
ซูเราะห์อัลอะรอฟ ต่อจากญุซที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้
สรุปความ อัล-กุรอาน ญุซที่ 9
ซูเราะห์อัลอะรอฟ ต่อจากญุซที่ผ่านมา ... ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ดังนี้ :-
_______________
อัลอะอ์รอฟ 97-99
_______________
อัลลอฮทรงกล่าวถึง การทำลายประชาชาติที่ฝ่าฝืนต่อพระองค์ ว่ากี่มากเมืองแล้ว ที่ถูกทำลายไปเพราะการฝ่าฝืนนี้
ซึ่งการทำลายนั้น มาทั้งเวลากลางคืน หรือในเวลาสาย (กลางวัน) โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
อัลลอฮทรงกล่าวว่า พวกเขาคิดว่าจะรอดไปจากแผนการของอัลลอฮเช่นนั้นหรือ ? ใครที่คิดว่าตนรอดจากการลงโทษของพระองค์แน่ พวกนี้คือบรรดาผู้ขาดทุน
_______________
อัลอะอ์รอฟ 103-109
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงเล่าเรื่องราวการปะทะคารมของ ท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) กับทรราชย์ฟิรเอาวน์ ผู้อ้างตนเป็นพระเจ้า
(( กล่าวถึงฟิรเอาวน์ หรือ ฟาโรห์ นั้น ไม่ใช่ชื่อบุคคล หากแต่เป็นชื่อตำแหน่ง กษัตริย์ เหมือน ซีซ่าร์ ราชา สุลต่าน ฮ่องเต้ หรือบ้านเราก็ ในหลวง
ทีนี้ ฟาโรห์ ไม่ได้เลวไปทั้งหมด ... เมืองอียิปต์นั้น ในสมัยท่านนบียูซุฟ(อ.ฮ.) มีฟาโรห์ ที่ดี ... จะเห็นว่าในเรื่องราวของท่านนบียูซุฟ(อ.ฮ.) เนี่ย ไม่ต้องไปนั่งเถียงกับพวกบูชา เจว็ด เทวรูปเป็นพระเจ้า ... เพราะพวกเขาต่างศรัทธากันแล้ว ....
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีสงครามรบพุ่งกัน แย่งชิงดินแดน ... เปลี่ยนฟาโรห์กัน จนมาถึง ยุคสมัยท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) นั้น ฟาโรห์คนนี้ เป็นฟาโรห์ชั่ว ที่แอบอ้างว่าตนเป็นพระเจ้า ..
อัลลอฮ เรียกมันว่า ฟิรเอาวน์ หรือ ฟาโรห์ นั้น หมายถึงคนนี้คนเดียว เพราะพระองค์ไม่ได้พูดถึงฟาโรห์อื่นอีก ...
ทีนี้ อิบลีส น่ะ ถึงมันจะเลวขนาดไหน มันยังรู้ ว่าอัลลอฮทรงสร้างมัน แต่ดูฟาโรห์นี้สิ นอกจากปฏิเสธแล้ว ยังอหังการ์ ตั้งตนเป็นพระเจ้าอีก
ญุซก่อนหน้านี้ได้มีกล่าวถึงว่า ทุกนบี อัลลอฮทรงให้มีศัตรู และ ศัตรูตัวฉกาจของท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) นั้น คือ ฟาโรห์ ผู้โอหัง ตนนี้ .. ดังนั้น ไม่แปลก ที่ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) จะเป็นนบี ที่อัลลอฮ ทรงกล่าวถึงมากที่สุดในอัลกุรอ่าน
กลับมาที่ ฟาโรห์ ... ไม่มีการระบุไว้ว่า ฟาโรห์ คนนี้ ศัตรูของท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) นั้น ชื่ออะไร ด้วยระยะเวลานานขนาดนั้น .. แต่นักอารยธรรม ประวัติศาสตร์อียิปต์ ได้ระบุไว้ชื่อหนึ่ง ว่า อาจจะเป็น "ฟาโรห์ รามเสส ที่ 2" ))
อัลลอฮทรงเล่าว่า และมูซากล่าวว่า โอ้ฟิรเอาวน์ .. แท้จริง ฉัน คือ ทูต จากพระเจ้าแห่งสากลโลก
เป็นการสมควร ที่ฉันจะไม่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ นอกจากมันเป็นความจริงเท่านั้น
(( ท่านก็เผยแพร่ดำรัสของอัลลอฮ และยืนยันประจักษ์ ว่าพระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริง ))
ดังนั้น จงส่ง บรรดาวงศ์วานอิสราอีล มากับฉันเถิด.
(( เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบีแล้ว ...
ส่วนเหตุการณ์ตั้งแต่ท่านเกิด ถูกนำไปลอยน้ำ เผลอฆ่าคน หนีออกจากอียิปต์ มีครอบครัว และกลับมาพร้อมหน้าที่ นั้น จะ มีเล่า ในญุซ 20
กล่าวถึง วงศ์วาน อิสรออีลบ้าง ... ในขณะนั้น เมืองอียิปต์ เต็มไปด้วยชาวอียิปต์ ... วงศ์วานอิสรออีลนั้น เป็นทาส เป็นไพร่ เป็นคนงาน ซึ่งเป็นการลงโทษจากอัลลอฮ หลังจากที่พระองค์ได้ให้มีชีวิตที่ดีในสมัยบรรพบุรุษ ยุคนบี ยูซุฟ(อ.ฮ.)
