
ซูเราะห์อัลอันฟาล ต่อจากญุซที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้
สรุปความ อัล-กุรอาน ญุซที่ 10
ซูเราะห์อัลอันฟาล ต่อจากญุซที่ผ่านมา ... ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ดังนี้ :-
__________________
อัลอันฟาล 41
__________________
(( ยังอยู่กันในเรื่องสินสงคราม )) อัลลอฮทรงบัญญัติ ให้สินสงครามที่ได้มานั้น ให้เเบ่ง 1/5 นั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ และรอซูล บรรดาญาติใกล้ชิด เด็กกำพร้า ผู้ขัดสน และนักเดินทาง
(( และอีก 4/5 นั้น แจกจ่ายมูญาฮีดีนที่เข้าร่วมสงคราม ))
(( กล่าวถึงสมรภูมิบะดัร สงครามแรกของมุสลิมกับบรรดากุฟฟารมักกะฮ์
อาบูญะฮัล นั้น เคียดแค้น จงเกลียด จงชัง ท่านนบีอย่างที่สุด .. มันพยายามระรานท่านนบีตลอดเวลา .. ส่งกองกำลังเล็กๆ เป็นกลุ่มโจรไปปล้นสะดม รอบๆเมืองมาดีนะฮ์
พวกมันเสริมทัพของมันให้แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยอาวุธมากมาย พร้อมรบตลอดเวลา
กองคาราวานหนึ่งของพวกมัน ที่ขนอาวุธกำลังกลับมาจาก ดินแดน ชาม (ซีเรีย) ผู้นำกองคาราวานนั้นคือ อบูซุฟยาน (ซึ่งแน่นอนในตอนนั้นยังไม่เข้ารับอิสลาม) กำลังจะเดินทางกลับไปยังมักกะฮ์
ข่าวกองคาราวานนี้ รู้ไปยังบรรดามุสลิมที่มาดีนะฮ์ .. เมื่อสืบไปสืบมา รู้ว่าเป็นอาวุธ ที่จะเอาไว้ใช้ทำสงคราม ทำร้ายมุสลิม .. ท่านนบี จึงจัดกองทัพ จำนวน 313 คน ไปเพื่อหวังโจมตีกองคาราวานนี้
ฝ่ายกองคาราวาน เมื่อรู้ข่าวว่า กองทัพมุสลิมออกจากเมืองมา จะเปลี่ยนเส้นทางเดิน ไปเลียบทะเลแดง
ทางฝ่ายกองทัพใหญ่กุฟฟารมักกะฮ์ เมื่อรู้ข่าว อาบูญะฮัล จึงรีบจัดกองทัพยาตราออกไปทันที โดยมีกองกำลังมากถึง 1000 คน
มีทหารม้า 100 นาย มีอูฐ 700 ตัว ที่ขนอาวุธมากมายบนหลัง ( ไม่แปลกที่จะมีสินสงครามมากมาย จากสงครามครั้งนี้ )
เมื่อฝ่ายมุสลิม (ที่มีม้า 2 ตัว อูฐ 70 ตัว) มาถึง ตำบลหนึ่ง ที่ชื่อ บะดัร ซึ่งอยู่ทาง ตะวันตกเฉียงใต้ ของ มาดีนะฮ์ จึงรู้ว่า ฝ่ายที่ตนต้องปะทะ หาใช่กองคาราวานเล็กๆอีกต่อไป แต่เป็นทัพใหญ่จากมักกะฮ
ท่านนบีจึงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้า ซอฮาบัต สรุปได้ว่าต้องสู้ ท่านจึงให้ทุกคน พร้อมรบ
ในการเผชิญหน้ากันครั้งแรก
ตามธรรมเนียมสงคราม จะต้องส่งตัวแทนมาประลองฝีมือกัน
[มุสลิม] ปะทะ [กาฟิร]
ท่านฮัมซะฮ์ อิบนุ อับดุลมุฏฏอลิบ (ร.ฎ.)
ปะทะ อุตบะฮ์ อิบนุ อัรรอบีอะฮ์
ท่านอุบัยดะฮ์ อิบนุ อัลฮาริษ (ร.ฎ.)
ปะทะ ชัยบะฮ์ อิบนุ อัรรอบีอะฮ์
ท่านอาลี อิบนุ อาบีฏอลิบ (ร.ฎ.)
ปะทะ วาลีด อิบนุ อุตบะฮ์
เรียกว่า 3 คนจากพวกมักกะฮ์นี่ ตัวทำดาเมจรุนแรงดีๆเลย .. โดยเฉพาะ วาลีดนี่ คนหนุ่ม เลือดร้อน นักรบแกร่ง... กองทัพมักกะฮ์โห่ร้อง ฮึกเหิมสุดๆ
วาลีด เปิดก่อน ท่านอาลีตาม .. ฟันกันฉับสองฉับ ท่านอาลีฟันวาลีด ขาด ตาย!! (อุตส่าห์ปูมาอย่างดี)
..... เงียบ .....
ทางฝ่ายท่านฮัมซะฮ์ ก็สังหาร อุตบะฮ์
ทางฝ่ายท่านอุบัยดะฮ์ พลั้งถูก ชัยบะฮ์ฟัน ... ท่านอาลีเห็นจึงรีบเข้าไปช่วย สังหาร ชัยบะฮ์ ตาย.
