรัทธาแล้ว จะดีสำหรับพวกเขา แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขานั้น กลับเป็นผู้ฝ่าฝืน
__________________
อาลิ อิมรอน : 112
____________________
ซึ่งพระองค์ก็ยังกล่าวถึงผู้ฝ่าฝืนนี้ ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะแต่อย่างใด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ศรัทธา พวกนี้จะทำได้เพียงหนีกลับไป อัลลอฮ์ทรงประทานความยากจน แร้นแค้นแก่พวกเขา เพราะความดื้อดึง และชอบทำการละเมิด หรือแม้แต่เคยสังหาร นบีของอัลลอฮ (เช่น ท่านนบีซะกะรียา(อ.ฮ.) และ ท่านนบียะฮ์ยา(อ.ฮ.) ที่ถูกสังหารโดยหนึ่งจากวงศ์วานอิสรออีล ในขณะนั้น)
__________________
อาลิ อิมรอน : 113-114
____________________
แต่ในบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์เหล่านั้น ก็มีผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง ละหมาด และสูญูดต่ออัลลอฮอย่างนอบน้อม พวกเขาเหล่านี้ คือผู้ที่ได้รับการตอบแทน อย่างดีเลิศ
__________________
อาลิ อิมรอน : 116
____________________
พระองค์ ยังทรงกล่าวถึง ทรัพย์สินต่างๆ ลูกหลานหรือทายาท หาได้มีประโยชน์ใดๆ ไม่สามารถลดหย่อนโทษของอัลลอฮที่จะลงโทษผู้กระทำผิดในวันแห่งการพิพากษาได้
และแน่นอน ผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น จะคงอยู่ในนรก ตลอดกาล
__________________
อาลิ อิมรอน : 117
____________________
ยังทรงเปรียบ ผู้ที่บริจาค โดยไม่บริสุทธิ์ใจ ดั่งเรือกสวน ที่มีลมเย็นจัดที่พัด และทำลายจนสิ้น ไม่มีค่าใดๆ อัลลอฮทรงกล่าวว่าพระองค์ ไม่ได้ทรงอธรรมใคร หากแต่พวกเขาต่างหาก ที่อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง (ทำผิด รับผลกรรมที่ก่อเอง)
__________________
อาลิ อิมรอน : 119-120
____________________
พระองค์ยังกล่าวถึงคนบางกลุ่ม ที่ต่อหน้านั้นทำดี ลับหลังนั้นตรงกันข้าม เขาจะมีความสุข เมื่อเราพบความทุกข์ กลับกัน เขาจะทุกข์ใจ หากเรามีความสุข .. บรรดาผู้มีหัวใจกลับกลอก และแน่นอน อัลลอฮทรงรู้ ในใจคน
__________________
อาลิ อิมรอน : 122
____________________
จากนั้น ทรงกล่าวถึงสมรภูมิอูฮุด (ปี ฮ.ศ.3) ที่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ .. ในกองทัพมุสลิมที่รู้สึกอ่อนแอนั้น อัลลอฮทรงกล่าว ว่าพระองค์จะทรงคุ้มครอง และจง มอบหมาย ตะวักกัลต่ออัลลอฮเถิด
__________________
อาลิ อิมรอน : 124-125
____________________
จากนั้น พระองค์ ยังได้ทรงกล่าวถึงสมรภูมิบะดัร (สงครามแรกของมุสลิมกับกุฟฟารมักกะฮ) ที่พระองค์ทรงส่งความช่วยเหลือ บัญชาแก่มลาอีกัต จำนวน 3000 ตน มาช่วยเหลือในสมรภูมินี้ และหากพวกเจ้าอดทนและยำเกรง พระองค์ก็ส่งมลาอีกัตมาเป็นกองกำลังสนับสนุน อีก จำนวน 5000 ตน .. นี่เป็นข่าวดี เพื่อให้หัวใจผู้ศรัทธานั้น ได้สงบ (และเป็นชัยชนะของมุสลิมครั้งแรกในที่สุด)
__________________
อาลิ อิมรอน : 130
____________________
พระองค์ ยังทรงกล่าวถึง ผู้ที่กินดอกเบี้ย ว่าจะถูกลงโทษในไฟนรกอันเจ็บปวด
__________________
อาลิ อิมรอน : 133
____________________
ในขณะที่ผู้ศรัทธา และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ และสำนึกตนนั้น จะได้รับการตอบแทนเป็น สรวงสวรรค์ของพระองค์ ซึ่งความกว้างของมัน คือชั้นฟ้าและแผ่นดินรวมกัน (แค่ฟ้าชั้นที่ 1 หรือก็คือจักรวาลที่เราเห็นนั่น มนุษย์ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย)