แต่คนรุ่นหลังๆฝ่าฝืน ไม่ดำรงซึ่งการละหมาด อัลลอฮจึงนำสงครามมา เปลี่ยนฟาโรห์ เป็นคนชั่ว ลดสถานะวงศ์วานอิสรออีลจากชนชั้นปกครอง เป็นแรงงานทาส ... จนผ่านหลายรุ่น
พวกเขาก็ดุอา ว่าเราสำนึกแล้ว โปรดส่งนบีมาช่วยเรา อัลลอฮก็ทรงตอบรับ ในเวลานี้ ส่งท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) มา
ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ก็จะช่วยคนพวกนี้ออกมาจากการกดขี่ของฟาโรห์ ))
ฟาโรห์ ไม่ยอม จึงได้ท้าทายให้ ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) แสดงสัญญาณ หรือ หลักฐานถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ หากท่านพูดจริง
(( อัลลอฮนั้น ได้ทรงสอนท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ก่อนหน้านั้นแล้ว ))
ท่านจึงโยนไม้เท้าของท่าน และปรากฏมัน ได้กลายเป็นงู
ท่านได้ล้วงมือของท่านเข้าไปในเสื้อ และเอาออกมา ปรากฏมือของท่าน เป็นสีขาวผ่อง เจิดจ้า
ฟาโรห์เห็นดังนั้น จึงกล่าวว่ามันเป็นมายากล ชัดๆ
ข้าจะขับไล่พวกเจ้าออกไป !
(( ฟาโรห์ นั้นหันไปปรึกษา กับบรรดาองคมนตรี ของเขา พวกนั้นกล่าวว่า ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 111
_______________
ท่านจงประวิงเวลาเขาทั้งสองก่อนเถิด (( ท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) มากับพี่ชายท่าน ท่านนบีฮารูน (อ.ฮ.) )) แล้วพวกเราจะไปหานักมายากลที่เก่งที่สุด มา
(( ประชาชนที่เห็นสิ่งที่ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) แสดงให้เห็นก็พากันศรัทธา เรียกว่าตอนนั้น ท่านมีอิทธิพล ต่อหัวใจประชาชนในขณะนั้นแล้ว ... ฟาโรห์ ก็ร้อนใจ มันก็คิด ว่าต้องสยบมูซาให้ได้ ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 112
_______________
จากนั้น บรรดานักมายากลจากทั่วทุกสารทิศ ได้มารวมตัวกัน (( ช่วงเวลานี้มีระยะห่างอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะฟาโรห์ นัดท่านนบีในวันรายอ ท่านนบีได้ถูกกักตัวไว้ -ไม่เกี่ยวกับโควิดนะ ^^ - เพื่อจะได้แสดงความยิ่งใหญ่ของตนแก่ประชาชน และให้ท่านนบีขายหน้าต่อหน้าผู้คน ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 113
_______________
ฟาโรห์ จึงกล่าวแก่บรรดานักมายากลเหล่านั้น ข้ามีรางวัลให้แก่พวกเจ้า หากทำสำเร็จ
_______________
อัลอะอ์รอฟ 115-116
_______________
พวกเขาจึงหันไปประจันหน้ากับท่านนบีและถามท่านว่า ผู้ใดจะเริ่มก่อน
ท่านนบีกล่าว เชิญพวกท่านก่อน (( จากบทสนทนาที่อัลลอฮทรงเล่านี้ แสดงให้เห็นถึงมารยาทของท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ))
พวกเขาจึง ต่างพากันโยนไม้เท้าลงไป และปรากฏเป็นการหลอกลวงอันมากมาย (( เห็นเป็นงูมากมาย )) และประชาชนก็ต่างพากันหวาดกลัว
_______________
อัลอะอ์รอฟ 117
_______________
อัลลอฮจึงทรงโองการ แก่ท่านนบี ให้โยนไม้เท้าออกไป
และทันใดนั้น มัน ก็กลืนสิ่งที่ลวงตานั้นทั้งหมดไป (( เปลี่ยนเป็นงูยักษ์ ที่ไล่กลืนกินงูเล็กๆนั้นจนหมดสิ้น ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 118
_______________
และความเท็จ ก็ถูกทำให้มลายสิ้น ด้วยความจริง
_______________
อัลอะอ์รอฟ 120-122
_______________
บรรดานักมายากล จึงพากันโน้มตัวลงกราบ และกล่าวว่า เรา ได้ศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว คือ พระเจ้าของมูซา และฮารูน
_______________
อัลอะอ์รอฟ 123
_______________
ฟาโรห์ เห็นดังนั้น ( ก็เดือด ) เจ้าจะศรัทธาต่อมันก่อนข้าจะอนุญาตหรือ !! พวกเจ้าสุมหัวกันใช่หรือไม่ !!