ท่านอุบัยดะฮ์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิต เป็นชาฮีดแรกในสมรภูมินี้
อาบูญะฮัลเห็นดังนั้น ไม่รอช้า สั่งกองทัพทั้งหมด โจมตี~
เหมือนจะดี แต่กองทัพมุสลิมที่มีท่านอาลี(ร.ฎ.) กับท่านฮัมซะฮ์(ร.ฎ.) เป็นทัพหน้า สกัดพวกกุฟฟารทุกทิศทาง ... แถมยังทะลวงบุกไปถึงใจกลางกองทัพกุฟฟาร จนพวกมันต้องล่าถอยออกไปก่อน
( จากนั้นก็จะเป็นที่เคยอธิบายในญุซ 4 และ 9 ที่มีบรรดามลาอีกัตนับพัน ลงมาช่วยเหลือ กองทัพมุสลิม )
ท้ายที่สุด 1 ในศัตรูตัวฉกาจที่สุดของท่านนบี อย่างอาบูญะฮัล ก็ถูกสังหาร โดย ซอฮาบัตหนุ่ม 2 ท่าน
ท่านมุอ๊าซ อิบนุ อัมรู อิบนุ อัลญามูฮ (ร.ฎ.) และ
ท่านมุอ๊าซ (มุเอาวัซ) อิบนุ อัฟรออ์ (ร.ฎ.) ))
__________________
อัลอันฟาล 43-46
__________________
อัลลอฮทรงกล่าว ว่า จงรำลึกถึง ในขณะที่พระองค์ ให้พวกเจ้า เห็นพวกเขา มีจำนวนน้อยกว่า ( มุสลิมจะเห็นกองทัพกุฟฟารน้อย ในขณะที่กุฟฟาร เห็นกองทัพมุสลิมนั้น มีมาก )
ทั้งยังทรงกล่าว ว่าจงเชื่อฟังอัลลอฮ และรอซูล และจงอย่าขัดแย้งกัน และจงอดทน .. แท้จริง พระองค์นั้น ทรงอยู่กับผู้อดทนทั้งหลาย
__________________
อัลอันฟาล 48
__________________
พระองค์ยังเล่าอีก ว่าชัยฏอนนั้น มันบอกกับพวกนั้น (พวกปฏิเสธศรัทธา) ว่ามันจะช่วย ไม่ต้องกลัว
แต่พอเผชิญหน้ากัน มันสับส้นเท้าทันที (วิ่งหนีก่อนเพื่อน) พร้อมบอกว่า เรื่องพวกเจ้า ข้าไม่เกี่ยว... ข้าเห็นในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เห็น... ข้ากลัวอัลลอฮ ... และการลงโทษของพระองค์นั้น รุนแรงอย่างมากมาย
(( นี่เป็นนิสัยของชัยฏอน .. อย่างที่เรารู้ พวกมัน รู้ว่าอัลลอฮสร้าง พวกมัน รู้จักพระองค์ แต่มัน ก็ยังคงทำชั่วต่อไป
เหมือนคนเรา ที่มีนิสัยแบบนี้ (นาอูซุบิลละฮ) รู้ว่ามีนรก รู้ว่ามีอัลลอฮ รู้ว่ามีการลงโทษ รู้ว่ามีการพิพากษา แต่ก็อดใจทำมะซีอัตไม่ได้
ดังนั้น ผู้ที่เข้าสวรรค์จึงต้อง ศรัทธา และ ประกอบกรรมดี .. เพราะแค่ศรัทธา ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ))
__________________
อัลอันฟาล 50
__________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวถึง การลงโทษ ในนรก .. ที่มลาอีกัต จะตีใบหน้าของพวกเขา (บรรดาชาวนรก) และหลังของพวกเขา และกล่าวว่า .. พวกเจ้า จงลิ้มรสการลงโทษ เผาไหม้ นี้ซะ!!
__________________
อัลอันฟาล 55
__________________
อัลลอฮทรงกล่าวว่า แท้จริง บรรดาสัตว์โลกที่เลวร้ายที่สุด ณ ที่อัลลอฮ คือ พวกบรรดา ผู้ที่เนรคุณ (ฝ่าฝืนพระองค์) ดังนั้น พวกเขา จึงไม่ศรัทธา ... และบรรดาผู้ที่ผิดสัญญาทุกครั้ง ที่เขาสัญญา
__________________
อัลอันฟาล 59
__________________
บรรดาผู้ปฏิเสธนั้น อย่าได้คิดว่า หนีจากพระองค์พ้นแล้วเด็ดขาด พวกเขา ไม่มีทางทำให้พระองค์ หมดความสามารถได้ (ยังไง ก็หนีการลงโทษ ไม่พ้น)
__________________
อัลอันฟาล 61
__________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า และหากพวกเขาโอนอ่อนมา เพื่อการประนีประนอมแล้ว พวกเจ้าก็จงโอนอ่อนไป และจงมอบหมายแต่อัลลอฮเถิด พระองค์ คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
(( อุลามาอ์บางส่วน กล่าวว่า อายัตนี้อาจ เป็นอายัต มันซูค (อายัตที่ถูกยกเลิก) โดยอายัตที่กล่าวว่า "และพวกเจ้า จงสังหารบรรดาผู้ตั้งภาคีเสีย.. "
แต่ส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ใช่ ( เพราะถ้าถูกยกเลิก หมายความว่า เราเจอผู้ตั้งภาคีที่ไหน ก็ให้สังหารให้หมดละสิ )
หากแต่อายัตนี้ เป็นอายัตบัญญัติ .. กล่าวคือ อัลลอฮทรงเปิดโอกาสให้เรา ได้เจรจากับข้าศึกผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น หากพวกเขาอยากเจรจา สงบศึก .. ไม่รบรากัน ))
__________________
อัลอันฟาล 62
__________________
พระองค์ทรงกล่าวอีก แต่หากพวกเขา หลอกพวกเจ้า (หลอกว่าจะสงบ แต่วางแผนจะทำลาย) .. แท้จริง อัลลอฮนั้น เพียงพอแล้ว สำหรับพวกเจ้า .. พระองค์ คือผู้สนับสนุนเจ้า ด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ และจากผู้ศรัทธา ทั้งหลาย
_________________
อัลอันฟาล 65
__________________
อัลลอฮทรงกล่าวกับท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ว่าจงปลุกใจบรรดาผู้ศรัทธาเถิด (หากพวกเขา อยู่กับอัลลอฮแล้ว) 20 คน ก็สามารถเอาชนะ 200 คนได้ .. หรือ 100 คน ก็สามารถเอาชนะ 1000 คนได้ !