__________________
อาลิ อิมรอน : 134
____________________
พระองค์ ทรงรัก ผู้ที่บริจาคแม้ในยามที่เขาทุกข์ หรือเขาสุข ผู้ที่พยายามข่มตัวเองไม่ให้ทำชั่ว (การไม่ทำชั่ว ถือเป็นผลบุญ) และผู้ที่ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
__________________
อาลิ อิมรอน : 136
____________________
ทรงรัก ผู้ที่รู้ว่าตนทำผิด และสำนึกตนอย่างมากมาย พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษ และได้รับการตอบแทนเป็นสรวงสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยแม่น้ำไหลริน ... ช่างเป็นการตอบแทนที่ดีเลิศหาสิ่งใด เทียบมิได้
__________________
อาลิ อิมรอน : 137
____________________
พระองค์ยังทรงให้เรา มองดูประชาชาติรุ่นก่อนๆ ที่ปฏิเสธศรัทธา เขาประสบพบกับบั้นปลายชีวิตอันน่าอดสูอย่างไร (เรียนรู้ เพื่อเป็นข้อพึงสังวร)
__________________
อาลิ อิมรอน : 139-140
____________________
(ซึ่งอายัตนั้นลงมาในช่วงสมรภูมิอูฮุด ที่มุสลิมเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก มีซอฮาบัต ชาฮีดไป 70 ศพ ฟันของท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) หลายซี่ได้หัก เรียกว่าสถานการณ์กดดันถึงขีดสุด อัลลอฮทรงกล่าวเพื่อปลอบใจ ว่าผู้ปฏิเสธศรัทธา สุดท้ายจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงตามด้วยอายัต)
พระองค์ทรงกล่าวแก่ผู้ศรัทธา ว่าจงอย่าท้อแท้ และจงอย่าเสียใจ แท้จริง พวกเจ้าเป็นผู้สูงส่ง... อัลลอฮทรงสัญญาอีก ว่าหากพวกเจ้าได้รับบาดแผลหนึ่ง พวกเขา ก็จะได้รับบาดแผลเช่นกัน
และแน่นอน ผู้ที่อดทน หรือ ญีฮาด หรือ ชาฮีด ในหนทางของอัลลอฮนั้น พระองค์ทรงรับรู้อย่างแน่นอน ... พระองค์ทรงเตรียมสิ่งตอบแทนอันแสนวิเศษ ไว้อย่างแน่นอน
__________________
อาลิ อิมรอน : 144
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวถึงท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ที่ท่านเป็นรอซูลคนหนึ่งเท่านั้น ดังเช่นอีกหลายท่านที่ล่วงลับไปแล้ว หากท่านได้เสียชีวิต หรือถูกสังหาร อัลลอฮทรงถาม ว่าพวกเจ้า จะปฏิเสธ(ทางนำนี้)กระนั้นหรือ (เป็นการกล่าวถึงท่านนบีว่าท่านเป็นเพียงมนุษย์เช่นเรา หากแต่ท่านนั้นมีเกียรตินั่นเอง และย้ำเตือนผู้ที่คิดจะออกจากแนวทางอันเที่ยงตรงนี้)
__________________
อาลิ อิมรอน : 145
____________________
ความตายนั้น เป็นการอนุมัติจากอัลลอฮ ไม่มีความตายใดที่นอกเหนือจากการอนุมัตินี้
__________________
อาลิ อิมรอน : 146
____________________
พระองค์ ยังทรงกล่าวถึงบรรดานบี ที่ทำหน้าที่ของตน ประสบพบกับความไม่ศรัทธาของผู้คน แต่พวกท่าน หาได้ตอบโต้ไม่ ไม่ใช่ยอมสยบ แต่พวกท่านนั้นอดทน และอัลลอฮ ทรงรักผู้อดทน
__________________
อาลิ อิมรอน : 147
____________________
พวกท่านจะวิงวอนต่ออัลลอฮ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษ ในความผิดของข้าพระองค์ด้วยเถิด โปรดทรง ทำให้เท้าของพวกข้าพระองค์นั้นมั่นคง (ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน) และได้โปรดช่วยเหลือพวกข้าพระองค์ ให้มีชัย เหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิด..