_______________
อัลอะอ์รอฟ 124
_______________
(( ฟาโรห์คิดว่า พวกนักมายากล เป็นพวกเดียวกับท่านนบี สุมหัวกัน ตลบหลังมัน )) ข้าขอสาบาน ข้าจะตัดมือ ตัดเท้า พวกเจ้า และเสียบเจ้า ตรึงเจ้า ประจานบนต้นอินทผาลัม
_______________
อัลอะอ์รอฟ 125-126
_______________
พวกเขาจึงกล่าวตอบกลับไปว่า แท้จริง ยังพระเจ้าของเรานั้น คือการกลับไป .. และพวกเขาก็ดุอา วิงวอนต่ออัลลอฮ ให้ทรงประทานความอดทนแก่พวกเขา และโปรดทรงให้พวกเขา ตายในสภาพผู้ศรัทธาด้วยเถิด
_______________
อัลอะอ์รอฟ 127
_______________
พวกองคมนตรีก็ถามฟาโรห์ว่า พระองค์จะปล่อยพวกนั้นไปเช่นนั้นหรือ ... ฟาโรห์ กล่าวตอบว่า ข้าจะฆ่าพวกมัน ฆ่าผู้ชาย ไว้ชีวิตผู้หญิง และข้านั้น มีอำนาจที่สุด
(( เหตุการณ์หลังจากนั้นคือ ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) และบรรดาวงศ์วานอิสรออีล ต้องหนีเอาตัวรอด หลบซ่อนตัวภายในเมืองจากการตามล่าของ ทหารอียิปต์ ..
ตามเส้นทางในเมือง บนต้นอินทผาลัม จะมีศพ บรรดานักมายากล ตรึงไว้ ขู่พวกที่จะต่อต้าน ฟาโรห์
ทหารของฟาโรห์ จะตามไล่ล่า สังหารพวกวงศ์วานอิสรออีล ประโคมข่าวให้ชาวเมืองคนอื่นๆรู้ว่า อย่าไปเข้ากับมูซา พวกมันเลว พวกมันชั่ว (พูดไม่ดูตัวเอง)
ทางด้านท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) และพรรคพวกที่หลบซ่อนตัวตามที่ต่างๆนั้น ( เรียกว่า เป็น พลพรรคกองกำลังปลดแอกอิสรออีล - พ.ก.ป.อ. - กันเลยทีเดียว ... อันนี้แต่งเองนะ อย่าคิดมาก ) พวกเขาก็พยายามถามท่านนบีว่าให้ทำอย่างไร
ท่านนบีกล่าวว่า จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ และจงอดทน
ส่วนบรรดาอิสรออีลที่หนีไม่รอดก็ถูกสังหารไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกวัน ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 130
_______________
จากนั้น การลงโทษของอัลลอฮก็มา
พระองค์ทรงทำให้เมือง แห้งแล้ง ขาดแคลนผลไม้ต่างๆ
_______________
อัลอะอ์รอฟ 131
_______________
พวกนั้นจะบอกว่า ที่มันเลวร้ายอย่างนี้ เป็นเพราะมูซา !!
อัลลอฮ ทรงกล่าวว่า พึงรู้ไว้เถิด ลางร้ายของพวกเขานั้น มาจากอัลลอฮต่างหาก
_______________
อัลอะอ์รอฟ 133
_______________
และพระองค์ทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงส่ง น้ำท่วม ตั๊กแตน เห็บ(เหา) กบ และเลือด มายังพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังโอหัง และเป็นผู้กระทำผิด
(( ให้เรามองภาพให้เห็นถึงสังคมอียิปต์ขณะนั้น ที่ในเมืองมีทั้ง ชาวอียิปต์ และชาวอิสรออีล
ฟาโรห์ จะคอยป่าวประกาศ ว่าความคิดของมูซานั้นผิด
แม้จะมีชาวอิสรออีลเข้าร่วมกับท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) แต่ชาวอิสรออีลอีกไม่น้อย ที่ยังโง่เขลา นิยมวัตถุ รักชีวิตบนโลกจนไม่อยากเสี่ยง จึงหลงไปกับคำพูดของฟาโรห์
ฟาโรห์นี่ แกเป็นทรราชย์ แต่แกก็เป็นนักการเมืองนะ เล่นเกมจิตวิทยากัน กษัตริย์ทรราชย์ในคราบนักการเมืองเลวผู้อหังการ์ - วันนี้เป็นไร ขยันแต่งจริง -
ส่วนทางด้านชาวอียิปต์นั้น แน่นอน เชื่อแต่คำของฟาโรห์ มีเพียงส่วนน้อย ที่ศรัทธาต่อท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) แต่พวกเขา ก็จะปกปิดการศรัทธาของตนไว้
อัลลอฮได้ทรงส่งภัยพิบัติมายังอียิปต์
แรกสุด ให้แม่น้ำไนล์ เหือดแห้ง จนขาดแคลนน้ำ ผลคือ ผู้คนอดอยาก ผลไม้ขาดแคลน ไร้พืช ไร้ผล .. แต่ฟาโรห์ก็ยังคงโอหัง
อัลลอฮจึงทรง ทำให้ฝนตก และน้ำในแม่น้ำไนล์ ก็ไหลเอ่อขึ้นมา ... แต่ไม่หยุดแค่นั้น อัลลอฮทำให้มันออกมามาก จนกลายเป็นอุทกภัย น้ำท่วม สร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วง
ผู้คน ที่ประสบเหตุดังนั้น จึงไปขอร้อง ให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้โปรด จงวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน (อัลลอฮ) เพื่อเราเถิด และพวกเขาจะศรัทธาหลังจากนั้น
ท่านนบีก็ขอดุอา และน้ำท่วมก็หยุดลง
เเต่พวกเขาก็ไม่ศรัทธา
อัลลอฮ จึงทรงส่งภัยพิบัติใหม่มา เป็นตั๊กแตนฝูงยักษ์ นับล้านตัว โจมตีเมือง โจมตีพืชผลการเกษตร เดือดร้อนยิ่งกว่าครั้งใด
ผู้คน ที่ประสบเหตุดังนั้น จึงไปขอร้อง ให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้โปรด จงวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน (อัลลอฮ) เพื่อเราเถิด และพวกเขาจะศรัทธาหลังจากนั้น (อีกแล้ว)
ท่านนบี ก็ดุอาอีก และทุกอย่างก็สงบลง
แต่พวกนั้น ก็ยังไม่ศรัทธา ...