__________________
อัลอันฟาล 66
__________________
และพระองค์รู้ว่า ในหมู่พวกเขานั้น มีความอ่อนแอ ดังนั้น จงอดทนเถิด .. หากมี 100 คน อดทน ก็สามารถชนะ 200 คนได้.. หรือ 1000 คน ก็ชนะ 2000 คนได้
__________________
อัลอันฟาล 67
__________________
จากนั้นทรงกล่าวว่า ไม่บังควร แก่นบีคนใด ที่เขาจะมีเชลยศึกไว้ จนกว่าเขา จะประหัตประหารมากมายบนแผ่นดิน
(( กล่าวถึง เชลยศึก
ห้ามมีเชลยศึก ที่เอาไว้เรียกค่าไถ่
ถ้าจะมี ก็ได้ .. แต่ต้องสู้รบกัน แสดงให้อีกฝ่ายไม่กล้ารุกรานเราอีก เช่นนี้ จึงทำได้
ทีนี้ ในประเด็นการจับเชลยมา ในสงครามบะดัร ที่ฝ่ายมุสลิม จับเชลย กุฟฟาร 70 คน
ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ให้เชลยที่มีเงิน เอาเงินมาไถ่ตัว
เชลยที่มีความรู้ เอามาสอนบรรดามุสลิม
เชลยที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ท่านให้ปล่อยไปเลย
ในระหว่างที่ถูกกักตัว .. เชลยเหล่านี้ ถูกแบ่งไปขังไว้ในบ้านของบรรดาซอฮาบัต .. ซึ่งพวกท่าน เลี้ยงดูอย่างดี ถึงขนาด เอาอาหารดีๆให้กิน ส่วนตัวพวกท่านและครอบครัว ยอมกินอินทผาลัมแห้งๆ ประทังชีวิตไป... สร้างความฉงนใจแก่เชลยพวกนี้อย่างมาก
จรรยา มารยาท ที่ดีงามเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ภายหลัง มีผู้มาสวามิภักดิ์ และศรัทธา เป็นจำนวนมาก ))
__________________
อัลอันฟาล 72
__________________
อัลลอฮยังทรงกล่าวถึง บรรดาผู้ศรัทธา ผู้อพยพ ผู้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ บรรดาผู้ให้ที่พักอาศัย และช่วยเหลือนั้น พวกเขา คือผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง และพระองค์ จะทรง ประทาน ปัจจัยยังชีพมากมาย
(( จะเห็นได้จากบรรดา ชาวอันศอร (ผู้ช่วยเหลือ) ที่คอยช่วยเหลือ บรรดามุฮาญีรีน (ผู้อพยพ) จากมักกะฮ์ อย่างสุดความสามารถ ))
__________________
อัลอันฟาล 75
__________________
แท้จริง อัลลอฮนั้น ทรงรอบรู้ ในทุกสิ่ง
จากนั้น จะเข้า สู่ ซูเราะฮ์ที่ 9 อัตเตาบะฮ์ (การกลับตน)
(( มีประเด็นก่อนเข้าซูเราะฮ์นี้
ซูเราะฮ์นี้ เป็นซูเราะฮ์เดียว ในอัลกุรอ่าน ที่ไม่มี บิสมิลละฮ์... ขึ้นต้น
ด้วยเหตุผลต่างๆ
1. ท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) [ ท่านเป็นหัวหน้าบรรดาอาลักษณ์ ที่คอยจดบันทึกกุรอ่าน เมื่อท่านนบี (ซอลฯ ) ได้รับวะฮ์ยู .. และเป็นผู้เขียนบิสมิลละฮ... ก่อนทุกซูเราะฮ์ ยกเว้นซูเราะฮ์นี้ ] เล่าว่า
เมื่อมีการประทานโองการ (อายัต) ต่างๆมายังท่านรอซูล (ซอลฯ) นั้น .. ท่านจะเรียกผู้ที่ทำการจดบันทึกมา และกล่าวว่า ... เจ้าจงนำอายัตนี้ ไปใส่ในซูเราะฮ์ ที่พูดถึงเรื่องนี้ ... จงนำอายัตนั้น ไปสิ่งในซูเราะฮ์ ที่พูดถึงเรื่องนั้น ...