__________________
อาลิ อิมรอน : 149
____________________
อัลลอฮทรงเตือน ว่าหากเชื่อในการปฏิเสธศรัทธา พวกเขานั้นย่อมขาดทุนแน่นอน.. พระองค์ทรงกล่าวว่า พระองค์คือผู้ช่วยเหลือ ที่ดีที่สุดจากหมู่ผู้ช่วยเหลือทั้งหลาย
__________________
อาลิ อิมรอน : 152-156
____________________
จากนั้น พระองค์ก็กล่าวถึง สมรภูมิอูฮุด ที่มุสลิมกลุ่มหนึ่งละเมิดคำสั่ง ...
((กล่าวถึงสมรภูมิอูฮุด ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ได้ให้พลธนู ขึ้นไปประจำการ บนเนินเขา รุมมาฮ์ (หรือชื่อ เนินเขา อัยนัยน์) ซึ่งเป็นเนินเขา ณ เชิงเขาอูฮุดนั้น ... เมื่อกุฟฟารมักกะฮ์มาถึงโดยการนำของ คอลิด อิบนุ อัลวาลีด(แน่นอน ตอนนั้นยังไม่เข้ารับอิสลาม) มาถึง ก็เปิดฉากโจมตี จนกองทัพกุฟฟารต้องถอยทัพไป .
พลธนูส่วนใหญ่ ที่เห็นว่า มุสลิมชนะแล้ว จึงลงไปรีบเก็บทรัพย์สินของพวกทหารกุฟฟาร พวกเกราะ พวกดาบและอื่นๆ โดยไม่สนคำสั่งท่านนบี ที่ให้ตั้งมั่นตรงนี้ เหลือเพียงพลธนู 10 นายเท่านั้นที่ไม่ได้ลงไป และนั่น.. เปิดโอกาสให้ คอลิด นำทัพกุฟฟาร อ้อมมา ลอบขึ้นมาโจมตี ยึดที่มั่นนี้
ส่งผลให้มุสลิมถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก กองทัพเริ่มระส่ำระส่าย ท่านนบีถูกรุมโจมตี แถมมีข่าวแว่วมา ว่า ท่านนบีถูกสังหาร ยิ่งทำให้กำลังใจของมุสลิมนั้นแตกกระเจิง แต่ท่านยังไม่ตาย มีซอฮาบัตที่คอยสู้ข้างกายท่านอยู่ แน่นอนว่ารายละเอียดนั้นมีอีกมาก .. สุดท้ายสงครามจบลง ด้วยบทเรียนราคาแพง ของมุสลิมผู้ศรัทธา))
อัลลอฮทรงบอกว่า พระองค์ทรงทำให้บรรดามุสลิม ประสบกับความโศกเศร้า ความระส่ำระส่าย เพื่อว่าในภายภาคหน้า พวกเขาจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ และไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากใดๆ
จากนั้น พระองค์ก็ประทานความปลอดภัยให้พวกเขาได้งีบหลับ ... และพระองค์กล่าวถึงพวกมุนาฟิกกลับกลอก ที่ขี้ขลาดในการออกศึก พวกนี้ถึงอยู่ในบ้าน หากอัลลอฮจะทรงให้ตาย ก็ไม่มีอะไรขวางได้
__________________
อาลิ อิมรอน : 157
____________________
และแน่นอน ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ตายในหนทางของอัลลอฮนั้น ย่อมได้รับรางวัลตอบแทนอันมากมาย
__________________
อาลิ อิมรอน : 159