อัลลอฮจึงส่งภัยพิบัติที่ 4 มา เป็นตัวเห็บ นับล้านๆๆตัว เต็มถนนบ้านเรือน ของผู้คน สร้างความเดือดร้อน มากของมากของมากมาย มองไปทางไหนมีแต่เห็บ แต่เหา ในบ้านนอกบ้าน บนถนนในแม่น้ำ สารพัด
ผู้คน ที่ประสบเหตุดังนั้น จึงไปขอร้อง ให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้โปรด จงวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน (อัลลอฮ) เพื่อเราเถิด และพวกเขาจะศรัทธาหลังจากนั้น (อีกครั้งอีกแล้ว)
แน่นอน ท่านก็ยกมือขอดุอา และสิ่งเหล่านั้น ก็หายไป
คิดว่าศรัทธาได้หรือยัง.. ไม่เลย พวกนั้นยังไม่ศรัทธา
( ท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) เป็นผู้อดทนอย่างมากจริงๆ )
อัลลอฮจึงส่ง ภัยพิบัติกบ มานับล้านตัว ทั่วทั้งอียิปต์ ไปไหนมีแต่กบ เสียง อ๊บๆ อ๊อบๆ ดังระงม ทั่วทุกสารทิศ เปิดถ้วยชามก็มีกบ ในเสื้อผ้าก็มีกบ ในจานข้าวก็มีกบ บนเตียงในตู้หลังชั้นนอกบ้านที่ไหนๆ กบยั้วเยี้ยไปหมด สร้างความเดือดร้อน และขยะแขยงอย่างมาก (ได้สติแตกกันเลย)
ผู้คน ที่ประสบเหตุดังนั้น จึงไปขอร้อง (ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว) ให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้โปรด จงวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน (อัลลอฮ) เพื่อเราเถิด และพวกเขาจะศรัทธาหลังจากนั้น
แน่นอน ท่านก็ขอดุอาอีก ภัยพิบัติหายไปจนหมด
แต่ก็ไม่ศรัทธากัน
อัลลอฮ จึงทรงทำให้แม่น้ำไนล์ เป็นแม่น้ำเลือด (กลิ่นเลือด จะคาว คลื่นไส้) จนใช้การไม่ได้แม่แต่หยดเดียว
แต่แน่นอน ถ้าใครที่เป็นผู้ศรัทธา ไปตักน้ำนั้นขึ้นมา มันก็เป็นน้ำจากแม่น้ำธรรมดา ... แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิเสธ ก็จะเป็นเลือด
ผู้คน ที่ประสบเหตุดังนั้น จึงไปขอร้อง ให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้โปรด จงวิงวอน ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน (อัลลอฮ) เพื่อเราเถิด และพวกเขาจะศรัทธาหลังจากนั้น (หวังว่าจะเป็นเช่นนั่นจริงๆ)
เมื่อท่านนบีดุอา จนแม่น้ำกลับมาปกติ พวกนี้ ก็ไม่ศรัทธากัน
ในช่วงเวลาภัยพิบัตินี้ ถึงหลายคนไม่ศรัทธา แต่ชาวบ้านหลายคนก็ศรัทธา และเข้าร่วมกับท่านนบี
และเรื่องราว ก็จะเข้าสู่การลงโทษ สุดท้าย ที่ฟิรเอาวน์คิดจะฆ่าล้างบาง พรรคพวกท่านนบี ท่านจึงพาวงศ์วานอิสรออีล และผู้ศรัทธา ลอบหลบหนีออกมาจากเมืองกัน ในตอนกลางคืน โดยพวกนั้นไม่รู้ตัว
เมื่ออกไปไกลแล้ว พวกฟาโรห์เพิ่งรู้ตัว จึงรีบจัดกองทัพตามไป
ทางด้านท่านนบี ก็มาถึง ทะเล ไปต่อไม่ได้ .. เคยอธิบายถึงสภาพของพวกวงศ์วานอิสรออีลแล้ว ในญุซที่ผ่านๆมา ... บางคนจึงท้อ จะยอมแพ้
แต่อัลลอฮก็บัญชาให้ท่านใช้ไม้เท้าฟาดลงไปในทะเล พลันน้ำทะเลมวลมหาศาลก็แยกออกดั่งกำแพง พวกเขาก็วิ่งต่อไป ซึ่งกองทัพศัตรูก็ตามหลังมาติดๆ
เมื่อไปถึงอีกฝั่ง อัลลอฮก็ทรงบัญชาให้น้ำทะเลมวลมหาศาลนั้น พัดถล่ม จมกองทัพพวกนั้นจนสิ้นฤทธิ์มอดม้วยมรณา ... ปิดฉากพระเจ้าอุปโลกน์ผู้โอหังตน
โดยศพ ฟิรเอาวน์ หรือ ฟาโรห์นั้น อัลลอฮทรงให้น้ำพัดกลับไปที่ริมฝั่ง เพื่อเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้คน ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 138
_______________
อัลลอฮทรงเล่าว่า เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงชนกลุ่มหนึ่ง ที่เคารพสักการะ บูชาเทวรูป พวกเขาจึงขอให้ท่านนบี สร้างเทวรูปให้พวกเขาได้บูชา เหมือนพวกนั้น ( ปวดหัวกับพวกนี้จริง ... เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ ยังคงไม่อยากทิ้งชีวิตเก่าๆ ได้ - ทั้งๆที่เห็นความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮมาแล้ว - นี่แหละ พวกดื้อดึง )