และซูเราะฮ์ อัลอันฟาล เป็นซูเราะฮ์ แรกๆ ที่ถูกประทาน ที่มาดีนะฮ์
และซูเราะฮ์ บารออะฮ์ (อัตเตาบะฮ์ นี้) ถูกประทาน เป็นซูเราะฮ์ท้ายๆของอัลกุรอ่าน
เรื่องราวในซูเราะฮ์ บารออะฮ์ (อัตเตาบะฮ์) มีความละม้าย คล้ายคลึง กับ ซูเราะฮ์ อัลอันฟาล ... และท่านอุษมาน (ร.ฎ.) เอง คิดว่า ซูเราะฮ์ บารออะฮ์ (อัตเตาบะฮ์) เป็นส่วนหนึ่ง ของซูเราะฮ์ อัลอันฟาล
แต่ถึง กระทั่ง ท่านนบี(ซอลฯ) เสียชีวิตลง .. ท่านก็ไม่ได้ชี้แจงแถลงไขแต่อย่างใด ... ว่าต้องเอา บารออะฮ์ นี้ ไปไว้ในซูเราะฮ์ไหน .. ท่านอุสมานจึงเขียน 2 ซูเราะฮ์นี้ ติดกัน โดยไม่มี บิสมิลละฮ์.. ( และบรรจุมัน เป็นส่วนหนึ่ง ใน 7 ซูเราะฮ์ยาว )
[[ ซูเราะฮ์ยาว ในอัลกุรอ่าน มี 7 ซูเราะฮ์ คือ
1. ซูเราะฮ์ อัลบากอเราะฮ์ (ซูเราะฮ์ที่ 2)
2. ซูเราะฮ์ อาละ อิมรอน (ซูเราะฮ์ที่ 3)
3. ซูเราะฮ์ อันนีซาอ์ (ซูเราะฮ์ที่ 4)
4. ซูเราะฮ์ อัลมาอีดะฮ์ (ซูเราะฮ์ที่ 5)
5. ซูเราะฮ์ อัลอันอาม (ซูเราะฮ์ที่ 6)
6. ซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ (ซูเราะฮ์ที่ 7) และ
7. ซูเราะฮ์ อัลอันฟาล กับ บารออะฮ์ (อัตเตาบะฮ์) (ซูเราะฮ์ที่ 8 - 9) ]]
กล่าวคือ ไม่แน่ใจ ว่าเป็นซูเราะฮ์เดียวกันมั้ย เพราะนบีไม่ได้บอก
เเต่เอามาวางติดกัน เพราะท่านเคยบอก ให้เอาอายัตเรื่องนี้ ใส่ในซูเราะฮ์เรื่องนี้ และ 2 ซูเราะฮ์นี้ มีเรื่องเหมือน และคล้ายกัน
จึงเอามาแยกกัน โดยวางไว้ติดกัน
2. อีกเหตุผลหนึ่ง ที่ไม่มีบิสมิลละฮ... กล่าวคือ บารออะฮ์ (อัตเตาบะฮ์) พูดถึง เรื่องการสู้รบ ฆ่าฟัน สงคราม .. แต่บิสมิลละฮ คือความเมตตา .. จึงไม่เหมาะสมที่จะใส่ วัลลอฮูอะลัม ))
(( กล่าวถึงสงครามตะบู๊ก ... ซึ่งเกิดขึ้น ในเดือนรอญับ ปี ฮ.ศ. 9 ... ซึ่งปีนี้ แห้งแล้งอย่างมาก แดดร้อนระอุ
พวกมุชรีกีนมักกะฮ์ บางส่วน ที่หนีออกมาจากเมืองมักกะฮ์ .. หลังจากท่านนบี (ซอลฯ) พิชิตมักกะฮ์ลงได้ ในปี ฮ.ศ.8 .. ได้ไปรวมตัวกันที่ ฮุนัยน์
จากนั้น เมื่อกองทัพมุสลิม .. เข้าพิชิตฮุนัยน์ จนพวกมันพ่ายแพ้อีก .. มันจึงหนีไป ฏออิฟ ..
และจากนั้น พวกมัน ก็พยายามจะหาทาง แก้แค้นกองทัพมุสลิม จึงคิดจะไปขอความร่วมมือจาก .. กษัตริย์ เฮราคลีอุส แห่ง โรมัน ไบเซนไทน์ .
พวกโรมันไบเซนไทน์ ที่อยู่ติดชายแดนอาณาจักรมุสลิมทางทิศเหนือขณะนั้น เห็นว่าดินแดนมุสลิมที่เพิ่งมีขึ้นมาเพียง 10 ปีนั้น ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น จึงคิดจะทำลาย ลอบซ่องสุมกำลัง รวบรวมชาวอาหรับ ชนเผ่าต่างๆ ที่เป็นคริสเตียน ....
ทางด้านมุสลิมเมื่อรู้ข่าว ท่านนบี(ซอลฯ) จึงสั่งจัดกองทัพ ...
ในการไปครั้งนี้ ท่านอบูบักร์ (ร.ฎ.) บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของท่าน ที่มี
ท่านอุมัร (ร.ฎ.) บริจาคทรัพย์สิน ครึ่งหนึ่งที่มี
ท่านอุษมาน (ร.ฎ.) บริจาคทรัพย์สินมากมาย ถึงขนาดที่ท่านนบี(ซอลฯ) กล่าวว่า หลังจากนี้ ท่านอุษมาน จะไม่มีความผิดใดๆอีก
ในกลุ่มมุสลิม ก็มีพวกมุนาฟิก อ้างเหตุผลต่างๆนานา ท่านนบี (ซอลฯ) ก็ปล่อยมันไป
เมื่อกองทัพมุสลิม ที่มีทหารถึง 30000 นาย เดินทัพผ่านเส้นทางอันทรหด จนถึง ตำบลตะบู๊ก (บริเวณระหว่าง ดินแดน ชาม และ ฮิญาซ - ดินแดนแถบมักกะฮ์ มาดีนะฮ์ เรียก ฮีญาซ - )
ท่านนบี (ซอลฯ) ก็สั่งตั้งค่ายที่นี่ รอการปะทะ
กระทั่งผ่านไป 20 วัน ... ทุกอย่าง เงียบสงบ..
ปรากฏว่า พวกโรมัน หนีกันไปหมดแล้ว พวกอาหรับเบดูอินอื่นๆ ก็เข้าสวามิภักดิ์ กับกองทัพมุสลิม บางเผ่าก็เข้ารับอิสลาม .. บางเผ่าก็ไม่ขอเข้ารับอิสลาม แต่จะจ่ายญิซญะฮ์ (ภาษีของคนต่างศาสนิก) ซึ่งท่านนบี (ซอลฯ) ก็รับปากและเขียนสัญญาจะปกป้องคนเหล่านี้ ภายใต้ชื่อรัฐอิสลาม ..
ความยิ่งใหญ่ของกองทัพมุสลิมขนาดนี้ ทำให้ไม่มีการปะทะใดๆกับโรมัน เพราะต่างพากันหนีกันหมด ..
ท่านนบี(ซอลฯ) จึงเดินทางกลับ ...