____________________
อัลลอฮยังทรงกล่าว ด้วยความเมตตาของพระองค์นั้น ท่านนบีของเราจึงมีความอ่อนโยน สุภาพ ไม่ประพฤติหยาบช้า หรือหัวใจแข็งกระด้าง (พวกชอบบอกว่า "ถึงปากร้ายแต่ใจดี" หรืออะไรประมาณนี้ สิ่งนี่ไม่เป็นความจริง หัวใจที่ดี มากับ มารยาทที่ดี ต่างหาก นี่ เป็นหลักฐานอย่างดี) ทำให้ผู้คนเข้าหาท่าน อัลลอฮทรงให้ท่าน อภัยให้แก่คนเหล่านั้นถึงความผิดเถิด และจงมอบหมายทุกอย่างแก่พระองค์
เพราะพระองค์ ทรงรัก ผู้ที่มอบหมายตน (ตะวักกัล) ต่อพระองค์
__________________
อาลิ อิมรอน : 160
____________________
พระองค์ยังได้กล่าว (เรียกว่าเป็น ยิ่งกว่าคำให้กำลังใจ) ว่าหากพระองค์ ประสงค์จะช่วยเหลือใครแล้ว ก็จะไม่มีสิ่งใดมาทำร้ายเขาได้ ... ในขณะเดียวกัน หากพระองค์ ประสงค์จะทอดทิ้งใครแล้ว ก็จะไม่มีใครหรืออะไร ช่วยเหลือเขาได้
((อัลลอฮุอักบัร))
__________________
อาลิ อิมรอน : 162-163
____________________
อัลลอฮทรงตรัสถาม (เพื่อให้เราคิด) ว่าเราคิดว่า คนที่ปฏิบัติตามความพึงพอพระทัยของอัลลอฮนั้น จะมีสถานะเท่าเทียม กับผู้ที่นำความโกรธกริ้วกลับไปยังพระองค์หรือ???
(กลุ่มหลังคือ พวกกระทำผิด อัลลอฮโกรธพวกเขา เหมือนพวกเขา เป็นสิ่งที่อัลลอฮทรงโกรธ ทรงกริ้ว เมื่อเขาตายไป กลับสู่อัลลอฮ ก็คือนำความโกรธกลับไป หาพระองค์ นั่นเอง)
แน่นอน ที่อยู่ของพวกนี้ คือนรก ญะฮันนัม
__________________
อาลิ อิมรอน : 165
____________________
จากนั้น พระองค์ยังกล่าวถึง สมรภูมิอูฮุดอีก ว่ามุสลิมประสบภัย (มีคนตาย) ซึ่งเป็นภัยที่มุสลิมได้ให้ไว้แก่พวกกุฟฟารเป็น 2 เท่า ในสมรภูมิ บะดัร ก่อนหน้า .. และมีคนกล่าวว่า ทำไมเราถึงตายกันไปมากขนาดนี้
(( สงครามอุฮุด ที่มุสลิมขาดเสถียรภาพ นำมาซึ่ง ชะฮีด 70 ศพ แต่ก่อนหน้านั้น ในสงครามบะดัรที่มุสลิมเพรียบพร้อมนั้น ได้นำความปราชัยแก่พวกกุฟฟาร โดยพวกนั้น เสียชีวิตในสนามรบไป 70 ศพ และถูกนำมาเป็นเชลยอีก 70 คน ... ))
พระองค์จึงกล่าว แก่ท่านนบี ให้กล่าวว่า มันเป็นเพราะพวกเจ้าเอง
(สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮทรงทดสอบผู้ศรัทธา หรือผู้ที่บอกว่าตนศรัทธา หากพระองค์ให้มุสลิมชนะโดยง่ายดาย ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่นี้ จะทำให้ผู้ที่บอกว่าตัวเองศรัทธานั้น รู้ว่า ความศรัทธาที่ตัวเองบอกนั้น มันอ่อนแอแค่ไหน)
__________________
อาลิ อิมรอน : 169
____________________
และบรรดาผู้ที่ตายชะฮีดนั้น ก็ไม่ได้ตายอย่างแท้จริง หากแต่ยังคงมีชีวิต อยู่ในความเมตตาของพระองค์ มีความสุข ในการตอบแทนของพระองค์ นั่นเอง