พวกเจ้านั้นเป็นผู้โง่เขลา
_______________
อัลอะอ์รอฟ 142
_______________
จากนั้นอัลลอฮทรงกล่าว ว่าพระองค์ทรงให้สัญญาแก่มูซา 30 คืน และเพิ่มเติม อีก 10 จนครบ 40 .. มูซาจึงได้กล่าวแก่พี่ชายตน ฮารูนว่า จงทำหน้าที่แทนเขา
(( อัลลอฮทรงเรียกท่านนบีเพื่อไปรับโองการและบทบัญัติ บนภูเขาซีนาย ... แรกเดิมท่านกล่าวแก่ชนของท่านว่าจะไป 30 วัน ท่านก็ขึ้นไป
ท่านถือศีลอดเป็นเวลา 30 วัน บนนั้น ครั้นอัลลอฮทรงตรัส กับท่าน ท่านไม่กล่าวตอบ พระองค์จึงถามทำไมไม่กล่าวตอบ.. ท่านจึงตอบว่า ข้าเกรงว่ากลิ่นปากข้าจะไม่ดี ... ก็ถือศีลอดมา 30 วันละนะ
พระองค์จึงกล่าวว่า แท้จริง กลิ่นปากของผู้ศีลอด เป็นกลิ่นสวรรค์ (ในเชิงผลบุญ ไม่ใช่ในเชิงกลิ่นจริงๆนะ บางคนตรงเกิน)
จึงเป็นที่มาที่ท่านต้องถือศีลอดเพิ่ม อีก 10 วัน เป็น 40 วัน เพื่อเป็นการไถ่โทษ สำนึกตน
ตัดฉากมาที่ตีนเขา พอครบ 30 วัน ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ยังไม่ลงมา ชนเหล่านั้นเริ่มกระวนกระวายใจ และมีคนบาปผู้หนึ่ง ชื่อ ซามีรีย์ ที่เขาอาสารวบรวมพวก ทอง พวกเงิน เอามาหล่อให้เป็นวัว เพื่อจะเอาไว้บูชา
ท่านนบีฮารูน(อ.ฮ.) ก็สั่งห้ามกระทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 143
_______________
ณ บนภูเขา ... อัลลอฮทรงเล่าว่า ท่านนบีมูซา(อ.ฮ.) ได้ขอพระองค์ ว่าอยากที่จะเห็นพระองค์ .. พระองค์จึงทรงให้ท่าน มองไปยังภูเขา (ลูกหนึ่ง ที่อยู่ไกลออกไปนั้น) พลันพระองค์ประกาศิต ให้มันระเบิด และแตกสลายลง.. จนท่านนบีสลบไป
เมื่อฟื้นขึ้นมา ท่านนบี จึงรีบขออภัยโทษแก่อัลลอฮ
_______________
อัลอะอ์รอฟ 144
_______________
พระองค์จึงทรงตรัสว่า มูซาเอ๋ย แท้จริง ข้าได้เลือกเจ้า ให้เหนือกว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลาย เพราะสาส์นของข้า และด้วยถ้อยคำของข้า .. ดังนั้น จงยึดถือสิ่งที่ข้าได้ให้แก่เจ้า และจงอยู่ในหมู่ ผู้ขอบคุณ
_______________
อัลอะอ์รอฟ 150
_______________
และเมื่อท่านได้ลงจากเขา ก็พบเห็นการชีริกมากมาย .. อัลลอฮทรงเล่าว่า ท่านทิ้งบรรดาแผ่นจารึก และจับศีรษะพี่ชายของเขา (นบีฮารูน (อ.ฮ.)) และดึงมันมา
(( ข้ามิได้ให้เจ้าเป็นผู้ดูแลเช่นนั้นหรือ!! ))
ท่านนบีฮารูน (อ.ฮ.) กล่าวว่า แท้จริง พวกพ้องเหล่านั้น เห็นว่าฉันเป็นผู้อ่อนแอ และพวกเขา เกือบฆ่าฉันแล้ว
(( ท่านนบีฮารูน (อ.ฮ.) ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเหมือนน้องชายท่าน ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ... ท่านยังเรียกพวกนั้น ว่าพวกพ้อง แสดงให้เห็นถึงว่าท่าน เป็นห่วงพวกนั้นมากแค่ไหน ... หากแต่ท่าน ไม่สามารถลงโทษได้ ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 151
_______________
อัลลอฮทรงเล่าต่อไป ว่า ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ก็ได้ขอดุอา วิงวอนต่อพระองค์ .. โอ้พระเจ้า ของข้าพระองค์ ได้โปรด ทรงอภัยโทษ แก่ข้าพระองค์ และพี่ชายของข้าพระองค์ ด้วยเถิด.. และโปรดทรงให้พวกข้าพระองค์ อยู่ในความเมตตาของพระองค์ ... พระองค์นั้น เป็นผู้ทรงเมตตา ยิ่งกว่าผู้เอ็นดูเมตตาทั้งหลาย
_______________
อัลอะอ์รอฟ 155
_______________
จากนั้นท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ได้คัดเลือกชายฉกรรจ์ (ซึ่งเป็นบรรดาผู้อาวุโส) 70 คน เพื่อจะไปทำการขออภัยโทษต่อ อัลลอฮ