ต่อมา ท่านได้กล่าวว่า ท่านอยากไปทำฮัจญ์ แต่ที่นั่นตอนนี้ ก็มีพวกตั้งภาคีทำฮัจญ์ด้วย ... และพวกนั้นเปลื้องผ้าฏอวาฟกะอ์บะฮ์ ... ท่านไม่ชอบ
( พวกกุฟฟาร มุชรีกีน มักกะฮ์ ก็ทำฮัจญ์ ... แต่ฮัจญ์ของพวกนี้แปลกประหลาดพิศดาร ถึงขนาดบางคน แก้ผ้าเดินฏอวาฟรอบกะอ์บะฮ์ เพราะถึงแม้จะยึดมักกะฮ์ได้มาแล้ว ตั้งแต่ปีก่อน คือ ฮ.ศ.8 แต่ก็อนุญาตให้พวกนี้ทำฮัจญ์อยู่ )
ท่านจึงส่ง ท่านอบูบักร์ อัศศิดดี๊ก (ร.ฎ.) เป็นอามีรุลฮัจญ์ ผู้นำฮัจญ์แทนท่าน ในปีนั้น ... และส่งท่านอาลี อิบนุ อาบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ตามหลังไป หลังจากอายัตซูเราะฮ์นี้ ประทานลงมา ))
อัลลอฮทรงกล่าวว่า (( เกริ่นมาซะเยอะ เพิ่งจะได้ขึ้น อายัต 1))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 1
__________________
(นี่คือการประกาศ) การพ้นข้อผูกมัดใดๆจากอัลลอฮ และรอซูล ของพระองค์
(( คือสิ่งใดที่มุสลิม เคยสร้างข้อผูกมัดกับพวกตั้งภาคีไว้ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะถือเป็นการสิ้นสุดทั้งหมด
ซึ่ง ท่านอาลี(ร.ฎ.) เป็นคนอ่านอายัตนี้ ให้ทุกคนฟัง ในวันอารอฟะฮ์ วันที่ 9 ซุลฮิจญะฮ์ ปี ฮ.ศ. 9
แสดงให้เห็นว่า นับจากนี้ การกระทำใดๆที่หลงผิดจะสิ้นสุดลงปีนี้ พวกตั้งภาคี ห้ามทำฮัจญ์อีกต่อไป !!
มันจึงเป็นที่มาว่า ฮัจญ์ในปีหน้า ปี ฮ.ศ. 10 นั้น จึงเป็นฮัจญ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ท่านนบี(ซอลฯ) เป็นผู้นำเอง นำละหมาด อ่านคุตบะฮ์ เป็นฮัจญ์แรก ฮัจญ์เดียว และฮัจญ์สุดท้าย ของท่าน
ฮัจญ์อำลา ฮัจญ์ที่บริสุทธิ์จากฮัจญ์แปลกๆทั้งปวง ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 2
__________________
จากนั้น พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกมุชรีกีนนี้ อยู่บนแผ่นดินนี้ได้อีก 4 เดือน (( คือให้ตระหนักคิด ว่าจะศิโรราบ ยอมศรัทธารับอิสลาม หรือไม่เข้าอิสลามก็ได้ แต่ยอมอยู่ภายใต้กฏหมายอิสลาม... แต่ถ้ายังดื้อดึง ยังคงมุ่งร้าย หวังทำลายอิสลาม ก็จงเตรียมตัวให้ดี
นักวิชาการ ตัฟซีรกล่าวว่า 4 เดือนที่ว่าคือ นับจาก
10 ซุลฮิจญะฮ์ (วันรายอฮัจญ์) - 10 รอบีอุลอาคิร ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 4
__________________
พระองค์ทรงกล่าว ถึงมุชรีกีนที่ให้ความร่วมมือ แม้ไม่เข้ารับอิสลาม แต่ไม่ได้มุ่งร้ายใดๆ ก็จงปฏิบัติดี ตอบพวกนั้น ... จงเติมเต็มสัญญา ข้อผูกมัดใดๆ ให้ครบถ้วน
__________________
อัตเตาบะฮ์ 5
__________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าว เมื่อครบ 4 เดือน แล้ว หากพบมุชรีกีน (กลุ่มที่ไม่ยอม และยังอยากจะทำลายอิสลาม พวกดื้อดึง) หากพบที่ใด ก็จงสังหารพวกมันซะ ... จงจับพวกมัน... ล้อมพวกมันไว้.. และจงสอดส่องทุกจุด...