__________________
อาลิ อิมรอน : 175
____________________
จากนั้น อัลลอฮได้ทรงกล่าวถึง ชัยฏอน ว่าแท้จริง มันไม่ได้น่ากลัว มันทำได้แค่ขู่ ให้ผู้ที่ตามมันเท่านั้น กลัว ...ซึ่งพระองค์ยังกล่าวว่า พวกเจ้าจงกลัวข้าเถิด หากเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
__________________
อาลิ อิมรอน : 177
____________________
พระองค์กล่าวถึง พวกปฏิเสธศรัทธา ว่าพวกนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใดๆกับอัลลอฮทั้งนั้น พระองค์ยังคงสูงส่ง ในขณะเดียวกัน พวกนั้น เตรียมรอรับการลงโทษอันแสนเจ็บปวดได้เลย
__________________
อาลิ อิมรอน : 178
____________________
และพวกนั้นอย่าคิด ว่าที่อัลลอฮยังไม่เอาชีวิตไป ที่อัลลอฮยังคงประวิงเวลาให้นั้น เป็นการดีสำหรับเขา แต่ที่จริง พระองค์ทรงประวิงเวลา ยืดชีวิตออกไป เพื่อให้พวกนี้สะสมความชั่ว ความผิด และจะจัดการลงโทษทีเดียว อย่างมากมายในวันแห่งการพิพากษา
__________________
อาลิ อิมรอน : 180
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวถึง ผู้ที่ขี้เหนียว (จากริสกีที่อัลลอฮทรงประทานให้) ... คงคิดว่ามันดีแล้ว แต่ที่จริง มันเลวร้ายยิ่งนัก และสิ่งนี้ จะเป็นตราบาปเขาในวันกียามัต และพระองค์ยังกล่าว ว่าสำหรับพระองค์นั้น มรดกมากมายทั้งในชั้นฟ้า และแผ่นดิน และพระองค์ ทรงรู้ในทุกสิ่งอย่าง ที่เขากระทำ
__________________
อาลิ อิมรอน : 181
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวถึงผู้ที่คิดว่า พระองค์นั้น เป็นผู้ยากจน ส่วนเขานั้นเป็นผู้มั่งมี ... อัลลอฮทรงจารึกคำพูดของพวกเขาไว้
__________________
อาลิ อิมรอน : 182
____________________
และการที่พวกเขา ได้สังหารนบีของอัลลอฮ หลังจากที่อัลลอฮทรงประทานทางแห่งสัจธรรมแล้ว พวกนี้ จะได้รับการลงโทษอย่างแสนสาหัสอย่างแน่นอน
__________________
อาลิ อิมรอน : 185
____________________
จากนั้น จะเป็นอายัตที่หลายคนมักได้ยินกัน "กุลลุ นัฟซิน ซา อีกอตุล เมาวต์ ..." นี่เป็นการยืนยัน ว่าทุกชีวิต จะประสบกับความตาย .. ใครประกอบความดีก็จะได้รับรางวัลอย่างครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง ห่างไกลจากไฟนรก และเข้าสู่สวรรค์ของพระองค์
ทั้งพระองค์ยังย้ำเตือน ว่าสิ่งของบนโลกดุนยานี้ หาได้ใช่อื่นใด นอกจากเป็นสิ่ง ประดับประดา หลอกลวงเท่านั้น.