ณ ภูเขาซีนาย อัลลอฮก็ทรงลงโทษพวกเขาด้วยการสั่นไหวอย่างรุนแรงของภูเขา จนพวกเขาตายสิ้น และจากนั้น ด้วยความเมตตาของพระองค์ พระองค์จึงฟื้นคืนชีพ พวกเขาเหล่านั้น หลังจากอภัยโทษ เพื่อเป็นการทดสอบนั่นเอง
อัลลอฮทรงกล่าวว่า และบรรดาผู้ทำชั่ว ที่สำนึกตัว และศรัทธานั้น แน่นอน พระองค์ทรงเป็นผู้อภัยโทษ ทรงเอ็นดู เมตตา
_______________
อัลอะอ์รอฟ 157
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวว่า จงศรัทธาต่อพระองค์ ผู้ทรงทำให้เป็น ทำให้ตาย ... และจงศรัทธาต่อรอซูลของพระองค์ นบีผู้อ่านเขียนไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ ... พวกเจ้า จงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกเจ้า จะได้รับคำแนะนำ
(( ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซอลฯ) ของเรานั้น เป็นผู้ที่อ่านไม่ออก และเขียนไม่เป็น .. ทั้งนี้ มันมีข้อดี ... เพราะอัลกุรอ่าน เป็นคัมภีร์ที่ใช้คำอย่างสละสลวยอย่างมาก.. แม้แต่ ชนเผ่าอาหรับที่เจ้าบทเจ้ากลอนที่สุด ยังตกตะลึง ถึงความไพเราะ การสัมผัสเสียง สระ พยัญชนะ นั้นนี้.
หากท่านนบีอ่านออกเขียนได้ เมื่อท่านอ่านอายัตแก่ผู้คน พวกเขาจะต้องบอกว่า ก็มูฮัมหมัดเก่งนิ เขาแหละเป็นคนแต่ง
แต่นี้ ท่านอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ท่านกลับ เอื้อนเอ่ย คำไพเราะเหล่านี้ออกมาได้ ... แม้แต่ปรมาจารย์ด้านการประพันธ์ยังเลื่อมใส..
แสดงว่า สิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้น หาได้มาจากท่านไม่ หากแต่มาจากพระเจ้าของท่าน นั่นเอง ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 160
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงเล่าเรื่องราวของท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ต่อ คือ พระองค์ทรงให้พวกเขามี 12 เหล่า และพระองค์ทรงบัญชาให้ท่านนบีมูซา (อ.ฮ.) ตีก้อนหินด้วยไม้เท้า และมันได้แยกออกเป็น 12 สาย หลังจากที่พวกเขา ขอน้ำจากท่าน
(( มีการอธิบายถึง วงศ์วานอิสรออีล ทั้ง 12 กลุ่มแล้ว ในญุซ 6 ว่ามาจาก ลูกท่านนบียะอ์กู๊บ(อ.ฮ.) ทั้ง 12 คนนั่นเอง
นี่เป็นอีก 1 บัญญัติ ประชาชาตินบีมูซา (อ.ฮ.) คือ ห้ามกินน้ำจากแม่น้ำที่ไม่ใช่ของตระกูลตนอีก 11 สาย ))
พระองค์ยังทรงกล่าวอีก ถึงการช่วยเหลือของพระองค์ต่อวงศ์วานอิสรออีล ที่ร่อนเร่ ไปในทะเลทรายขณะนั้น
ว่าพระองค์ ทรงให้เมฆ มาบังดวงอาทิตย์
ส่ง อัลมันน์ (น้ำยางหวาน ที่ไหลออกมาจากพืชบางชนิด)
ส่ง อัซซัลวา (นกคุ่ม) ให้บินมาตก (เพื่อเอาไว้กิน)
พวกเจ้า จงบริโภคปัจจัยยังชีพ (จากสิ่งที่ดี) ที่ ข้าให้แก่พวกเจ้า
และจงอยู่ในเมืองนี้เถิด และจงบริโภค ที่ใดก็ได้ที่พวกเจ้าประสงค์ ในเมืองนั้น (( ก็จะหมายถึง เมือง คะนาอัน เขตปาเลสไตน์ นั่นเอง เหตุการณ์ถูกเล่าไปแล้ว ในญุซ 6 ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 163
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าว ถึงอีกเมือง ที่อยู่ใกล้ทะเล ที่พระองค์ทรงทดสอบพวกวงศ์วานอิสรออีลนี้ ว่า จงอย่าล่าปลา ในวันเสาร์ ที่มาของวัน สะบาโต ของยิว นั่นเอง (( อธิบายแล้ว ในญุซ 5 ))
** ใครที่เพิ่งมาอ่านของวันนี้นี่ ต้องย้อนกลับไปเก็บอ่านแล้วล่ะ 555 เพราะหลายอย่าง ได้อธิบาย ในญุซก่อนหน้านี้แล้ว **
_______________
อัลอะอ์รอฟ 172
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวว่า จงรำลึกถึงลูกหลานของอดัม ที่มาจากหลังของเขา.
(( ตรงนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ ... เพราะความรู้ในปัจจุบันที่ว่า "อสุจิ ผลิต มาจากไขสันหลัง" นั้น เพิ่งมีมาไม่นานนี่เอง .. แต่อัลลอฮ ทรงกล่าวให้รู้ไว้กว่า 1400 ปีที่แล้ว ))
_______________
อัลอะอ์รอฟ 179
_______________
อัลลอฮยังทรงกล่าว ว่าในนรกญะฮันนัม นั้น จะเต็มไปด้วย ญิน และ มนุษย์ ที่พวกเขา
มีหัวใจ แต่ไม่ทำความเข้าใจ (ศาสนา)
มีตา แต่ไม่มอง (ศาสนา)
มีหู แต่ไม่ฟัง (ศาสนา)
อัลลอฮทรงเทียบพวกนี้ว่า เสมือนดั่งปศุสัตว์ ไม่ก็เลวกว่านั้น !!
(( อัลลอฮ ทรงเปรียบเทียบ พวกฝ่าฝืน ไม่ตามพระองค์ โง่เขลาดั่งปศุสัตว์ ไม่ก็เลวกว่า ปศุสัตว์ - นาอูซุบิลลาฮ - )
_______________
อัลอะอ์รอฟ 180
_______________
จากนั้นพระองค์ ทรงกล่าวว่า แท้จริงสำหรับพระองค์ มีบรรดาพระนามอันสวยงาม .. พวกเจ้าจงวิงวอนต่ออัลลอฮ ด้วยพระนามเหล่านั้นเถิด.
_______________
อัลอะอ์รอฟ 181-186
_______________
อัลลอฮยังทรงกล่าวถึง บรรดาผู้ฝ่าฝืน ผู้ปฏิเสธ ที่พระองค์ทรงเตรียมการลงโทษไว้.. ตอนนี้แค่ประวิงเวลา (ให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปก่อน) และแท้จริง แผนการของพระองค์ นั่น มั่นคง แน่นอน
และพระองค์ ยังกล่าว ต่อไปว่า ผู้ใดที่พระองค์ ทรงปล่อยให้หลงทางแล้ว ก็จะไม่มีคำแนะนำใดๆไปยังพวกเขา และจะถูกปล่อยให้อยู่ในการละเมิด ต่อไป
_______________
อัลอะอ์รอฟ 187
_______________
และพระองค์ยังกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซอลฯ) ว่า ถ้ามีผู้ใดถาม ว่าเมื่อไหร่ จะถึงวันกียามัต? เจ้าก็จงตอบไปว่า .. ความรู้เรื่องนั้น อยู่กับพระองค์เท่านั้น ไม่มีใครรู้
มันจะไม่มายังพวกเจ้า นอกจากมันจะมาโดยกระทันหัน (จนไม่มีผู้ใดตั้งตัวได้)
_______________
อัลอะอ์รอฟ 199
_______________
อัลลอฮยังทรงสั่งใช้ท่านนบี จงให้อภัย(ผู้คน) จงใช้ให้ผู้คนกระทำสิ่งที่ดี และจงผินหลัง ให้พวกโง่เขลา (บูชาอื่น นอกจากอัลลอฮ พระเจ้าที่แท้จริง) ทั้งหลายเถิด
_______________
อัลอะอ์รอฟ 200
_______________
หากได้รับการยั่วยุจากชัยฏอน ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮให้ห่างไกลมัน (อาอูซุ บิลลาฮ... นั่นเอง)
_______________
อัลอะอ์รอฟ 206
_______________
และพระองค์ทรงกล่าวว่า แท้จริงบรรดาผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น (ผู้ศรัทธา) จะไม่เย่อหยิ่ง (นอบน้อม) ในการทำอีบาดัตต่อพระองค์ .. จะสรรเสริญ ความบริสุทธิ์ ของพระองค์ และพวกเขา จะก้มลงสุญูดกัน.