แต่หากพวกเขาสำนึกตัว สำนึกผิด ดำรงซึ่งการละหมาด และจ่ายซะกาต จงปล่อยพวกเขา
และถ้ามีใครขอความคุ้มครองเจ้า จงคุ้มครองเขาซะ
(ใครยอมแพ้ ไม่ต้องประหัตประหารชีวิตนั้นอีกต่อไป)
(( อายัตนี้แหละ ที่อุลามาอ์บางส่วนกล่าวว่า พูดถึงเรื่อง ให้ฆ่า ให้สังหาร ซึ่งจะไม่เหมาะสมกับ บิสมิลละฮ.. ที่เป็นความเมตตา ... ซูเราะฮ์นี้ จึงไม่มีบิสมิลละฮ์.. นั่นเอง
เหตุผลที่อัลลอฮ ทรงให้ประหัตประหารคนเหล่านี้เสีย เพราะกี่ครั้งแล้ว ที่พวกนี้ ทำร้ายอิสลาม กี่ครั้งแล้วที่พวกนี้ละเมิดสนธิสัญญา กี่ครั้งแล้ว ที่พวกนี้สร้างความฉิบหายบนหน้าแผ่นดินนี้ โดยการเผยแพร่ความคิดที่เลวทราม ต่ำช้า ไปในหมู่ผู้คน ... นี่ไม่ใช่การฆ่า... แต่คือการกำจัดพวกชั่วร้ายให้หมดสิ้นไป ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 7
__________________
อัลลอฮทรงกล่าว ว่าพวกเขาละเมิดสัญญา ไม่สนใจเรื่องเครือญาติ
__________________
อัตเตาบะฮ์ 9
__________________
พวกเขาแลกเปลี่ยนโองการของอัลลอฮ ด้วยราคาอันน้อยนิด (อายัตของอัลลอฮ ไม่มีค่า)
พวกเขาขวางทางผู้คน ให้ออกจากหนทางของอัลลอฮ
พวกเขาขับไล่รอซูลออกไป (เคยขับไล่ท่านนบี(ซอลฯ) ระหกระเหิน อพยพมาเมื่อ 9 ปีก่อน)
ดังนั้น พวกเจ้า (ผู้ศรัทธา) จงลงโทษพวกเขา (บรรดาผู้ตั้งภาคี) ลงโทษพวกเขา ด้วยมือของพวกเจ้า
(( ในหมู่มุสลิมนั้น แน่นอนว่า ครอบครัวของเขาบางคน ยังไม่ได้รับอิสลาม ยังคงเป็นผู้ตั้งภาคี ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 23
__________________
อัลลอฮทรงกล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้เอา บิดาของเจ้า หรือพี่น้องของเจ้า เป็นมิตร หากพวกเขานั้น เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
หากใคร ที่ :-
รักบิดา
รักลูกๆ
รักพี่น้อง
รักคู่ครอง
รักทรัพย์สิน
รักสินค้าที่จำหน่ายไม่ออก
รักที่อยู่อาศัย
( หวงแหนไปซะทุกอย่าง )
มากกว่ารักอัลลอฮแล้ว จงรอคอยเถิด .. พระองค์ จะทรงนำมาซึ่งกำลังของพระองค์ !!
(( จากนั้น กล่าวถึง สมรภูมิฮุนัยน์
โดยสงครามนี้ เกิดขึ้น วันที่ 13 เชาวาล ปี ฮ.ศ. 8
ใช่แล้ว หากใครจำกันได้ นี่คือเวลาหลังจากท่านนบี(ซอลฯ) ยึดเมืองมักกะฮ์คืนได้สำเร็จ (ในสมรภูมิการพิชิต ที่จะกล่าวอธิบายใน ญุซ 26)
หลังจากพิชิตนครมักกะฮ์ บรรดาผู้ปฏิเสธ และพวกตั้งภาคี ที่ไม่คิดต่อต้าน กองทัพมุสลิมไม่ได้ทำอะไรพวกเขา แถมยังรับประกันความปลอดภัย ซึ่งมีหลายคนเข้ารับอิสลามทันที
หนึ่งในนั้นก็คือ อบูซุฟยาน หัวหน้ากองคาราวานของพวกมักกะฮ์ในตอนสงครามบะดัร ที่เรากล่าวถึงในต้นญุซนั่นเอง
ส่วนบรรดาผู้ที่ยังคิดต่อต้าน ก็พากันหนีออกไปจากมักกะฮ์
ชนเผ่าตระกูลฮาวาซิน รวมหัว กับชนเผ่าตระกูลซะกีฟ เพื่อจะโจมตีมุสลิมกลับ
นบีจึงเรียกระดมพล และเดินทาง ไปปะทะกัน ที่ตำบลฮุนัยน์ ซึ่งอยู่ระหว่าง เมืองมักกะฮ์ มาดีนะฮ์ และฏออิฟ
แน่นอนว่ามุสลิมเป็นฝ่ายชนะ และเก็บสินสงครามมากมายมา โดยส่วนหนึ่ง ท่านนบี(ซอลฯ) ได้แจกจ่ายแก่มุสลิมใหม่ ที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม ที่มักกะฮ์ไม่กี่วันก่อนนั่นเอง ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 25
__________________
อัลลอฮ ทรงกล่าวว่า อัลลอฮทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ในสนามรบมากมาย และในวันฮุนัยน์ด้วย
__________________
อัตเตาบะฮ์ 26
__________________
อัลลอฮได้ทรงให้เกิดความสงบในใจผู้ศรัทธา และได้ส่งไพร่พลลงมา ที่พวกเจ้ามองไม่เห็น ((บรรดามลาอีกัต ก็ได้เข้าร่วมสงครามนี้ด้วย))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 28
__________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าว ประกาศว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงพวกมุชรีกีนนั้น โส มม (นาญิซ) และจงอย่าเข้าใกล้มัสยิดอัลฮารอม หลังจากปีนี้
(( คือหลังจากที่ท่านอาลี (ร.ฎ.) อ่าน อายัตบารออะฮ์ แล้ว ในปีที่ 9 นี้... พื้นที่แห่งนี้ ก็เป็นที่ที่ฮารอมสำหรับมุชรีกีน ห้ามพวกเขาเข้ามา ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 30
__________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวถึงการหลงผิดของพวก ยาฮูดี ที่กล่าวว่า แท้จริง อุซัยร์ เป็นบุตรของอัลลอฮ
และการหลงผิดของพวก นัศรอนี ที่กล่าวว่า อัลมาซีฮ์ เป็นบุตรของอัลลอฮ
(( ท่านนบีอุซัยร์ (อ.ฮ.) เป็นนบีของวงศ์วานอิสรออีล เขาคือ คนที่อัลลอฮ ให้นอนไป 100 ปี ที่เคยกล่าวในญุซ 3