ซึ่งพระองค์ได้มอบทรัพย์สิน ทรัพย์สมบัตินั้น เพื่อเป็นบทสอบแก่พวกเจ้า
__________________
อาลิ อิมรอน : 189
____________________
อัลลอฮทรงกล่าวต่อไป ว่าพระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินมา นั้น เป็นสัญญาน แก่ผู้มีสติปัญญา .. ซึ่งพวกเขาจะศรัทธาและใคร่ครวญและกล่าวว่า พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งเหล่า โดยไม่ไร้สาระ มหาบริสุทธิ์พระองค์ ได้โปรดคุ้มครองข้าพระองค์ จากการลงโทษในไฟนรกด้วยเถิด
__________________
อาลิ อิมรอน : 200
____________________
จากนั้น ซูเราะฮ์ อาละ อิมรอน ที่เดินทางกันมาอย่างยาวนาน 2 ค่ำคืน ก็ได้จบลง ด้วยอายัตที่พระองค์ ทรงกล่าวแก่ผู้ศรัทธา ว่า จงอดทน จงมีความอดทนซึ่งกันและกัน และจงประจำอยู่ชายแดน (หมายถึง เพื่อตอบโต้ศัตรูที่หวังเข้ามารุกราน) และพึง เกรงกลัวอัลลอฮเถิด เพื่อว่าพวกเจ้านั้น จะประสบกับความสำเร็จ นั่นเอง
จากนั้น จะเป็นซูเราะฮ์ ที่ 4 อันนีซาอ์ (จะเป็นอีกหนึ่ง ซูเราะฮ์ที่หลายคนจดจำ โดยเฉพาะคนเรียนแบ่งมรดก หรือ ฟารออิฎ นั่นเอง)
ส่วนหนึ่งจากซูเราะฮ์นี้
__________________
อันนีซาอ์ : 1
____________________
เริ่มต้นซูเราะฮ์ ... อัลลอฮ์ทรงกล่าวให้ มนุษยชาติ จงยำเกรงต่อพระองค์ ... พระองค์ผู้ทรงบังเกิดมนุษย์ จากเพียงคู่หนึ่ง (ท่านนบีอดัม(อฮ.) และท่านหญิงฮาวา) และจากคนเพียงคู่เดียว มีลูกมีหลาน จนมากมายเป็นมนุษยชาติ ทั้งชาย และหญิง .. และพระองค์นั้นทรงมองดูเราเสมอ
__________________
อันนีซาอ์ : 2
____________________
จากนั้นพระองค์ กล่าวถึงเด็กกำพร้า ว่าจงให้ทรัพย์ของเขาแก่เขา ห้ามกินทรัพย์สินนั้น เพราะเป็นบาปใหญ่
__________________
อันนีซาอ์ : 3
____________________
พระองค์ยังกล่าวถึง บทบัญญัติชารีอัต ที่พระองค์ทรงอนุญาต ให้ผู้ชายนั้น มีภรรยา 4 คน (เพียงแค่อนุญาต หาใช่การบังคับ) แต่ *** หากผู้ชายคนนั้น ไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ "จง" มีเพียง 1 เท่านั้น
__________________
อันนีซาอ์ : 11-12
____________________
จากนั้น จะเข้าสู่ชารีอัตการแบ่งมรดก (ที่ละเอียดมาก นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความเป็นธรรมนูญของชีวิต ของอัลกุรอ่าน)
อัลลอฮทรงกล่าว ว่า ผู้ชายและผู้หญิงนั้น มีสิทธิได้รับสิ่งที่คนตายทิ้งไว้หรือมรดก ด้วยอัตราส่วนที่ถูกกำหนดไว้ รายละเอียดที่พระองค์กล่าว เช่น
"ผู้ชาย มีสิทธิ์รับ มรดก เป็น 2 เท่า ของ ผู้หญิง"
(เช่น ถ้ามีลูกชาย 1 ลูกสาว 1 และไม่มีใครอื่น ต้องแบ่งมรดกเป็น 3 ส่วน ชาย 2 หญิง 1)