(( และเราก็จะซุนัต สุญูด ซะญาดะฮ์ (หรือ ตีลาวะฮ์) ตรงนี้ จบซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ .... เป็นสุญูดครั้งแรกในอัลกุรอ่าน จากทั้งหมด 15 ครั้ง ในญุซ 9 นี้ นี่เอง ))
จากนั้น จะเข้าสู่ ซูเราะฮ์ อัลอันฟาล (สินสงคราม)
ซูเราะฮ์เริ่มต้นกล่าวถึง เรื่อง สินสงครามทันที โดยถูกประทานลงมา ในตอนสมรภูมิ บะดัร
(( สมรภูมิ บะดัร เป็นสมรภูมิแรกของมุสลิม ที่ปะทะกับกุฟฟารมักกะฮ์ ในวันที่ 17 รอมฎอน ฮ.ศ. 2
ฝ่ายมุสลิม 300 คน
กุฟฟาร 1000 คน
ซึ่งสุดท้าย มุสลิมสามารถเอาชนะได้ และเก็บสินสงครามมามากมาย จากสนามรบนี้
เป็นการประกาศศักดา ครั้งแรกของมุสลิม อย่างน่าเกรงขาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทั้งตอนที่ท่านนบี เผยแพร่อิสลาม โดนบรรดากุฟฟาร กลั่นแกล้ง ทารุณ สารพัด ตลอด 13 ปี
สิน สงครามมากมายนั้น จึงไม่รู้จะแบ่งกันยังไง ))
_______________
อัลอันฟาล 1
_______________
อัลลอฮทรงตรัสว่า เมื่อพวกเขาถามเจ้าถึงสินสงคราม จงตอบไปว่า บรรดาสินสงคราม เชลย นั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮ และรอซูล (ทั้งสิ้น) (นี่เป็นบัญญัติจากพระองค์)
_______________
อัลอันฟาล 2
_______________
อัลลอฮทรงกล่าวถึงบรรดาผู้ศรัทธานั้น เมื่อ เขาฟังโองการของอัลลอฮ ได้ยินผู้กล่าวถึง อัลลอฮ พวกเขาจะหวั่นเกรง และศรัทธา
_______________
อัลอันฟาล 7
_______________
และพระองค์ทรงกล่าวว่า และจงรำลึก ในขณะที่อัลลอฮได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้า ซึ่ง 1 ใน 2 กลุ่ม ว่ามันเป็นของพวกเจ้า...
(( ตรงนี้หมายถึง บรรดามลาอีกัตนั่นเอง เพราะในสมรภูมินี้ อัลลอฮทรงส่ง บรรดามลาอีกัต มาช่วยศึก กองทัพมุสลิม ... และกองทัพมลาอีกัตนี้ เป็นของท่านนบี นั่นเอง ))
_______________
อัลอันฟาล 9
_______________
อัลลอฮทรงกล่าวถึงในตอนที่บรรดามุสลิม วิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ พระองค์จึงทยอยทรงส่ง มลาอีกัต 1000 ตน ลงมา และบัญชามิให้ขึ้นไป นอกจากจะนำข่าวดีมาเท่านั้น (ได้รับชัยชนะ)
_______________
อัลอันฟาล 10
_______________
ไม่มีการช่วยเหลือ นอกจากที่มาจากอัลลอฮเท่านั้น แท้จริงพระองค์ทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ
_______________
อัลอันฟาล 12
_______________
ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวกับบรรดามลาอีกัตว่า แท้จริง พระองค์อยู่กับพวกเขา และให้พวกเขาทำให้ผู้ศรัทธานั้นมั่นคงเถิด
พระองค์ จะทรงโยนความกลัว เข้าสู่หัวใจของผู้ปฏิเสธศรัทธา และการลงโทษพวกนั้น คือไฟนรก
_______________
อัลอันฟาล 15
_______________
และพระองค์ยังทรงกล่าว ว่าห้ามหันหลังหนีเมื่อเผชิญหน้ากับพวกผู้ปฏิเสธศรัทธา ใครทำเช่นนั้น พระองค์จะเตรียมนรกญะฮันนัม รอไว้
_______________
อัลอันฟาล 27
_______________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าทุจริตต่ออัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ .. และจงอย่าทุจริตต่ออามานะฮ์ของพวกเจ้า (ของฝาก หรือหน้าที่)
_______________
อัลอันฟาล 30
_______________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า ผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น จะวางแผนทำร้ายผู้ศรัทธา วางแผนกักขัง สังหาร หรือขับไล่ออกไป... พวกเขาวางแผนกัน
แต่อัลลอฮ ก็ทรงวางแผนเช่นกัน และแผนการของพระองค์ เหนือกว่าทุกแผนการใดๆ
_______________
อัลอันฟาล 32
_______________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวถึง คำท้าของพวกกุฟฟารต่อท่านนบี ที่กล่าวว่า หากสัจธรรมนี้เป็นจริง ก็ส่งฝนที่เป็นก้อนหินลงมาหาเราสิ ลงโทษเราเลย... คนพูดก็ไม่ใช่ใคร อันนัฎร์ อิบนุ อัลฮาริษ กับ อีกคน อาบูญะฮัล (ผู้โง่เขลา เจ้าเก่า)
_______________
อัลอันฟาล 34-35
_______________
อัลลอฮทรงกล่าว ว่าพวกนี้พระองค์จะไม่ลงโทษได้อย่างไร ทั้งๆที่พวกมัน ห้าม(ผู้ศรัทธา ทำอีบาดัต) ในมัสยิด อัลฮะรอม .. และที่พวกมันละหมาด ก็แค่เป่าเสียงหวีด และปรบมือ
(( การละหมาดของพวกกุฟฟารคือ ทำมือประกบปาก เป่าเสียงหวีด และ ปรบมือ ))
จงลิ้มรสการลงโทษเถอะ !! เนื่องจากพวกเจ้า ปฏิเสธ ศรัทธา ถูกต้อนลงญะฮันนัมให้หมด !!
_______________
อัลอันฟาล 40
_______________
และพระองค์ทรงกล่าวแก่ผู้ศรัทธาว่า พระองค์นั้น ทรงเป็นผู้คุ้มครองที่ดีเลิศที่สุด และเป็นผู้ทรงช่วยเหลือ ที่ดีเยี่ยมที่สุด ...
บทความที่น่าสนใจ