ส่วน อัลมาซีฮ์ (ผู้ช่วยเหลือ) หมายถึง ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) นั่นเอง ))
แน่นอน นั่นเป็นถ้อยคำที่พวกเขา พูดขึ้นมาเอง
(( ในศาสนา ยาฮูดี จะมีนักบวชอยู่
และในศาสนา นัศรอนี จะมีบาทหลวงอยู่ ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 34
__________________
อัลลอฮทรงกล่าวถึงพวกเขา ในสมัยเหล่านั้นว่า พวกนี้ กินทรัพย์สินของประชาชน โดยมิชอบ และ ชอบขัดขวางผู้คน ให้ออกห่างจากอัลลอฮ
__________________
อัตเตาบะฮ์ 35
__________________
อัลลอฮทรงเตรียม ญะฮันนัม ลงโทษพวกเขา โดยเอาหน้าผากของพวกเขา สีข้างของพวกเขา หลังของพวกเขา นาบไปกับไฟอันร้อนระอุ และทรมานนั้น
อัลลอฮทรงกล่าวว่า จงลิ้มรส สิ่งที่พวกเขาสะสมมาเถิด (สะสมกรรมบาป)
__________________
อัตเตาบะฮ์ 36
__________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวว่า ณ ที่อัลลอฮนั้น มี 12 เดือน ที่พระองค์ทรงสร้าง บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และมี 4 เดือนในนั้น ต้องห้าม
(( ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) กล่าวว่า เดือนต้องห้ามคือ รอญับ ที่อยู่ระหว่าง 2 ญะมาดิล กับชะอ์บาน และ ซุลกิอ์ดะฮ์ และซุลฮิจญะฮ์ และ มุฮัรร็อม.. (ได้กล่าวไปแล้วในญุซ ก่อนหน้านี้)
บางคนอาจยังไม่รู้ ... ว่าทำไมเราต้องมีเวลา แบบนี้
สัปดาห์มี 7 วัน ปีนึงมี 12 เดือน
มี 8 วัน 13 เดือนได้ไหม? ใครเป็นคนคิด
คำตอบคือ องค์อัลลอฮ
7 วันก็มาจาก อัลลอฮทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินในเวลา 6 วัน จากนั้น ก็ขึ้นไปประทับบนบัลลังค์ (ตรงนี้มีความขัดแย้งในเรื่องระยะวลาของวัน ว่าเหมือนวันในปัจจุบัน ที่ยึดดวงอาทิตย์ขึ้นและตก หรือปล่าว เพราะช่วงเวลาการสร้างโลกนั้น ... จักรวาลนี้ยังไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงดาว ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ยังไม่มีกาลเวลา ด้วยซ้ำ .. ซึ่งจะอธิบาย ในญุซอื่น)
ส่วนเดือนนึงมี 30 วันนี่ มาจากดวงจันทร์ ))
__________________
อัตเตาบะฮ์ 40
__________________
จากนั้นอัลลอฮ ได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ ตอนที่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซอลฯ) อพยพ
(( หลังจากถูกกระทำ ถูกกลั่นแกล้ง ในการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี(ซอลฯ) จากพวกกุฟฟาร มักกะฮ์ ... อัลลอฮก็ทรงสั่งให้ท่านนบี(ซอลฯ) อพยพไป ยัษริบ (เมืองมาดีนะฮ์)
ท่านออกเดินทางในเดือน รอบีอุลเอาวัล ซึ่งปีนั้น นับเป็น ฮ.ศ. 1
แต่ท่านไม่เดินทางไปกับกลุ่มใหญ่ ที่นำโดย ท่านอุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ (ร.ฎ.) ที่เดินทางออกทางประตูทิศเหนือ ( กลุ่มนี้ พวกมุชรีกีนมักกะฮ์ ไม่กล้าทำอะไร .. เพราะท่านอุมัร ที่เข้ารับอิสลามแล้วคนนี้นั้น อดีต เคยเป็นแม่ทัพผู้แข็งแกร่งของพวกตน .. แถมท่านยังกล่าว ว่าใครอยากให้มารดา อยากให้ภรรยาเสียใจ ก็เข้ามา!! (ถ้าเข้ามา ท่านจะสังหารเสีย)
ท่านนบี(ซอลฯ) เดินทางไปกับ ท่านอบูบักร(ร.ฎ.) สหายรักของท่าน .. อ้อมออกทางประตูทิศใต้เมืองมักกะฮ์ และจะเดินทางอ้อม ในทางที่คนทั่วไปไม่เดิน เพื่อไม่ให้พวกมุชรีกีนมักกะฮ์ ที่กำลังไล่ล่าจะสังหารท่าน ...เจอ
ท่านมีผู้นำทางคนนึง พวกเขา ก็มาถึง ภูเขา ษูร
ท่านกับท่านอบูบักร์ เข้าไปหลบในถ้ำนั้น
พวกมุชรีกีนมาถึงถ้ำ แต่ทางเข้าถ้ำ ไม่มีร่องรอยของการเข้าไป
อัลลอฮให้นกมาทำรัง ใยแมงมุม ก็มี พวกนั้นเลยคิดว่า ไม่น่ามีใคร เข้าไปหรอก
คงมีแต่จิ้งจก แถวนั้น พยายามบอกว่า นบีอยู่ในนั้น แต่โถ่ถัง ช่างน่าสงสาร มนุษย์หรือจะเข้าใจภาษาจิ้งจก 555
ในช่วงการหลบในถ้ำนั้น ผู้ที่บากบั่น อุตส่าห์เดินทาง ปีนขึ้นเขาหินนั้น มาให้น้ำให้อาหาร แก่ท่านทั้งสอง คือลูกสาว ท่าน อบูบักร์ คือ ท่านหญิง อัสมาอ์ บินตุ อบีบักร์ (ร.ฎ.) .
ซึ่งท่านหญิง ได้รับฉายาว่า ซาติน นีฏอก็อยน์ ذات النطاقين ผู้มีเชือก 2 เส้น .. โดยที่มา เพราะต้องผูกอาหารที่จะเอาไปให้ .. ท่านจึงฉีก สายรัดเอวท่านเป็น 2 เส้น .. เส้นนึง ผูกอาหาร เส้นนึง คาดเอว ..นั่นเอง
และเมื่อท่านหญิงกลับมา .. ก็เจอกับพวกกุร็อยช์ .. ที่พวกมันขอให้ท่าน บอกที่อยู่ของท่านนบี (ซอลฯ) .. แน่นอน ท่านหญิง จึงปฏิเสธอย่างหนักแน่น .. ท่านจึงโดน อบูญะฮัล (ขออัลลอฮทรงสาปแช่ง) ตบที่ใบหน้าอย่างแรง .. แต่ถึงกระนั้น ท่านหญิง ก็อดทน ..