"ถ้ามี เฉพาะลูกสาว 2 คน จะได้ 2/3 (สองส่วนสาม) "
(เช่น ผู้ตายเหลือ ลูกสาว 2 กับ พ่อตัวเอง ลูกสาว ได้ 2/3 พ่อได้ที่เหลือ จึงแบ่งมรดกเป็น 3 ส่วน ได้คนละ 1)
"ถ้ามี เฉพาะลูกสาว แค่คนเดียว จะได้ 1/2"
"ถ้า (คนตาย) มีพ่อแม่ พวกเขาจะได้ 1/6 ถ้า (คนตาย) มีบุตร"
(เช่น คนตาย มีแม่ มีลูกชาย 1 คน แม่ได้ 1/6 และลูกได้ที่เหลือ คือ 5 ส่วน)
"แต่ถ้า (คนตาย) ไม่มีบุตรแล้ว แม่ (คนตาย) จะได้ 1/3"
(เช่น คนตาย มีพ่อ มีแม่ ไม่มีลูก แม่ได้ 1/3 พ่อได้ที่เหลือ คือ 2 ส่วน)
ซึ่งพระองค์ยังกล่าวอีกว่า สิ่งเหล่านี้จะกระทำได้ หลังจากที่จัดการพินัยกรรม หรือหนี้สินทั้งหมดแล้ว
(หลักการแบ่งมรดก เมื่อมีคนตาย ทรัพย์สินคนตายนั้น จะเป็น ไปตามขั้นตอนดังนี้ :-
ขั้นที่ 1 ค่าจัดงานศพ
ขั้นที่ 2 จ่ายหนี้สิน
ขั้นที่ 3 ทำตามพินัยกรรม (คือ คำสั่งเสียก่อนผู้ตายจะตายลง และทรัพย์สินที่ผู้ตายสามารถจัดสรรมากสุดได้เพียง 1/3 ของทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้น หากก่อนตายเขียนว่าจะยก "ทั้งหมด" ให้ ... ในทางปฏิบัติจริง คนๆนั้น จะได้เพียง 1/3 ของทั้งหมดที่เหลือนี้เท่านั้น อัลลอฮทรงทำเช่นนี่ เพื่อให้มีผลประโยชน์ตกทอดแก่ทายาทด้วย เพื่อความเป็นธรรม)
เมื่อจัดการทั้ง 3 ขั้นเสร็จ ทรัพย์สินเหลือเท่าไหร่ นั่นแหละ ถึงจะมาแบ่งมรดก ซึ่งเป็นขั้นที่ 4 กัน)
ในอายัตช่วงนี้ พระองค์ทรงใช้คำเศษส่วนชัดเจน
- นิศฟ์ (1/2)
- ซูลุซ (1/3)
- ซูลุซาน (2/3)
- รุบุอ์ (1/4)
- ซุดุซ (1/6)
- ซุมุน (1/8)
ในการแบ่งมรดก มีเพียง 6 แบบนี้ที่เป็น อัตราส่วนชัดเจน
(จากรายละเอียดที่พระองค์ทรงกล่าวอีก เช่น)
"ผู้ตายที่มี สามี เขาจะได้ 1/2 ถ้าไม่มีบุตร ได้ 1/4 ถ้ามีบุตร"
(เช่น คนตาย มีสามี มีลูกชาย 1 ลูกสาว 1 สามี 1/4 ลูกชายลูกสาว ได้รวมกัน คือที่เหลือ 3 ส่วน แบ่งจากกองนั้น ชาย 2 หญิง 1)
"ผู้ตายที่มี ภรรยา เธอจะได้ 1/4 ถ้าไม่มีบุตร ได้ 1/8 ถ้ามีบุตร"
(เช่น คนตาย มีภรรยา 3 คน ลูกชาย 2 คน ภรรยาทั้ง 3 นั้นจะได้ 1/8 รวมกัน แล้วจึงแบ่งอีกครั้ง เป็น 3 ส่วนย่อย ให้คนละส่วน ... อีก 7/8 นั้น ยุบทั้งหมดเป็นกองเดียว และแบ่งให้ลูกชาย คนละ 1 ส่วน จากกองนั้น)
__________________
อันนีซาอ์ : 13
____________________
และพระองค์ทรงกล่าว ว่านี่ เป็นบทบัญญัติจากพระองค์ เป็นขอบเขตที่พระองค์ กำหนดไว้ เป็นคำสั่งจากพระองค์ แน่นอน พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ และทรงหนักแน่น
__________________
อันนีซาอ์ : 14
____________________
แน่นอน ผู้ใดฝ่าฝืน พระองค์ ทรงเตรียมไฟนรก แก่เขาผู้นั้นอยู่แล้ว ...