หากเราเคยไปภูเขาษูร จะพบว่า การเดินขึ้นเขานั้น คำว่า ลำบาก ยังดูเล็กน้อยไป นับประสาอะไรกับเด็กสาวคนหนึ่ง ลูกสาวท่านอบูบักร์ คนนี้ ท่านเป็นหญิงแกร่ง .. ไม่ต่างจากท่านหญิงอาอีชะฮ์(ร.ฎ.) น้องสาวของท่านเลย .. ซึ่งทั้ง 2 อายุห่างกัน เกือบ 11 ปี .
และเมื่อทุกอย่างผ่านไป พวกท่านนบี (ซอลฯ) ก็ออกเดินทาง ))
อัลลอฮทรงกล่าวว่า ขณะที่ทั้ง 2 อยู่ในถ้ำนั้น เขา (ท่านนบี(ซอลฯ)) ได้กล่าวแก่สหายของเขา (ท่านอบูบักร์ (ร.ฎ.)) ว่า เจ้าอย่าโศกเศร้าเสียใจ .. แท้จริง อัลลอฮนั้นอยู่กับเรา
และพระองค์ ก็ได้ประทานความสงบ แก่เขา
อัลลอฮทรงกล่าว ว่า ถ้อยคำของพวกปฏิเสธศรัทธา นั้นต้อยต่ำ
ในขณะที่วจนะของพระองค์นั้น สูงส่ง (เป็นสัจธรรมคงอยู่ตลอดกาล)
__________________
อัตเตาบะฮ์ 60
__________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวถึง ผู้มีสิทธิ์รับ ซะกาต ทั้ง 8 ประเภท
1. ผู้ยากจน
2. ผู้ขัดสน
3. เจ้าหน้าที่ที่ทำการรวบรวมซะกาต
4. ผู้มีหัวใจสนิทสนม ( คือ ผู้ที่สนใจในอิสลาม ไม่ว่า เขานั้น จะเข้ารับอิสลามเป็นมุสลิมใหม่ หรือยังไม่เข้ารับ ยังเป็นศาสนาอื่นอยู่ แต่สนใจอิสลาม ก็สามารถรับซะกาตได้
5. ผู้ไร้อิสรภาพ (ทาส) ที่ถูกไถ่ตัว
6. ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
7. ผู้ทำงานในหนทางของอัลลอฮ
8. ผู้เดินทาง
__________________
อัตเตาบะฮ์ 69
__________________
และอัลลอฮยังทรงกล่าวถึง คนยุคก่อน ที่พระองค์ทรงมอบพละกำลัง ทรัพย์ ลูกๆหรือทายาท มากกว่าพวกเจ้า ... แต่พวกเขาก็สำราญไปกับมัน (จนลืมพระองค์) ... พวกนี้ คือผู้ขาดทุน
__________________
อัตเตาบะฮ์ 70
__________________
ไม่ใช่ว่ามีข่าวคราวกันมาแล้วดอกหรือ (มีบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ มาแล้วไม่ใช่หรือไง) (ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ)
กลุ่มชนของนูฮ
ของอ๊าด (ท่านนบีฮูด (อ.ฮ.))
ของษะมู้ด (ท่านนบีซอลิฮ์ (อ.ฮ.))
กลุ่มชนของอิบรอฮีม
ชาวมัดยัน (ท่านนบีชุอัยบ์ (อ.ฮ.))
ชาว อัลมุตาฟีก๊าต (ท่านนบีลูฏ (อ.ฮ))
ข้า มิได้อธรรมกับพวกเขา แต่พวกเขา อธรรมต่อพวกเขาเอง (ฝ่าฝืน ละเมิด ปฏิเสธศรัทธากันเอง ทั้งๆที่มีนบีชี้นำ ก็รับผลกรรมตามสิ่งที่กระทำ)
__________________
อัตเตาบะฮ์ 81
__________________
จากนั้น พระองค์จะทรงกล่าวถึง คนกลุ่มหนึ่ง ที่ในตอนสงครามตะบู๊ก พวกเขาอ้างต่างๆนานา กับท่านนบี(ซอลฯ) เพื่อไม่ไป พวกนี้คือ มุนาฟิก
อัลลอฮทรงกล่าวว่า พวกนั้นดีใจที่ถูกปล่อยอยู่เบื้องหลัง (ไม่ต้องออกไป) ..
พวกนั้นกล่าวว่า จงอย่าออกไปในที่ร้อนๆเลย
อัลลอฮจึงให้ท่านนบี (ซอลฯ) กล่าวกับพวกนั้นว่า ไฟนรกญะฮันนัมนั้น ร้อนยิ่งกว่า ... หากพวกเจ้าเข้าใจ
__________________
อัตเตาบะฮ์ 82
__________________
พวกเขา ควรจะหัวเราะน้อยๆ และร้องไห้ให้มากๆ (เพราะความผิดเหล่านั้น)
__________________
อัตเตาบะฮ์ 84
__________________
และอัลลอฮ ทรงห้ามท่านนบี (ซอลฯ) ละหมาดให้คนพวกนี้ ถ้าคนพวกนี้ตายไป
__________________
อัตเตาบะฮ์ 91
__________________
แต่ถ้าเป็น คนอ่อนแอ คนเจ็บป่วยได้ไข้ คนไม่มีอะไรบริจาคแล้ว ก็จะไม่มีบาปใดๆสำหรับพวกเขา (เพราะพวกเขา ไม่มีความสามารถ ในการเข้าร่วมสงครามแต่แรกแล้ว นั่นเอง)
บทความที่น่าสนใจ