__________________
อันนีซาอ์ : 15
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าว ถึงผู้ที่บอกว่า หญิงคนหนึ่งนั้นกระทำผิดประเวณี ให้เขาหาพยานมายืนยัน 4 คน (หาไม่แล้ว นี่เป็นการใส่ร้ายที่ร้ายแรง และเป็นบาปใหญ่) และโทษของคนซีนา คือการขังในบ้านจนกระทั่งเสียชีวิต หรืออัลลอฮทรงชี้นำทางเธอคนนั้น)
(ซึ่งโทษการขังจนตายนี้ ก็จะถูกยกเลิกไปด้วนอายัตในซูเราะฮ์อันนูร ที่ให้โบยคนซีนา 100 ทีนั่นเอง)
__________________
อันนีซาอ์ : 16
____________________
หากใครประพฤติบาป แล้วกลับตัวด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาจะได้รับการให้อภัยจากอัลลอฮ แท้จริง พระองค์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเมตตาเสมอ
__________________
อันนีซาอ์ : 18
____________________
แต่อัลลอฮยังได้กล่าวกับคนบางคน ที่คิดค่อยกลับใจ ตอนความตายใกล้เข้ามา ตอนนี้ยังไม่เป็นไร ก็จะกระทำบาปต่อไปว่า คนเหล่านั้น จะไม่ได้รับการอภัยโทษ นั้น และพระองค์ทรงเตรียม การลงโทษ ไว้สำหรับคนเหล่านี้แล้ว
__________________
อันนีซาอ์ : 20
____________________
พระองค์ยังได้กล่าวถึงการหย่าร้าง ว่าหากฝ่ายชายที่ให้สินสอด ค่าเลี้ยงดูต่างๆ มากมายให้แล้ว เมื่อหย่ากัน ห้ามเรียกร้องสิ่งนั้นกลับคืนมา
__________________
อันนีซาอ์ : 21
____________________
พระองค์ทรงตรัสถาม พวกเจ้าจะเอามันคืนได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าได้แนบกาย (นอนร่วม) กับเธอแล้ว และพวกนาง ก็ได้เอาคำสัญญาหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วย
__________________
อันนีซาอ์ : 22-23
____________________
จากนั้นก็จะเป็นบัญญัติสั่งห้ามจากอัลลอฮ ห้าม (ผู้ชาย) แต่งงานกับ ผู้หญิงที่แต่งงานกับบิดาของตน (ห้ามแต่งกับแม่เลี้ยงนั่นเอง แม้ผู้หญิงคนนั้นจะหย่า หรือบิดาตนตายไปแล้ว)
และญุซ 4 นี้ ก็จะจบลง ด้วย บรรดาผู้หญิง ที่เป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย ที่จะแต่งงานกับพวกนาง
((สมมติตัวเอง เป็น ผู้ชาย .. ใครบ้างที่เราแต่งงานไม่ได้))
1. หญิง ที่เคยแต่งงาน กับพ่อของเขา
2. แม่ (และเหนือขึ้นไป ยาย ทวด)
3. ลูกสาว (และที่ลงมา หลานสาว เหลนสาว)
4. พี่สาว น้องสาว
5. น้า ป้า (พี่สาวน้องสาวพ่อ)
6. น้า ป้า (พี่สาวน้องสาวแม่)
7. ลูกสาว ของ พี่ชาย น้องชายเจ้า
8. ลูกสาว ของ พี่สาว น้องสาวเจ้า
9. แม่นม
10. ลูกสาวของแม่นม
11. แม่ ของภรรยา
12. ลูกติด ของภรรยา (หากหลับนอนกับภรรยาแล้ว)
(แต่หากแต่งงานกับ ผู้หญิงคนนี้ที่มีลูกติด และยังไม่หลับนอน และหย่ากับนาง เพื่อไปแต่งงานกับลูกของนาง ถือว่าได้)
13. ภรรยา ของลูก
14. แต่งกับผู้หญิง 2 คนที่เป็นพี่น้องกัน
เหล่านี้ เป็นบทบัญญัติที่ระบุ ในญุซนี้ นั่นเอง
บทความที่น่าสนใจ